หน้าหลัก ข่าวไซต์
วิเคราะห์หลายกรอบ: อัปเกรดการเทรดของคุณ (2025)
Updated: 06.05.2025

การวิเคราะห์หลายกรอบของกราฟในการเทรด: วิธีดูกราฟและเทรดในหลายกรอบเวลา (2025)

การวิเคราะห์กราฟหลายกรอบ (Multiframe chart analysis) เป็น “ศาสตร์” ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์สินทรัพย์เดียวกันได้พร้อมกันหลายกรอบเวลา เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพตลาดได้อย่างครบถ้วน

เทรดเดอร์หลายคน (รวมถึงตัวผมเอง) มักชอบอยู่แค่กรอบเวลาเดียว แล้วดูกราฟเดียวเท่านั้น โดยทั่วไปไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะหากการเทรดทุกดีลปิดภายใน 30 นาที เปิดกราฟ M1 เจอ แนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง แล้วเปิดออเดอร์ รอให้กำไรมา แต่ประโยชน์ของการวิเคราะห์หลายกรอบของสินทรัพย์เดียวกันมันคืออะไร?

แน่นอน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเทรดเดอร์และกลยุทธ์การเทรดของเขาเอง — หลายระบบ (แทบจะทั้งหมด) ถูกออกแบบมาสำหรับกรอบเวลาใดกรอบเวลาหนึ่ง ทำให้บางคนไม่สนใจเปลี่ยนกรอบเวลาไปมา แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์หลายกรอบก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก

สมมติเราดู EUR/USD ซึ่งเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมที่ทุกคน (หรือเกือบทุกคน) เทรดอยู่ บนกรอบเวลา H1 (1 ชั่วโมง) เราจะเห็นเทรนด์ขาขึ้น:

แนวโน้มขาขึ้นใน H1

แต่บน M1 (1 นาที) ราคากลับวิ่งในลักษณะไซด์เวย์หลังจากดิ่งลงอย่างแรง:

การเคลื่อนไหวของราคาด้านข้างบน M1

แล้วเราควรคาดหวังการเบรกเอาต์ออกจากโซนคอนโซลิเดชันตรงไหน? ถ้าเบรกลงจะลงไปได้ไกลแค่ไหน? มีแนวโน้มว่าจะลงไปถึงเส้นเทรนด์ แล้วราคาก็จะกลับตัวขึ้น ถ้าเบรกขึ้นจะเพราะอะไร? ก็เพราะถึงแม้ในกรอบ M1 จะดูว่าราคาไซด์เวย์ แต่ตอนนี้กรอบใหญ่กว่า (H1) ยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

- เดี๋ยวก่อน เส้นเทรนด์อื่นไหนอีกล่ะ?!
- นี่ไง เส้นเทรนด์เส้นนี้ครับ เพื่อนรัก:

เส้นแนวโน้มบน M5

เมื่อเจอแบบนี้ คุณอาจงงว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเส้นอยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน และทำไมราคาถึงมีโอกาสดีดกลับตรงจุดนี้ได้

นี่แหละ คือความงามของการวิเคราะห์หลายกรอบ — เราดูกรอบที่ใหญ่กว่าเพื่อหาแนวโน้มหลัก และใช้กรอบที่เล็กกว่าเพื่อส่องรายละเอียด “ใกล้ชิด” หาโอกาสเปิดดีลแบบแม่นยำยิ่งขึ้น

กรอบเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเทรดและทำกำไร

“กรอบเวลาที่ดีที่สุด” สำหรับการเทรดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล พอ ๆ กับรสนิยมด้านอาหาร บางคนกินเกี๊ยวแล้วชอบ แต่บางคนไม่ชอบเอาซะเลย เรื่องเดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นในการเทรด — มีคำถามเยอะว่าควรเทรดกรอบเวลาไหนดี แต่ไม่มีคำตอบตายตัว และคงไม่มีวันมี

หัวใจอยู่ที่ผลลัพธ์ของเราเอง ถ้าคุณเทรดแล้วสบายใจ เข้าใจสถานการณ์ตลาด และมีกำไร นั่นแหละกรอบเวลาที่ “ใช่” สำหรับคุณ แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มกดปุ่มเปิดออเดอร์? ยังไม่แม่นเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค แค่เห็นคำว่า Multi... อะไรสักอย่างก็กังวลแล้ว แบบนี้ควรทำอย่างไร?

ลองถามตัวเองสองสามข้อ:
  • ฉันพร้อมจะทุ่มเวลากับการเทรด (วิเคราะห์ตลาด) มากน้อยแค่ไหน?
  • ฉันอยากเปิดกี่ออเดอร์ต่อวันเพื่อค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์?
และส่วนใหญ่ “มือใหม่” มักตอบว่า “ล้านดีลใน 3-4 ชั่วโมง! เมื่อไหร่จะรวยพันล้าน?” ซึ่งไม่ถูกต้อง แต่หลายคนก็ทำแบบนี้ — เทรดกัน 2-3 ชั่วโมง เปิดเป็นร้อย ๆ ออเดอร์ (ยิงสัญญาณทุกครั้งที่กราฟขยับนิดเดียว) ผมเองเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน และไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย

คำตอบที่ถูกต้องน่าจะเป็น:
  • ฉันพร้อมทุ่มเวลาดูตลาดวันละ 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เทรดตอนเหนื่อยเกินไป
  • เปิดออเดอร์ 3-10 ดีลต่อวัน (ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด)
ถ้าเทียบกับกรอบเวลาที่ใช้งานได้ดีสำหรับแนวทางนี้ ก็คือ M15 หรือ M30 และเวลาในการปิดดีล (expiration) จะอยู่ที่ 1-4 ชั่วโมง ยิ่งกรอบเวลาสูงขึ้น การเทรดก็ยิ่งง่าย และถ้าเราบริหารความเสี่ยงดี แม้พลาดก็ขาดทุนไม่มาก (เพราะจำนวนดีลน้อย) วันหนึ่งเจอสัญญาณ 2-3 ครั้ง เปิดออเดอร์ไป คอยสังเกตตลาดระหว่างรอปิด มันก็น่าสนุก และยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีอีกด้วย:

  • ราคาจะไปไกลแค่ไหนจากจุดที่เราเปิดออเดอร์?
  • การเคลื่อนไหวของราคาแต่ละแท่งเทียนบอกอะไรเราได้บ้าง?
  • ดูราคาวิ่งแบบเรียลไทม์ แล้วเก็บข้อมูลมาพัฒนาตัวเอง
แค่การเฝ้าดูกราฟด้วยความสนใจ เพราะมีดีลเปิดค้างไว้อยู่ ก็ช่วยให้เราเรียนรู้ได้มาก และถ้าคุณเปิดออเดอร์บน M30 (ประมาณ 2 ชั่วโมง) แล้วสลับดู M1 ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวราคาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เยอะขึ้น น่าตื่นเต้นดี

ไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับเทรดเดอร์คนอื่น เช่น ผมเป็นคนขี้เกียจมากและแทบจะไม่ยอมแบ่งเวลาเทรดเกินวันละ 1 ชั่วโมง ผมเลยเล่นกรอบเวลา M1 แล้วเก็บกำไรเร็ว ๆ (3-5 นาที) ก็เพราะผมมีประสบการณ์มาตั้งแต่ปี 2011! ผมทำแบบนี้ได้ แต่ถ้าคุณยังใหม่ อย่าประเมินตัวเองสูงเกินไป ลองเล่นดีลที่มีอายุ 15 นาทีหรือมากกว่านั้นก่อน อย่าลืมว่าความเสี่ยงก็ยังอยู่เหมือนเดิม!

แต่จะทำให้การเปิดออเดอร์ 15 นาทีหรือมากกว่านั้น สะดวกสบายขึ้นได้อย่างไร? ก็ไม่มีใครห้ามคุณเปิด MT4 (Meta Trader 4) แล้วดูกราฟสินทรัพย์ตัวเดียวกันในหลายกรอบเวลาพร้อม ๆ กัน เช่น M1, M15, M30, H1:

สี่แผนภูมิของหนึ่งสินทรัพย์

เราจะเห็น “ภาพรวมตลาด” อย่างครบถ้วน แม้อาจดูขัดแย้งกันในแต่ละกรอบ แต่ก็คือประโยชน์ที่แท้จริง:
  • M1 กำลังอยู่ในภาวะคอนโซลิเดชัน (ไซด์เวย์)
  • M15 แสดงช่วงไซด์เวย์ค่อนข้างยาว
  • M30 บอกว่าราคาเคยเบรกออกจากแพทเทิร์นด้านล่าง แล้วขึ้นมาทำแพทเทิร์นไซด์เวย์ใหม่
  • H1 ยืนยันทิศทางหลักว่าราคายังเป็นขาขึ้น
แล้วจะเอาข้อมูลทั้งหมดไปใช้ยังไง? ตัวอย่างเช่น เราอาจกำหนดแนวรับแนวต้าน แล้วรอให้ราคามาชนแนวเหล่านั้น:

การวิเคราะห์หลายเฟรม

แนวรับหลักมาจากกรอบ M15 และได้รับการยืนยันอีกทีในกรอบที่สูงขึ้น เรามาดู M1 เพื่อรอให้ราคาลงมาจริง ๆ แล้วเปิดดีล “ขึ้น”:
  • กราฟ M15 และ M30 บอกจุดล่างของไซด์เวย์รอบนี้
  • เทรนด์หลัก (H1) ยังเป็นขาขึ้น
  • กราฟ M1 เมื่อตอนล่าสุดก็วิ่งขึ้นจากจุดนี้หลายครั้งในช่วงชั่วโมงที่ผ่านมา
จุดเข้าเทรดจึงดูมีเหตุผลและมีโอกาสสำเร็จสูง

กรอบเวลาแบบระยะยาว (Long-term) สำหรับการเทรด

กรอบเวลาแบบระยะยาวก็คือกรอบรายเดือน (Monthly), รายสัปดาห์ (Weekly) และรายวัน (Daily) ส่วนตัวผมจะใช้เพื่อดูภาพกว้างและเป็น “ตัวช่วย” เท่านั้น หากเล่นบน H1 หรือ H4

อีกมุมหนึ่ง ถ้าเราลากแนวรับแนวต้านในกรอบใหญ่เหล่านี้ เราอาจเจอรายละเอียดน่าสนใจ เช่น รูปแบบการกลับตัว (reversal patterns) ที่สำคัญมาก ซึ่งทำกำไรได้ดี:

เฮดแอนด์โชว์เดอร์ที่ระดับกราฟรายวัน

ข้อเสียของกรอบระยะยาวคือ โบรกเกอร์บางเจ้าจะไม่ให้เปิดดีลที่ยาวขนาดข้ามวันหรือข้ามสัปดาห์ แต่ถ้าคุณสนใจ ผมขอแนะนำ IQ Option ซึ่งอนุญาตให้ทำได้

กรอบเวลาแบบระยะปานกลาง (Medium-term) สำหรับการเทรด

กรอบระยะปานกลางคือ H1 และ H4 (รายชั่วโมง) เหมาะมากสำหรับการดูแนวโน้มหลักของตลาดก่อนเทรดในช่วงระหว่างวัน:

กรอบเวลาระยะกลาง

ในกรอบพวกนี้ มักใช้วางแผนเทรดเพื่อคาดการณ์ราคาในช่วงสิ้นวัน (End of Day) ถ้าพูดถึงแพลตฟอร์มที่อนุญาตการเทรดแบบนี้ ผมแนะนำ Intrade Bar

กรอบเวลาแบบระยะสั้น (Short-term) ในการเทรด

กรอบเวลาสั้นตั้งแต่ M1 ถึง H1 มักเป็นที่นิยมที่สุด เพราะได้สัญญาณการเทรดค่อนข้างถี่ และรับผลเร็ว ซึ่งในเว็บไซต์นี้มีระบบเทรดและกลยุทธ์มากมายที่ออกแบบมาสำหรับกรอบเวลาช่วงนี้:

กรอบเวลาระยะสั้น

ข้อดีของการเทรดระยะสั้น:
  • สัญญาณเทรดออกมาค่อนข้างถี่
  • รู้ผลการเทรดอย่างรวดเร็ว
  • เป็นการ “ซูม” การเคลื่อนไหวของราคา ทำให้เราเปิดดีลได้แม่นยำขึ้น
แต่ก็มีข้อเสีย — เพราะความผันผวนสั้น ๆ (Noise) อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเทรดได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับกรอบเวลาที่สูงกว่านั่นเอง

หากพูดถึงแพลตฟอร์มที่เหมาะกับกรอบสั้น ๆ ก็ยังเป็น Intrade Bar กับ Binarium ส่วน Pocket Option ก็ใช้ได้ แต่ควรตั้งเวลาออปชั่นไว้สัก 5 นาทีเป็นขั้นต่ำ เพราะลักษณะโควตราคาที่แตกต่างกันเล็กน้อย

ทำไมต้องมีหลายกรอบเวลาในการเทรด — และประโยชน์คืออะไร

แล้วจะดูหลายกรอบเวลาไปทำไม? มาดูตัวอย่างเพื่อความเข้าใจแบบชัดเจนกันเถอะ

สมมติเรายังอยู่กับ EUR/USD บนกรอบ M30:

การกลับตัวของราคาและแนวโน้มขาขึ้นบน M30

บนกราฟ เห็นได้ว่าเทรนด์ขาลงถูกแทนที่ด้วยเทรนด์ขาขึ้น ช่วงเปลี่ยนเทรนด์สังเกตได้จาก รูปแบบ Double Bottom (เป็นโมเดลกลับตัวของการวิเคราะห์ทางเทคนิค) ดังนั้นดูเผิน ๆ ก็คาดว่าขาขึ้นจะไปต่อ แต่จะจริงหรือเปล่า?

จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น

เทรนด์ขาขึ้นจบลงที่รูปแบบ “Triple Top” แม้ว่าจะไม่ชัดเป๊ะ แต่ยอดทั้งสามก็ชนโซนต้านเดียวกัน ก่อนราคาจะเด้งลง จากนั้นราคาลงไปที่จุดต่ำสุดแถว ๆ เดิม ซึ่งเกิด “Double Bottom” อีกครั้ง — มันกำลังจะเข้าไซด์เวย์หรือเปล่านะ? แนวรับดูก็แข็งแกร่งดี มีโอกาสจะดีดกลับขึ้นไหม?

ขาลง

อ้าว แล้วทำไมราคาถึงลงต่อได้อีก? ไหนว่าราคาน่าจะขึ้นเมื่อชนแนวรับแข็งแกร่ง? คำตอบง่ายมาก ถ้าคุณดูภาพมุมกว้างขึ้น:

สองจุดสูงสุดบน H4

ในกรอบ H4 มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย — มองเห็นชัดว่าเป็น “Double Top” หลังเทรนด์ขาขึ้น แล้วเราต้องเทรดยังไงกับรูปแบบ “Double Top”? ปกติจะมีหลักการ:
  • ลากแนวรับผ่านจุดต่ำระหว่างยอดสองลูก
  • รอให้ราคาหลุดแนวนั้น แล้วเปิดออเดอร์ขายตามเทรนด์ขาลง
นั่นหมายความว่าเราควรรอราคาทะลุจุดต่ำก่อนหน้านี้ เพราะกราฟกำลังบอกเราชัดเจนว่าราคากลับเทรนด์ แต่ในกรอบ M30 อาจจะไม่เห็นรูปแบบนี้ชัด และเราจึงเข้าใจผิดว่าอาจเป็นไซด์เวย์หรือเทรนด์ขึ้นต่อ

ลองดูรูปในกรอบ Day (D1):

สองจุดสูงสุดในกราฟรายวัน

เห็นเป็นรูปตัว “M” (Double Top) ชัดมาก ยิ่งยืนยันว่าอีกไม่กี่วันราคาต้องลง และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถ้ามองไกลไปกว่านั้น จะมีรูปแบบ “Head and Shoulders” อีก ซึ่งบอกแนวโน้มลงระยะยาวยิ่งขึ้น แต่เราไม่มีทางเห็นในกรอบเล็ก ๆ อย่าง M30 เพราะสเกลไม่พอ!

head and shoulders บนกราฟรายวัน

ทั้งหมดนี้คือ “ความผิดพลาด” ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ถ้าไม่ดูกรอบเวลาที่ใหญ่กว่า เพราะกรอบใหญ่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของตลาด

ดังนั้น ก่อนเทรดจริง ควรสำรวจกรอบสูงไว้ก่อน อาจมี “Double Top” ชัด ๆ อยู่ แต่เราไม่เห็น เพราะกรอบเล็กอาจหลอกตาได้!

ตัวอย่างการใช้การวิเคราะห์หลายกรอบในทางปฏิบัติ

หวังว่าคุณคงเห็นแล้วว่าการวิเคราะห์หลายกรอบมีประโยชน์อย่างไร:
  • กรอบเวลาสูงช่วยให้เห็นแนวโน้มใหญ่ (Global picture)
  • กรอบเวลาปานกลางช่วยซูมดูความเคลื่อนไหวได้ชัดขึ้น
  • กรอบเวลาต่ำช่วยให้หาจุดเข้าออกได้แม่นยำ
มาลองดูตัวอย่างการเทรดจริง ขั้นแรก ดูภาพกว้างก่อน:

การฝึกปฏิบัติการวิเคราะห์หลายเฟรม

ในกรอบ H1 (รายชั่วโมง) เราเห็นเทรนด์ขาขึ้น จึงลองขีดเส้นเทรนด์ผ่านจุดต่ำต่าง ๆ สังเกตว่าราคาล่าสุดใกล้เส้นแนวรับ แต่ยังไม่ชน จะเปิดออเดอร์ “ขึ้น” ทันทีดีไหม หรือรอให้ราคามาชนก่อน? ไปดูกรอบ M30 ต่อ:

M30 และโบลินเจอร์ แบนด์

ใส่ Bollinger Bands เข้าไป เห็นว่าราคาทะลุขอบล่าง คือเข้าสู่โซน Oversold แล้วไปดู M15 ต่อ:

M15 และเทียน Pinocchio

จะเห็นจุดน่าสนใจสองอย่าง:
  • แท่งแดงปิด “นอก” เส้น Bollinger Bands แล้วแท่งถัดมาก็เริ่มก่อตัวนอกเส้นเหมือนกัน
  • แท่งเทียนสุดท้ายอยู่ก้นของการปรับลง มีเงายาวด้านล่างและตัวเทียนสั้น ซึ่งดูคล้าย “Pinocchio” (รูปแบบกลับตัว)
สองปัจจัยนี้รวมกันบอกเราว่าราคากำลังจะดีดขึ้น ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ล่ะ!

ความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น

สุดท้ายราคาก็วิ่งขึ้นต่อจริง ๆ เราจึงได้กำไรจากการวิเคราะห์หลายกรอบ

กรอบเวลาสามแบบที่เหมาะที่สุดสำหรับการวิเคราะห์กราฟ

ถ้าพูดถึงการจับคู่กรอบเวลา (Time Frame Combination) สำหรับการวิเคราะห์หลายกรอบ เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะใช้คู่ประมาณนี้ เพราะให้ภาพรวมและรายละเอียดได้ครบ:
  • M1, M5, M30
  • M1, M5, M15
  • M5, M30, H4
  • M15, M30, H1
  • M15, H1, H4
  • H1, H4, D1
  • H4, D1, W1
ทั้งนี้ คุณอาจเลือกใช้คู่ที่ต่างออกไปก็ได้ ขึ้นกับความถนัดและกลยุทธ์เฉพาะตัว

บทสรุปของการวิเคราะห์หลายกรอบ

การวิเคราะห์หลายกรอบเป็น “เครื่องมือเสริม” ที่ดี ช่วยให้เทรดเดอร์ไม่พลาดจุดสำคัญในกรอบเวลาที่ใหญ่ และยังช่วยหาจุดเข้าออกที่แม่นยำกว่าในกรอบเล็ก

แล้วจำเป็นต้องใช้ทุกครั้งไหม? ส่วนมาก “ควร” มากกว่า “ไม่ควร” เพราะไม่มีโทษอะไร มีแต่ประโยชน์มากมาย แต่ข้อเสียคือใช้เวลามาก ต้องโฟกัสกับกรอบหลายอัน ทำให้เทรดหลายสินทรัพย์พร้อมกันยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีฟังก์ชัน Pending Order (เช่น โบรกเกอร์ Pocket Option มีให้) ซึ่งทำให้เราวางดีลล่วงหน้าได้ พอวิเคราะห์กรอบเสร็จก็ตั้งออเดอร์ให้ทำงานอัตโนมัติ แล้วค่อยไปดูสินทรัพย์อื่นต่อก็ได้ ถ้าเราตั้งใจจริงและบริหารจัดการดี ก็มีทางทำกำไรได้อย่างเป็นระบบ
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar