หน้าหลัก ข่าวไซต์
Price Action – กลยุทธ์เทรดออปชั่นไบนารี ทำกำไรปี 2025
Updated: 06.05.2025

Price Action – ระบบเทรดเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง: รูปแบบและโมเดล Price Action สำหรับออปชั่นไบนารี (2025)

Price Action คือการวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียนและระบบการเทรดหลายแบบ โดยทั่วไปแล้วจะใช้บนกราฟที่ไม่มีอินดิเคเตอร์ (หรือเทรดแบบไม่พึ่งเครื่องมืออินดิเคเตอร์) ด้วยลักษณะของ Price Action จึงเป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดที่มีคุณภาพสูง เพราะอ้างอิงจากรูปแบบ (patterns) และโมเดล (models) ที่มักจะเกิดซ้ำและส่งผลเหมือนเดิมอยู่บ่อยครั้ง

พูดแบบตรงไปตรงมา Price Action สอนให้เราค้นหารูปแบบซ้ำบนกราฟราคา ซึ่งสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ด้วยความน่าจะเป็นที่สูง แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายถึงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง 100% แต่สถิติของรูปแบบ Price Action นั้นใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ (ตามมาตรฐานของกลยุทธ์เทรด) ซึ่งเป็นเหตุผลที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หลายคนชื่นชอบการวิเคราะห์ราคาประเภทนี้

เพื่อให้เข้าใจดีขึ้น Price Action ไม่ใช่ “กลยุทธ์เดียว” ที่ใช้ได้เสมอไป แต่เป็นชุดของหลายกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน:
  • บางกลยุทธ์ช่วยให้คุณทำกำไรในช่วงเทรนด์
  • บางกลยุทธ์ช่วยให้คุณมองหาจุดกลับตัว
Price Action ช่วยให้คุณทำกำไรได้ทั้งในสภาวะตลาดที่เป็นเทรนด์ หรือแม้แต่ช่วงที่ราคาคอนโซลิเดต (เคลื่อนที่ในกรอบแคบ) สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องมี คือความเข้าใจและการประยุกต์ใช้กฎของรูปแบบการเทรด (Pattern) ของ Price Action อย่างถูกต้อง รวมถึงความสามารถในการอ่านกราฟราคาได้อย่างเหมาะสม (แยกแยะเทรนด์จากช่วงไซด์เวย์ และกำหนดระดับแนวรับและแนวต้านได้อย่างถูกวิธี)

เนื้อหา

Price Action คืออะไร?

อย่างที่กล่าวไปแล้ว Price Action คือวิธีวิเคราะห์กราฟราคาที่ไม่ใช้หรือใช้ Indicators น้อยมาก ประกอบด้วยกลยุทธ์การเทรดที่สร้างกำไรได้ดีหลายรูปแบบ โดยเน้นการวิเคราะห์แท่งเทียนและระดับแนวรับ-แนวต้าน จุดเด่นคือ ความเรียบง่ายหรืออาจไม่มีอินดิเคเตอร์เลยในกราฟ

Price Action ช่วยให้คุณเข้าใจการเคลื่อนที่ของราคาได้อย่างสมบูรณ์ และสอนวิธีทำกำไรจากรูปแบบที่เกิดซ้ำ เช่น รูปแบบแท่งเทียน หรือรูปทรงของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่ปรากฏอยู่ในตลาดอยู่เป็นประจำ

การเคลื่อนที่ของราคาในตลาดเกิดจากความแตกต่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานของผู้ซื้อ (Bulls) และผู้ขาย (Bears) เมื่อผู้ซื้อ (Bulls) มีมากกว่า ราคาจะถูกดันสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อผู้ขาย (Bears) แข็งแรงกว่า ราคาจะถูกกดให้ต่ำลง โดยสถานะของตลาดอาจเป็นไปได้ดังนี้:
  • ราคาปรับตัวสูงขึ้น เมื่อจำนวนผู้ซื้อ (Bulls) มากกว่าผู้ขาย (Bears)
  • ราคาปรับตัวลง เมื่อจำนวนผู้ขาย (Bears) มากกว่าผู้ซื้อ (Bulls)
  • หากราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบ (ไซด์เวย์) แสดงว่าจำนวน Bulls และ Bears ใกล้เคียงกัน และทั้งสองฝ่ายพอใจกับระดับราคาในปัจจุบัน

วัวและหมี

การวิเคราะห์ตลาดด้วย Price Action มักจะเป็นการจับตาดูว่าใครเป็นฝ่ายควบคุมตลาดในขณะนั้น – ฝั่งผู้ซื้อหรือฝั่งผู้ขาย หากตลาดเป็นฝั่งผู้ซื้อ เราจะมองหาจังหวะเปิดออเดอร์ “ขึ้น” (Call) ในขณะที่หากตลาดเป็นฝั่งผู้ขาย การเทรด “ลง” (Put) มักให้ผลดีกว่า

เพื่อให้รู้ว่าใครเป็นฝ่ายคุมตลาด (Bulls หรือ Bears) เราต้องมี “เครื่องมือ” บางอย่าง

การใช้งาน Price Action

Price Action ประกอบด้วย ทฤษฎีดาว (Dow Theory) และพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค นอกจากนี้ เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรามักจะตีเส้นบนกราฟเพิ่มเติม: นี่คือตัวอย่างโครงสร้าง Price Action พื้นฐาน และบ่อยครั้งจะมี “ส่วนเสริม” เข้ามาช่วยด้วย

Price Action แบบ “เปล่า” (Pure หรือ Naked Price Action)

Price Action แบบ “เปล่า” (Naked) ใช้เพียงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้นในการหาสัญญาณเทรดและวิเคราะห์ตลาด กล่าวคือ ใช้:
  • ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
  • รูปทรงหรือโมเดลของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
  • รูปแบบแท่งเทียน (Japanese Candlestick)
  • แนวรับและแนวต้าน
  • ช่องราคา (Channel)

ระดับแนวต้านกลายเป็นระดับแนวรับ

Price Action แบบเปล่าจะไม่ใช้อินดิเคเตอร์ใดๆ

Price Action ร่วมกับ Volume

การใช้ Price Action ควบคู่ไปกับ Volume มีประโยชน์สำหรับสินทรัพย์ที่มี Volume จริง เช่น
  • หุ้น
  • ฟิวเจอร์ส
  • ดัชนี (Indices)
หรือบางเทรดเดอร์เลือกใช้ตัวชี้วัดปริมาณ (Volume Indicators) เพิ่มเติม แต่สำหรับคู่สกุลเงิน (Currency Pairs) จะไม่สามารถใช้ Volume ที่แท้จริงได้ จึงไม่ค่อยเหมาะกับวิธีนี้

Price Action ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค

เมื่อพูดถึง Price Action กับอินดิเคเตอร์ อย่าเพิ่งคิดว่าจะซับซ้อนเกินไป ส่วนใหญ่เทรดเดอร์จะเพิ่ม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) หนึ่งหรือสองเส้นลงบนกราฟเท่านั้น

เทรดเดอร์ Price Action หลายคนเลือกใช้ Simple Moving Average (SMA) ที่ค่า 20 (Period 20) เป็นหลัก บางสำนักสอน Price Action เชิงลึกก็วิเคราะห์สัญญาณจากการรวมกันของ SMA (20) กับรูปแบบแท่งเทียนต่างๆ

การเคลื่อนไหวของราคาและ SMA 20

ระดับและโซนแนวรับ-แนวต้าน รากฐานสำคัญของ Price Action

หากกล่าวถึงองค์ประกอบพื้นฐานของ Price Action ระดับแนวรับและแนวต้าน (SR Levels หรือ Zones) ถือเป็นแก่นของระบบเทรด ดังนั้น คุณจะต้องเข้าใจวิธีเกิดของแนวรับ-แนวต้าน รวมถึงวิธีระบุโซนเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ในกราฟราคาแสดงข้อมูลสำคัญจำนวนมาก ซึ่งเทรดเดอร์มือใหม่อาจมองไม่เห็น:

กราฟราคาสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่

แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจการเทรด Price Action ดี จะเห็นโอกาสทำกำไรได้มากมาย:

กราฟราคาสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์

ดูเผินๆ อาจเรียบง่าย แต่นี่คือจุดแข็งสำคัญของ Price Action รูปแบบควรเข้าใจง่าย และการใช้งานไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของระบบเทรด Price Action

การวิเคราะห์แท่งเทียนในกราฟราคา Price Action

การวิเคราะห์แท่งเทียนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานอีกอย่างของ Price Action วิธีนี้ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานที่จะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจได้ทันทีว่า ใคร “คุมตลาด” ในตอนนั้น (Bulls หรือ Bears)

โดยทั่วไปแล้วจะเกี่ยวข้องกับการจดจำ รูปแบบของแท่งเทียนญี่ปุ่น และรู้วิธีใช้งาน โดยข้อได้เปรียบของ Price Action คือ สามารถเทรดทำกำไรได้ทั้งช่วงที่ตลาดมีเทรนด์และช่วงราคาคอนโซลิเดต (ตลาดไซด์เวย์) ขณะที่กลยุทธ์ที่ใช้ Indicator มักให้ผลดีเฉพาะบางจังหวะเท่านั้น อีกทั้ง Price Action ยังปรับตัวเข้ากับตลาดได้ดี จึงสร้างโอกาสทำกำไรเกือบตลอดเวลา

จุดเด่นอีกอย่างของกลยุทธ์เทรด Price Action คือความเรียบง่าย ต่างจากกลยุทธ์ที่พึ่ง Indicators จำนวนมาก ซึ่งกราฟมักจะเต็มไปด้วยเส้นและสัญญาณมากมายจนยากจะตามทัน:

กลยุทธ์ตัวบ่งชี้

อย่างไรก็ดี อินดิเคเตอร์ก็อาจมีประโยชน์ใน Price Action ได้ เช่น อินดิเคเตอร์ LEV00 ที่ช่วยตี ระดับราคา (Round Numbers) และโซนรอบๆ บนกราฟ เหมาะกับ TF M15 หรือ Time Frame เล็กๆ:

ตัวบ่งชี้ LEV00 บนแผนภูมิ

วิธีทำความเข้าใจและวิเคราะห์ตลาดด้วย Price Action

ในการเข้าใจและวิเคราะห์กราฟราคาด้วยกลยุทธ์ Price Action อย่างถูกต้อง คุณจำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียดบางอย่าง

ตัวอย่างเช่น คุณควรสังเกต “แรง” ของเทรนด์ ถ้าเทรนด์มีความชันลดลง และช่วงราคาที่เคลื่อนไหวในแต่ละรอบเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ นั่นอาจหมายถึงเทรนด์กำลังอ่อนแรงและอาจใกล้สิ้นสุด:

ความชันของแรงกระตุ้นราคา

จำนวนและขนาดของแท่งเทียนในช่วงเทรนด์ก็สำคัญ เช่น ในเทรนด์ขาลงที่แข็งแรง (Bearish) มักพบแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่เรียงต่อเนื่องกัน โดยมีการดึงกลับ (Pullback) เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นเทรนด์ขาลงที่อ่อนแรง จะเห็นแท่งเทียนสีแดงสลับกับสีเขียวบ่อยขึ้น:

ขนาดและลำดับของเทียน

ควรพิจารณาการดึงกลับในช่วงเทรนด์ด้วย หากการดึงกลับลึกขึ้นและชันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ ก็เป็นอีกสัญญาณว่าเทรนด์กำลังจะหมดแรง:

การดึงกลับที่สูงชันระหว่างแนวโน้ม

ขนาดตัวแท่งเทียนในช่วงดึงกลับก็บ่งบอกข้อมูลสำคัญได้ ถ้าในช่วงดึงกลับปรากฏแท่งเทียนขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไปคนละทิศกับเทรนด์เดิม นั่นหมายความว่าฝั่งตรงข้ามเริ่มเข้ามาในตลาดมากขึ้น มักพบในช่วงปลายเทรนด์:

ขนาดเสาเข็มและความลึกของการย้อนกลับ

มาดูตัวอย่างจริงเพื่อให้เข้าใจการอ่านกราฟได้ดียิ่งขึ้น:

การวิเคราะห์แนวโน้มขาลง

  1. จุดเริ่มต้นของเทรนด์ขาลง หลังราคาทะลุออกจากโซนคอนโซลิเดต
  2. มีการกลับตัว (Pullback) ขึ้นไปจนแตะขอบโซนคอนโซลิเดต และราคาเริ่มแกว่งตัวในระดับนั้น
  3. ราคากลับสู่เทรนด์ขาลงต่อ ด้วยแรงขายที่มาก: มีแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่หลายแท่งต่อเนื่อง และราคาลงแรง
  4. เกิดการดึงกลับอีกครั้งตามปกติ
  5. แรงเทรนด์ขาลงสั้นลงอย่างมาก เป็นสัญญาณว่าเทรนด์อาจอ่อนแรง
  6. การดึงกลับกินพื้นที่เกือบเท่ากับแรงเทรนด์ครั้งก่อน ยิ่งตอกย้ำว่าเทรนด์กำลังอ่อนลง
  7. ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) ในขาลง
  8. กลับตัวขึ้นพร้อมแท่งเขียวขนาดใหญ่ การดึงกลับรอบนี้ค่อนข้างลึกจนราคาเกือบกลับไปจุดเริ่มต้นของแรงเทรนด์ (7) โอกาสเทรนด์จะกลับตัวสูงมาก
  9. พยายามทำจุดต่ำสุดใหม่อีกครั้ง
  10. ดึงกลับที่สวนเทรนด์อีกหน จุดต่ำสุดไม่ทำ Low ใหม่ จึงเกิด รูปแบบ Double Bottom ซึ่งเป็นรูปแบบกลับตัว
  11. ราคาพยายามลงตามเทรนด์เดิม แต่ไปได้ไม่ไกล Low ไม่ถูกทำลาย นี่คือจุดจบของเทรนด์ขาลง มีแนวโน้มที่ราคาจะกลับตัวขึ้นหรือลงไซด์เวย์
  12. ราคาสร้างจุดสูงกว่าจุดเดิม นับเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ขาขึ้น
นี่คือตัวอย่างวิธีที่ Price Action ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการเคลื่อนที่ราคา เพียงแค่สังเกตจุดสูงต่ำของราคาพร้อมกับขนาดแท่งเทียนและการดึงกลับ

ตัวอย่างของเทรนด์ขาขึ้น (Bullish) ก็เช่นเดียวกัน:

การวิเคราะห์แนวโน้มขาขึ้น

  1. แรงเทรนด์ขาขึ้นตามปกติ ราคาทำจุดสูงใหม่
  2. ดึงกลับสวนเทรนด์
  3. เทรนด์ขาขึ้นอ่อนแรง ราคายังไม่สามารถทะลุแนวต้านเดิม (จุดสูงจากข้อ 1) ได้
  4. ดึงกลับ แต่ไม่ได้หลุดระดับ Low เดิม แปลว่าฝั่งซื้อ (Bulls) ยังมีแรงเหลือ
  5. เกิดแรงขาขึ้นอีกครั้ง
  6. ดึงกลับด้วยแท่งเทียนแดงขนาดใหญ่
  7. ราคาขึ้นต่อ แต่ไม่สามารถทำจุดสูงใหม่ (High) ได้ ชี้ว่าเทรนด์ขาขึ้นอาจจบลง
  8. ดึงกลับอีกหนด้วยแท่งแดงใหญ่หลายแท่ง เป็นสัญญาณที่สองว่าเทรนด์ขาขึ้นกำลังสิ้นสุด
  9. มีการขึ้นเล็กน้อยด้วยแท่งเขียว แต่ไม่ทำ High ใหม่ จึงอาจเป็นจุดจบของเทรนด์ขาขึ้น
  10. ราคาลงอย่างอ่อน จนกลับสู่ระดับแนวรับ
  11. ราคาดีดขึ้นเล็กน้อย เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของ Bulls
  12. จุดต่ำสุดใหม่ถูกทำลาย แสดงว่าเทรนด์ขาลงได้เริ่มขึ้น
ตัวอย่างนี้ เน้นให้เห็นว่าทันทีที่ราคาหยุดทำจุดสูงใหม่ (High) ต่อเนื่องกัน (ข้อ 5,6,7,8) ก็สื่อว่าขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุด!

การใช้แนวรับและแนวต้านในการเทรด Price Action

แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance) คือเครื่องมือสำคัญทั้งในเชิงวิเคราะห์ทางเทคนิคและระบบเทรด Price Action ระดับเหล่านี้ช่วยระบุจุดที่ควรเข้าเทรดได้อย่างแม่นยำ เทรดเดอร์ต้องวาง (หรือตี) แนวรับ-แนวต้านลงในกราฟราคาให้ถูกต้อง

แนวรับ-แนวต้านแบ่งโซนราคาออกเป็นพื้นที่ที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายสนใจ แนวรับอยู่ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน เป็นโซนที่ผู้ซื้อสนใจ ขณะที่แนวต้านอยู่เหนือกว่าราคาปัจจุบัน เป็นโซนที่ผู้ขายสนใจ เมื่อใดก็ตามที่ราคาเบรกโซนเหล่านี้ได้ โซนนั้นจะ “เปลี่ยนเจ้าของ” จากแนวรับกลายเป็นแนวต้านหรือในทางกลับกัน

เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับหรือแนวต้าน ราคามักถูก “ดีดกลับ” (Rejection) หรือกลับตัวอย่างชัดเจน เพราะเป็นโซนที่คำสั่งซื้อ/ขายของผู้เล่นรายใหญ่ (Banks, Hedge Funds ฯลฯ) ถูกตั้งไว้

อย่างไรก็ดี การ “ลุ้นเอา” จากทุกแนวรับ-แนวต้านที่เห็นนั้นไม่ใช่แนวคิดที่ดี ควรเน้นเฉพาะแนวที่ “แข็งแรง” หรือ “สำคัญ” เท่านั้น เช่น:
  • จุดสูงสุด-ต่ำสุดรายปี รายเดือน หรือรายสัปดาห์
  • แนวราคาที่ลงท้ายด้วยตัวเลขกลม (Round Numbers) เช่น *00, *50, *20, *80 (เช่น 1.1350 หรือ 1.1400) มักเรียกว่าแนวราคาจิตวิทยา
  • โซนที่ราคาเคยกลับตัวอย่างรุนแรง
  • โซนที่เคยเป็นแนวรับ จากนั้นสลับเป็นแนวต้าน (หรือกลับกัน) เรียกว่า “Mirror Level”
ที่สำคัญ แนวรับหรือแนวต้านนั้นควรมี Price Reaction เกิดขึ้นในอดีตด้วย เช่น ราคาดีดตัวหรือกลับตัวจากแนวนั้นหลายครั้ง จะยิ่งน่าเชื่อถือ:

ระดับที่แข็งแกร่งและโซนแนวรับและแนวต้าน

ในภาพจะเห็นว่าโซนแนวรับ (Support Zone) สามารถดันราคาให้กลับตัวขึ้นได้ดี ควรมองแนวรับ-แนวต้านเป็น “โซน” มากกว่าระดับราคาเดียว เพราะในเชิงปฏิบัติ ราคาจริงอาจเคลื่อนเลยระดับนั้นเล็กน้อยได้

โซนแนวต้าน (Resistance Zone) มีลักษณะเช่นเดียวกัน ประกอบด้วยหลายระดับราคาที่อยู่ใกล้กัน ซึ่งดันราคาลงได้ดี ในภาพยังมี “ราคาแบบกลม” (เช่น 1.34100) ซึ่งก็ถือเป็นแนวรับ-แนวต้านเชิงจิตวิทยาที่แข็งแรง

การตีแนวรับ-แนวต้านไม่ยาก หากสังเกตบริเวณที่ราคามักกลับตัว ยิ่งถ้าราคาเคยแตะแล้วเด้งหลายครั้งบริเวณราคาใกล้ๆ กัน ก็มีโอกาสเป็นระดับที่น่าสนใจ

เคล็ดลับการตี SR อย่างง่าย:
  • ต้องมีจุดกลับตัวอย่างน้อยสองจุดที่ระดับราคาเดียวกัน
  • จุดกลับตัวที่เกิดล่าสุดมักสำคัญกว่าที่เกิดนานแล้ว
  • “Mirror Level” คือโซนแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่ง เพราะทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างสนใจ
  • ระดับราคากลม (Round Numbers) มักมีความสำคัญสูง
  • เลือกเฉพาะระดับที่เด่นจริงๆ ไม่ควรตีจนเต็มกราฟ
ใน TF ที่สูง การตี SR ควรให้ความสำคัญกับตัวแท่งเทียน (Candle Body) มากกว่าขั้นเงา (Shadow) แต่เงาแท่งเทียนอาจบอกความกว้างของโซนได้เช่นกัน หากคุณเข้าใจตลาดดี บางครั้งอาจตีเป็น “โซน” ทันที ดีกว่าระดับเดี่ยวๆ

การวิเคราะห์แท่งเทียน: รากฐานของระบบเทรด Price Action

“การวิเคราะห์แท่งเทียน” ในมุมมอง Price Action ไม่ใช่แค่การท่องจำรูปแบบแท่งเทียนอย่างเดียว แต่ต้องดูทั้งบริบทของกราฟรวมกัน

เคยสังเกตไหมว่าทำไมรูปแบบแท่งเทียนบางครั้งใช้ได้ผล บางครั้งไม่ได้ผล? เพราะหากเราสนใจแค่ “สามแท่งเทียน” ของรูปแบบนั้นๆ โดยไม่ดูระดับแนวรับ แนวต้าน และภาพรวมของตลาด ก็ยากที่จะได้ความแม่นยำสูง แต่ถ้าวิเคราะห์ร่วมกับ:
  • ตำแหน่งที่เกิดรูปแบบแท่งเทียน
  • แท่งเทียนที่เกิดก่อนหน้านั้น
  • เงา (Shadow) ของแท่งเทียน
ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลของการต่อสู้ระหว่าง Bulls กับ Bears ทำให้เราเลือกรูปแบบที่มีแนวโน้มสร้างกำไรได้สูง

ตัวอย่างเช่น รูปแบบ Pin Bar (Pinocchio):

เทียนกลับราคาแท่งพิน

Pin Bar คือแท่งเทียนกลับตัว ที่มีเงายาวไปในทิศทางตรงข้ามกับการกลับตัว ตัวแท่งเทียนมีขนาดเล็ก เงาที่ยาวเปรียบเหมือน “จมูกของ Pinocchio” กติกาพื้นฐานคือ ถ้า Pin Bar เกิดบนยอด แสดงถึงโอกาสกลับตัวลง ถ้าเกิดที่ฐาน แสดงถึงโอกาสกลับตัวขึ้น

ลองดูตัวอย่างในกราฟจริง มี Pin Bar สองอันที่ปรากฏ แต่กลับพบว่าอันหนึ่งทำให้ราคากลับตัวตามคาด อีกอันกลับไม่ยอมให้ราคากลับตัว:

พินบาร์สองอัน

Pin Bar อันแรกเป็นแท่งเขียว (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) เงายาวมาก ซึ่งควรเป็น Pin Bar ที่แข็งแกร่ง ส่วน Pin Bar อันที่สองเป็นแท่งแดง (ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด) แม้จะมีเงายาว แต่นับว่าด้อยแรงกว่า แต่ทำไมอันแรกไม่เกิดการกลับตัว แต่อันสองกลับทำงานได้?

ลองเพิ่มแนวรับและแนวต้านลงกราฟ:

พินบาร์และระดับแนวรับและแนวต้าน

จะเห็นว่าความแตกต่างอยู่ที่ตำแหน่ง Pin Bar อันแรกอยู่ “ระหว่าง” แนวรับและแนวต้าน จึงไม่มีแรงใดๆ กดหรือดันอย่างมีนัยยะ ในขณะที่ Pin Bar อันที่สองเกิดบนแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง ราคาจึงเด้งกลับได้ตามคาด

สรุปว่า การอ่าน Pin Bar ควรดู “ตำแหน่ง” ด้วยว่าอยู่ในโซนของแนวรับ-แนวต้านหรือไม่ มากกว่าการดูรูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียว

อีกตัวอย่างคือรูปแบบแท่งเทียน “Three White Soldiers” ซึ่งเป็นสัญญาณต่อเนื่องของเทรนด์ขาขึ้น (Bullish Continuation) กล่าวคือ ถ้าเจอแท่งเทียนเขียว 3 แท่งเรียงต่อกันขนาดพอๆ กัน ก็เป็นสัญญาณว่าฝั่งซื้อยังคุมตลาด แต่ในตัวอย่างนี้เกิดแล้วราคากลับไม่ไปต่ออย่างที่คาด:

ทหารสามคน

ดูภาพแล้วพบว่า หลังจาก Three White Soldiers เกิดขึ้น ราคาหยุดนิ่งแทบไม่ขยับ อีกทั้งเกิด Doji ต่อเนื่องกัน สุดท้ายขยับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีแรงขาขึ้นใหญ่ๆ แบบที่รูปแบบนี้ควรจะเป็น

ลองใส่แนวรับ-แนวต้านลงไป:

ทหารขาวสามนายและระดับแนวรับและแนวต้าน

เราพบว่า Three White Soldiers กินระยะตั้งแต่แนวรับถึงแนวต้านพอดี ราคาจึงไม่มีที่ให้ไปต่อ เพราะติดแนวต้านที่ผู้ขายให้ความสนใจ สรุปแล้ว รูปแบบแท่งเทียนแบบ “ต่อเนื่องเทรนด์” จะได้ผลดีเมื่อราคายังมีช่องว่างให้ไปต่อ โดยไม่มีแนวต้านมาขวาง:

อีกาแดงสามตัวระหว่างระดับแนวรับและแนวต้าน

ส่วน Three Black Crows คือรูปแบบกลับกัน (ขาลง) และได้ผลตามคาด เพราะไม่มีแนวรับหรือแรงดึงกลับมาขัดขวาง

ดังนั้น การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candlestick Analysis) ใน Price Action ไม่ใช่เพียงการดูสัญญาณจากรูปแบบ (Pattern) แต่ต้องมองภาพรวมด้วย เช่น ขนาดแท่งเทียน เงา (Shadow) ระดับ Close/Open ตำแหน่งที่แท่งเทียนเกิด และที่สำคัญคือต้องดูร่วมกับแนวรับ-แนวต้านเสมอ

เงาของแท่งเทียน (Shadow) สื่อถึงแรงต่อต้านจากอีกฝั่ง หากเงายาวมาก แปลว่ามีแรงต้านสูง ซึ่งมักพบในช่วงคอนโซลิเดต (ตลาดไซด์เวย์) ที่มีแรงดันขึ้นลงในกรอบแคบ:

การเคลื่อนไหวของราคาด้านข้าง

หรือหากพบเงาแท่งเทียนยาวเป็นพิเศษจากระดับใดระดับหนึ่งบ่อยๆ บ่งชี้ว่าเป็นโซนแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแรง:

เงามากมายในที่เดียว

ส่วนในช่วงเทรนด์ของราคา เงาแท่งเทียนมักจะสั้นลง โดยเฉพาะแท่งที่เคลื่อนตามเทรนด์ เพราะราคากำลังเคลื่อนไปทางเดียวกัน:

การเคลื่อนไหวของแนวโน้ม

ขนาดตัวแท่งเทียน (Candle Body) ช่วยบอกความแข็งแรงของเทรนด์ด้วย ถ้าแท่งใหญ่ต่อกันหลายแท่ง แปลว่าเทรนด์ยังแข็งแรง แต่ถ้าเริ่มเล็กลงและมีเงามากขึ้น อาจใกล้จบเทรนด์:

เทียนเล่มใหญ่ไร้เงา

ตำแหน่งการปิด (Close) ของแท่งเทียนก็สำคัญ:
  • ถ้าปิดใกล้จุดสูงสุดของแท่ง แสดงว่าฝั่งซื้อ (Bulls) คุมตลาด
  • ถ้าปิดใกล้จุดต่ำสุดของแท่ง แสดงว่าฝั่งขาย (Bears) คุมตลาด
  • ถ้าปิดใกล้จุดเปิด และมีเงาทั้งบนและล่าง บ่งบอกถึงภาวะไม่แน่นอน (Doji)

การควบคุมวัว หมี ความไม่แน่นอน

รูปแบบ Price Action – ระบบเทรด Price Action

“รูปแบบ Price Action” คือการรวมเอารูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) กับรูปแบบทางเทคนิค (Technical Patterns) ที่ต้องมองเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างราคาโดยรวม ไม่ใช่แยกวิเคราะห์เฉพาะแท่งเทียนสองสามแท่ง

เทรดเดอร์ต้องอ่าน แนวรับและแนวต้าน ให้ถูกต้อง แล้วจึงนำ “รูปแบบ” เหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อเข้าเทรดได้อย่างแม่นยำ มี Price Action Patterns มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่างเฉพาะที่ได้รับความนิยมและพบได้บ่อย

Pin Bar Pattern (Pinocchio) – รูปแบบกลับตัวของ Price Action

Pin Bar (หรือ Pinocchio) คือรูปแบบกลับตัว ประกอบด้วยแท่งเทียนที่มีเงายาวไปทางทิศเดียวกับเทรนด์ปัจจุบัน ส่วนตัวแท่งเทียน (Body) มีขนาดเล็กอยู่ฝั่งตรงข้าม เงาที่ว่านี้เปรียบเสมือน “จมูก” ของ Pinocchio

ข้อสังเกตสำหรับ Pin Bar ที่แข็งแรง:
  • เงาต้องยาวอย่างน้อย 3 เท่าของตัวแท่ง (Body)
  • ตัวแท่งควรเป็นสีตรงข้ามกับเทรนด์ ถ้าเทรนด์ขึ้น แท่ง Pin Bar ควรเป็นสีแดง ถ้าเทรนด์ลง แท่ง Pin Bar ควรเป็นสีเขียว (หากสีเดียวกับเทรนด์ แรงมักน้อยลง)
  • ควรเกิดบนยอด (Top) หรือฐาน (Bottom) จริงๆ โดยไม่มีแท่งเทียนอื่นติดขวางด้านซ้าย (หรือเรียกว่าต้องมี “ช่องว่าง”)
  • ต้องเกิดบน/ใกล้แนวรับ-แนวต้านที่สำคัญเท่านั้น

แถบหมุดบนแผนภูมิ

วิธีเข้าเทรดด้วย Pin Bar:
  • วิธีง่ายที่สุด (และนิยม) คือ เมื่อแท่ง Pin Bar ปิดแล้ว ให้เปิดออเดอร์ที่แท่งถัดไปทันที เลือกทิศทางกลับตัว Expiration เท่ากับ 1 แท่ง (เช่น TF H1 ก็เปิดออเดอร์ 1 ชั่วโมง)
  • อีกวิธีคือ รอ “คอนเฟิร์ม” 1 แท่งเพิ่มเติมก่อน (เช่น รอดูว่าแท่งถัดไปเป็นไปในทิศทางกลับตัวจริงไหม) จากนั้นจึงเปิดออเดอร์ 3-5 แท่ง

การซื้อขายพินบาร์

ข้อเสียของทั้งสองวิธีคือ:
  • การเข้าเทรดทันทีหลัง Pin Bar อาจเจอกรณีที่ตลาดไม่กลับตัว ทำให้ดีลขาดทุน
  • การรอแท่งคอนเฟิร์ม อาจพบว่าแท่งคอนเฟิร์มนั้นไปไกลแล้ว พอเข้าเทรดดีลใหม่ก็ตกรถไป หรือราคาอาจจะรีบาวน์กลับมาทำให้ขาดทุน
อย่างไรก็ดี หลายครั้ง Pin Bar ก็ทำงานได้ดีทั้งสองแบบ จึงขึ้นอยู่กับความถนัดและมุมมองของแต่ละบุคคล

รูปแบบ “Inside Bar” ใน Price Action

Inside Bar คือรูปแบบแท่งเทียนที่สะท้อนถึง “ความไม่แน่นอน” หากเกิดในจุดต่างกันก็สื่อความหมายต่างกัน:
  • ถ้า Inside Bar เกิดในช่วงเทรนด์แรง (มักอยู่ในช่วงดึงกลับ) ให้มองว่าเป็นสัญญาณไปต่อในทิศทางเดียวกับเทรนด์
  • ถ้า Inside Bar เกิดบนยอดหรือฐาน (Top/Bottom) และมีแนวรับ-แนวต้านรองรับ มักเป็นสัญญาณกลับตัว
รูปแบบ Inside Bar เกิดเมื่อแท่งเทียนที่สองถูกกักอยู่ภายในแท่งเทียนก่อนหน้า (High และ Low ไม่ทะลุแท่งก่อน) วิธีใช้งานคือ ขีดเส้นระดับสูงสุด (High) และต่ำสุด (Low) ของแท่ง Inside Bar หากราคาทะลุและปิดเหนือ/ใต้เส้นนั้น ก็เข้าเทรดตามทิศทางนั้น:

แถบด้านในของการเคลื่อนไหวของราคาที่มีแนวโน้ม

หรือหาก Inside Bar เกิดบนยอด/ฐาน ประกอบกับแนวรับ-แนวต้าน ก็เป็นสัญญาณกลับตัว:

แถบด้านในที่ระดับแนวรับและแนวต้าน

Engulfing Pattern หรือ External Bar – รูปแบบกลับตัวของ Price Action

Engulfing Pattern คือรูปแบบกลับตัวที่เกิดจากแท่งสองแท่ง โดยตัวแท่งหลัง (Candle 2) ต้อง “ครอบ” หรือ “ดูดซับ” แท่งก่อนหน้า (Candle 1) ทั้งเนื้อแท่งและเงาในทิศทางตรงข้ามกับเทรนด์ปัจจุบัน กติกาการใช้เหมือน Pin Bar:
  • ต้องเกิดบน/ใกล้แนวรับ-แนวต้าน
  • ต้องเกิดที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุด (“มีช่องว่าง” ด้านซ้าย)

รูปแบบการดูดซึม

วิธีเข้าเทรดคล้าย Pin Bar:
  • เปิดออเดอร์ทันทีที่แท่ง Engulfing ปิด ตามทิศทางกลับตัว
  • หรือรอแท่งยืนยันอีกหนึ่งแท่งก่อนเปิดออเดอร์ 3-5 แท่ง

Three-Bar Reversal – รูปแบบกลับตัวของ Price Action

Three-Bar Reversal เป็นรูปแบบกลับตัวอีกประเภทหนึ่ง ที่มีทั้งหมด 4 แท่ง แต่เริ่มนับจากแท่งที่สอง (แท่งที่สองในกลุ่มจะถูกเรียกว่า “1”) คือ มีแท่ง 3 แท่งที่เดินหน้าตามเทรนด์ และแท่งที่สี่เป็นแท่งกลับตัว

หากราคาทะลุ Low (ถ้าเทรนด์ขึ้น) หรือ High (ถ้าเทรนด์ลง) ของแท่งที่สองในกลุ่มและปิดแท่งถัดไปนอกระดับนั้น ก็เป็นสัญญาณกลับตัวทันที:

การกลับตัวสามแท่ง

หลังราคาเบรกและปิดเหนือ/ใต้จุดที่ระบุ ให้เปิดออเดอร์กลับตัว 3-5 แท่ง โดยมองหา Three-Bar Reversal เฉพาะจุดแนวรับ-แนวต้านแข็งแรงเท่านั้น (หรือเทรดตามเทรนด์แล้วรอจังหวะดึงกลับ)

Reversal Pivot – ระบบเทรด Price Action

Reversal Pivot คือรูปแบบแท่งเทียนสามแท่งเช่นกัน โดยแท่งกลางต้องมี High สูงกว่าแท่งซ้ายและขวา (ถ้าเป็นขาลง) หรือ Low ต่ำกว่าแท่งซ้ายและขวา (ถ้าเป็นขาขึ้น) และแท่งที่สามต้องกลับตัวดูดซับแท่งก่อนหน้าทั้งเนื้อและเงา

ต้องหา Reversal Pivot บนแนวรับ-แนวต้านแข็งแรง หลังมีการเคลื่อนที่ของราคาตามเทรนด์อย่างชัดเจน พอแท่งที่สามปิดก็สามารถเข้าเทรดกลับตัว 3 แท่ง:

เดือยกลับด้านบน

ถ้าเป็นการกลับตัวจากฐาน (Bottom) ก็จะมีหน้าตาดังนี้:

เดือยการกลับตัวที่ต่ำกว่า

False Breakout of the Trend Line

False Breakout of the Trend Line คือกลยุทธ์ Price Action ที่อาศัยการขีดเส้นเทรนด์ (Trendline) ด้วยตัวแท่งเทียน (Body) ในระหว่างที่ราคามีเทรนด์แข็งแรง เมื่อมีการเบรกทะลุเทรนด์ไลน์ ให้ลากเส้นแนวนอนที่จุดสูงสุด (ถ้าเทรนด์ลง) หรือจุดต่ำสุด (ถ้าเทรนด์ขึ้น) ล่าสุด ถ้าราคาเบรกจุดนั้นได้จริง ให้เปิดออเดอร์ตามทิศทางที่ราคาเบรก เพราะคาดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่:

การทะลุเส้นเทรนด์ไลน์ที่ผิดพลาด

วิธีนี้ช่วยเลี่ยงปัญหา “เปลี่ยนองศาเทรนด์” ที่ราคาอาจเคลื่อนที่ต่อไปในเทรนด์เดิมแต่ชันน้อยลง

Closing Price Reversal Pattern – รูปแบบกลับตัวของ Price Action

Closing Price Reversal เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยใน Price Action ถ้าให้ผลดีควรเกิดบนแนวรับ-แนวต้านแข็งแรง (ระหว่างกลางผลงานจะไม่ค่อยดี)

รูปแบบประกอบด้วย 2 แท่ง แบ่งได้เป็น 2 แบบ:
  • Bearish Closing Price Reversal: แท่งแรกเป็นแท่งเขียว (Bullish) แท่งสองเป็นแท่งแดง (Bearish) และเงาของแท่งสองต้องพุ่งสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งแรก
  • Bullish Closing Price Reversal: แท่งแรกเป็นแท่งแดง (Bearish) แท่งสองเป็นแท่งเขียว (Bullish) และเงาของแท่งสองต้องต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งแรก
วิธีเข้าเทรดคือ เปิดออเดอร์ตามทิศทางกลับตัวทันทีเมื่อแท่งที่สองปิด ตั้ง Expiration ประมาณ 1-3 แท่ง:

การกลับรายการราคาปิด

รูปแบบนี้ยังสามารถใช้ในช่วงไซด์เวย์หรือในเทรนด์ได้เช่นกัน แต่ควรเทรดไปในทิศทางเดียวกับเทรนด์เป็นหลัก

Price Consolidation

Price Consolidation ไม่ใช่รูปแบบ (Pattern) โดยตรง แต่เป็น “ช่วงราคาสะสม” (ไซด์เวย์) ที่อาจใช้ทำกำไรด้วย Price Action ได้ หากเข้าใจลักษณะ:
  • หลังช่วงไซด์เวย์แคบๆ และต่อเนื่อง มักจะเกิดแรงเคลื่อนที่ของราคาอย่างรุนแรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
  • การสะสมตัว (Consolidation) อาจกลายเป็นโซนแนวรับ-แนวต้านได้ด้วย

การควบรวมกิจการที่ยาวนานและแนวโน้มที่แข็งแกร่ง

คุณอาจเลือกเทรดเบรกเอาต์ (Breakout) โดยรอราคาทะลุกรอบ หรืออาจรอให้ราคาเบรกออกไปแล้วดึงกลับมาแตะขอบเดิม ก่อนเข้าเทรดตามทิศทางเบรก ซึ่งมักจะปลอดภัยกว่า

Pattern 1-2-3 หรือ “False Top or Bottom” – รูปแบบต่อเนื่องของเทรนด์ใน Price Action

“False Top or Bottom” หรือ Pattern 1-2-3 เป็นรูปแบบที่ใช้เพื่อหาจุดเข้าเทรนด์ (Trend Continuation) เมื่อราคาดึงกลับ

Pattern มี 3 จุดสำคัญ:
  1. จุดเริ่ม (Start) ของเทรนด์
  2. จุดสูงสุดหรือต่ำสุด (เริ่มดึงกลับ)
  3. จุดสิ้นสุดดึงกลับ
ขีดเส้นแนวนอนที่จุด “2” ถ้าราคาเบรกและปิดเหนือ/ใต้จุดนั้นตามเทรนด์เดิม ให้เปิดออเดอร์ไปต่อทันที ตั้ง Expiration ประมาณ 3-5 แท่ง:

1-2-3 อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น

สำหรับขาลงก็กลับด้านกัน:

1-2-3 ในแนวโน้มขาลง

เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องอยู่ในตลาดที่มีเทรนด์จริงๆ ราคาต้องทำ Higher High หรือ Lower Low อย่างต่อเนื่อง ถึงใช้ Pattern นี้ได้ผลดี

ทำไม Price Action จึงได้ผล?

คำถามยอดฮิต คือทำไม Price Action ถึงใช้ได้ผล? คำตอบคือ Price Action สอนเราให้ “อ่านกราฟ” โดยตรง ไม่ต้องอาศัยอะไรนอกจากข้อมูลราคา ซึ่งเป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่ผู้เล่นทั้งโลกกำลังมองอยู่

ราคาขยับขึ้นลงเพราะออเดอร์ในตลาด แต่กราฟราคาที่เราเห็นไม่ใช่แค่ภาพสะท้อน มันคือ “แหล่งข้อมูล” ชั้นดี หากวิเคราะห์เป็นเราจะรู้ว่าตลาดกำลังเอนเอียงไปทางใด และมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน

หากเทียบกับกลยุทธ์อินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อน ซึ่งมักมีคนใช้น้อย (อาจเป็นคุณไม่กี่คน) Price Action นั้นมีคนใช้จำนวนมาก บางรูปแบบเห็นได้ชัด และผู้เล่นทุกคนก็มองเหมือนกัน เมื่อตลาดมี “มวลชน” เห็นตรงกัน จึงเกิดแรงหนุนให้รูปแบบนี้ทำงานได้ดีขึ้น

สรุปว่า Price Action ทำงานได้ดีก็เพราะมันเป็น “ภาษากลาง” ของราคา เทรดเดอร์ทั่วโลกสามารถเห็นตรงกัน และตอบสนองต่อรูปแบบเดียวกัน ส่งผลให้เกิดโอกาสเข้าเทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง

การเคลื่อนไหวของราคาตามระดับแนวรับและแนวต้าน

เทรดด้วย Price Action อย่างไร – สร้างรายได้จากระบบเทรด Price Action

สิ่งแรกที่อยากเน้น: “เทรนด์คือเพื่อน” นั่นคือ ไม่ควรสวนเทรนด์ การเทรดตามเทรนด์มักให้โอกาสทำกำไรที่ดีกว่า ใน Price Action การระบุเทรนด์เริ่มต้นทำได้จาก “จุดสูงและจุดต่ำ” สองจุดก่อนหน้า หากทำ Higher High / Higher Low หรือ Lower High / Lower Low ต่อเนื่อง นั่นคือเทรนด์:

ขาลง

ราคาเคลื่อนที่เป็นลักษณะคลื่น มีแรงดันไปตามเทรนด์ สลับกับการดึงกลับเป็นช่วงๆ จุดกลับตัวแต่ละครั้งคือ “ยอด” หรือ “ฐาน” (Local High/Low) หากเราระบุจุดเหล่านี้ได้ ก็พอคาดเดาเทรนด์ได้

การดึงกลับบางครั้งก็เป็นลักษณะไซด์เวย์ (Consolidation) ก่อนเคลื่อนที่ต่อในทิศทางเทรนด์ หรือกลับตัวเป็นเทรนด์ใหม่:

ระยะเวลาของการรวมราคา

ขั้นต่อมาคือการตีแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญบนกราฟ ให้แน่ใจว่ามีหลักฐานว่าราคาเคยเด้งหรือกลับตัวจากจุดนั้นจริงๆ:

ระดับแนวรับและแนวต้านและโซนการแข็งตัว

แล้วเลือกใช้ Price Action Patterns ที่เราถนัดมาช่วยหาจุดเข้าเทรด โดยดูว่าเป็นเทรนด์ขาลงหรือขาขึ้น เพื่อเลือกเฉพาะรูปแบบที่สนับสนุนทิศทางเทรนด์:

การวิเคราะห์กราฟตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา

สังเกตว่าจะไม่ใช้ Pattern ที่สวนเทรนด์หากไม่มีแนวรับ-แนวต้านแข็งแรงรองรับ

ก่อนนำ Price Action มาเทรดจริง เราต้อง:
  • มีกฎชัดเจน (Algorithm) สำหรับแต่ละรูปแบบ
  • ทดสอบย้อนหลัง (Backtest) จนมั่นใจ
  • ดูสถิติว่ายังมีกำไรในระยะยาว
  • มองหารูปแบบซ้ำที่เกิดในตลาด
ทั้งหมดนี้มักผสานแนวรับ-แนวต้านและรูปแบบแท่งเทียน บางทีก็ใช้ Moving Average เป็น Dynamic Support-Resistance ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน

การวิเคราะห์โครงสร้างของ Price Action

เป้าหมายหลักของการเทรด คือการหา “จุดเข้าเทรด” ที่โอกาสชนะสูงสุด แต่จะหาจุดเหล่านี้ได้อย่างไร? ใน Price Action เรียกสิ่งนี้ว่า “Structural Analysis” หรือการวิเคราะห์โดยรวมของหลายปัจจัย

ยกตัวอย่างเช่น หากเราพบ:
  • ตลาดอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น
  • เกิด Pin Bar ในช่วงดึงกลับ และ Pin Bar หันหน้ากลับไปขาขึ้น
  • Pin Bar นั้นเกิดบนแนวรับ-แนวต้านที่เป็น “ราคากลม” (Round Number)
  • มี Moving Average (SMA หรือ EMA) ช่วยยืนยันว่าราคายังเป็นขาขึ้น
เมื่อทั้งหมดสอดคล้องกัน นี่คือสัญญาณเข้าที่แรงมาก เพราะได้ปัจจัยหลายอย่างหนุนในทิศทางเดียว:

การรวมกันของปัจจัยการเคลื่อนไหวของราคา

ในภาพจะเห็นรูปแบบ Bullish Closing Price Reversal สองครั้ง ซึ่งเกิดตรง Dynamic Support (Moving Average) และระดับราคากลม ฉะนั้นโอกาสที่ราคาจะดีดขึ้นตามเทรนด์ยิ่งสูง

นี่คือจุดเด่นของ Price Action ที่ไม่ได้แยกรูปแบบแท่งเทียนออกมาเดี่ยวๆ แต่รวมทุกองค์ประกอบทั้งแนวรับ-แนวต้าน โครงสร้างเทรนด์ และสัญญาณอื่นๆ เข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีกลยุทธ์ใดแม่นยำ 100% จึงควรมี การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ที่ดีเสมอ เช่น ไม่ลงทุนเกินกว่าที่พอร์ตจะรับได้

วิธีใช้ Price Action ในการเทรดจริง

การเทรดด้วย Price Action ต้องอาศัย “ความอดทน” อย่างมาก เพราะแม้เราจะมีทักษะมองกราฟได้ดี แต่การเปิดออเดอร์ต้องรอจังหวะที่เห็นสัญญาณชัดเจน ไม่ใช่ “ยิงทุกเม็ด” แบบสุ่มสี่สุ่มห้า

ในขณะที่กลยุทธ์ Indicator อาจมีสัญญาณบ่อย (เมื่ออินดิเคเตอร์บอกให้เข้า ก็เข้า) แต่ Price Action จะเน้นคุณภาพของสัญญาณ มากกว่าปริมาณ ดังนั้นบางวันหรือบางช่วงคุณอาจไม่ได้เทรดเลย เพราะไม่พบโอกาสเหมาะสม

Price Action มีทั้งความ “เรียบง่าย” ในกฎเกณฑ์ และความ “ซับซ้อน” ในการประยุกต์ใช้จริง เพราะต้องมองกราฟทั้งภาพรวม ไม่ใช่รอสัญญาณ “ลูกศรขึ้น” หรือ “ลง” อย่างเดียว

สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นอาจยาก แต่ถ้าได้ฝึกฝนเพียงพอ คุณจะประยุกต์ใช้ Price Action ได้อย่างอิสระ และเป็นการ “ปลดล็อก” จากกรอบความคิดแคบๆ ของระบบอินดิเคเตอร์

อีกปัญหาหนึ่งคือ บางคนจำทุก Pattern ได้ แต่เวลาเจอกราฟจริงกลับ “มองไม่เห็น” ว่ารูปแบบเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง เพราะสมองไม่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น บางคนหา Inside Bar ได้ง่าย แต่ไม่เห็น Pin Bar ในขณะที่บางคนกลับกัน

ทางแก้คือ “ฝึกฝน” โดยอาจเริ่มจากบัญชีเดโม ทดลองเทรด จนคล่อง หลังจบแต่ละวัน ให้ลองบันทึกหน้าจอหรือทำเครื่องหมายทุกรูปแบบที่เราพบบนกราฟ เพื่อสร้างความคุ้นเคย

เมื่อฝึกบ่อยๆ คุณจะเริ่มเห็นรูปแบบโดยอัตโนมัติ และสามารถตัดสินใจได้ทันที:

การวิเคราะห์แผนภูมิ

นี่คือขั้นตอนฝึก Price Action จนกว่าจะสามารถระบุตำแหน่งรูปแบบได้ในพริบตา

หนึ่งสัปดาห์กับ Price Action

เพื่อเป็นตัวอย่าง เราลองดูกราฟ TF H1 ของหนึ่งสัปดาห์ โดยใช้แนวรับ-แนวต้านแบบตัวเลขกลม (Round Number) เราพบว่าเป็นเทรนด์ขาลง จึงโฟกัสเฉพาะรูปแบบที่สอดคล้องกับขาลง:

หนึ่งสัปดาห์กับ Price Action

  1. Inside Bar
  2. Pin Bar
  3. Bearish Closing Price Reversal
  4. Upper Reversal Pivot
  5. Pin Bar
  6. Inside Bar
  7. Pin Bar
  8. Bearish Closing Price Reversal
  9. Inside Bar
  10. Bearish Closing Price Reversal
  11. Inside Bar
  12. Three-Bar Reversal
  13. Inside Bar
นี่เป็นแค่บางส่วน ยังมีรูปแบบอื่นที่คุณอาจพบได้อีก ลองฝึกหาด้วยตนเองเพื่อพัฒนาทักษะ

Price Action: บทสรุป

Price Action คือชุดของระบบเทรดที่มุ่งทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคา โดยอาศัยรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จากแรงซื้อและแรงขายในตลาด การใช้งานต้องควบคู่กับการอ่านแนวรับ-แนวต้าน และความเข้าใจแท่งเทียน (Candlestick) หรือรูปแบบเทคนิคอื่นๆ

Price Action ใช้ได้กับทุก Time Frame แม้ TF เล็กๆ (เช่น M1) จะมี “Noise” ค่อนข้างเยอะ แต่ก็มีเทรดเดอร์บางคนถนัดเทรดออปชั่นระยะสั้น (Turbo) อยู่ดี ขึ้นอยู่กับสไตล์ของคุณ

สิ่งสำคัญคือ Price Action สอนให้เรา “อ่านราคา” อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกจำกัดด้วยเส้นหรือตัวชี้วัดอื่นๆ จนทำให้เราพลาดมุมมองภาพรวม หากคุณต้องการยกระดับการเทรด การศึกษา Price Action อย่างลึกซึ้งถือเป็นทางเลือกที่ดี
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar