หน้าหลัก ข่าวไซต์
แนวรับและแนวต้าน: เคล็ดลับการเทรดออปชั่นไบนารี (2025)
Updated: 06.05.2025

เส้น ระดับ และโซนของแนวรับและแนวต้านในการเทรด: ระดับแนวรับและแนวต้านในออปชั่นไบนารี (2025)

ค่อย ๆ เราได้เข้าสู่หัวข้อที่น่าสนใจและทรงพลังมากสำหรับการวิเคราะห์กราฟราคา (หรือที่เรียกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค) นั่นคือ แนวรับและแนวต้าน (support and resistance) เนื้อหานี้ไม่ได้มีเพียงความรู้เกี่ยวกับ “ระดับ” เท่านั้น แต่เรายังจะพูดถึงเส้นแนวรับและแนวต้านตามเทรนด์ และเรียนรู้วิธีระบุและใช้งานทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง

เนื้อหา

พลังของอุปทานและอุปสงค์ในตลาด (พลังของหมีกับกระทิง)

หากคุณได้อ่านบทความก่อนหน้าอย่างละเอียด คุณคงพอเข้าใจแล้วว่าปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของราคาสินทรัพย์ใด ๆ ลองมาทบทวนกันอีกครั้ง—สมมติว่าเรามีสินทรัพย์หนึ่งตัว (เช่น USD/CAD) และมาวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดเมื่อราคาขยับไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง:
  • ถ้าราคาขยับขึ้น หมายความว่ามีผู้ซื้อในตลาดมากกว่าผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ เทรนด์ขาขึ้นสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากระทิง (ผู้ซื้อ) ยินดีจ่ายเพื่อให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้จะดำเนินไปจนกว่าผู้เข้าร่วมตลาดจะเห็นว่าราคาแพงเกินไปและไม่คุ้มที่จะซื้อเพิ่ม
  • ถ้าเราเห็นเทรนด์ขาลง ก็แปลว่าหมี (ผู้ขาย) มากกว่ากระทิงหลายเท่า จึงขายมากกว่าและทำให้ราคาตกลงต่ำลงเรื่อย ๆ สถานการณ์นี้ก็จะดำเนินไปจนกว่ากระทิงจะกลับมาในตลาด—นั่นคือเมื่อราคาตกจนดึงดูดให้ผู้ซื้ออยากซื้อมากขึ้น
  • การเคลื่อนไหวในแนวด้านข้าง (sideways หรือ flat) หมายถึงภาวะที่ตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน แรงซื้อและแรงขายเท่าเทียมกัน ไม่มีฝ่ายไหนต้องการเปลี่ยนแปลงสภาพ จึงไม่มีเทรนด์ใด ๆ สะท้อนถึงภาวะที่ตลาดกำลังพักตัว
ขอเติมรายละเอียดเล็กน้อย: ผู้เข้าร่วมตลาดทุกคนย่อมต้องการทำกำไร และผู้เข้าร่วมมีนับล้านคน รวมถึงเหตุผลในการเข้าออกออเดอร์ก็นับล้านเช่นกัน บางคน “กระโดดเข้า” ตอนปลายเทรนด์แล้วขาดทุน บางคนเปิดออเดอร์ตั้งแต่ก่อนที่ราคาเริ่มวิ่ง บางคนก็คาดหวังแต่โชคช่วย

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้คุณเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง: ตลาดไม่สามารถคาดการณ์ได้ 100% เพราะตลาดประกอบด้วยตัวแปรสุ่มนับล้านที่มีเป้าหมายและความต้องการของตัวเอง เราเห็นเพียงผลลัพธ์สุดท้าย: ราคาขึ้น, ราคาลง หรือราคาทรงตัว

ขณะเดียวกัน ตลาด (อ้างอิงจาก ทฤษฎี Dow) จะสะท้อนข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ตลอดช่วงเวลาที่มีอยู่ หมายความว่ากราฟราคาสามารถบอกใบ้เราได้ว่า “น่าจะ” เกิดอะไรขึ้นต่อไป การดูกราฟราคา เราสามารถคาดเดา:
  • การเกิดเทรนด์ใหม่
  • การอ่อนแรงของเทรนด์
  • สัญญาณการกลับตัวของราคาอย่างรวดเร็ว
  • การเริ่มหรือล้มเลิกภาวะราคาเคลื่อนไหวในกรอบ (sideway)
  • ระดับราคาที่เทรดเดอร์ให้ความสนใจ
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับจิตวิทยาตลาด—ผู้คนขับเคลื่อนด้วยอารมณ์คุ้นเคย: กลัวขาดทุนและอยากได้กำไร อารมณ์พวกนี้ก่อให้เกิดเทรนด์ต่าง ๆ และยังทำให้เทรนด์หยุดชะงักได้ด้วย กราฟราคาจึงบ่งบอกว่า ณ จุดไหนแรงอยากได้กำไรมากกว่าความกลัว และในทางกลับกัน

ในศัพท์วิชาชีพ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “โซน”—โซนอุปสงค์และโซนอุปทาน ถ้าแรงต้องการซื้อ (อยากได้กำไร) สูงมาก คนจำนวนมากก็จะถือเป็น “Demand Zone” คือโซนที่คนเข้าซื้อเพราะคิดว่าราคาตกต่ำพอแล้ว “ซื้อถูกแล้วไปขายแพง” ส่วนโซนอุปทานก็ตรงข้ามกัน—เป็นโซนที่ราคาสูงจนคนอยากขายเพื่อได้กำไรสูงสุด

โซนอุปทานและอุปสงค์ทำงานอย่างไร: กลไกอุปสงค์และอุปทานในการเทรด

ลองมาดูกลไกอุปสงค์และอุปทานในการเทรด ความรู้นี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการทำงานของแนวรับและแนวต้านได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างวันสตรีสากล 8 มีนาคม วันนี้เป็นวันที่ผู้ชายจำนวนมากพร้อมใจกันนึกได้ว่าผู้หญิงชอบดอกไม้ จึงไปร้านดอกไม้พร้อมกัน

ในกรณีนี้ อุปทาน (Supply) คือปริมาณสินค้าที่มีในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ถ้าของมีเยอะ (อุปทานมาก) ราคาก็จะถูกลง เพราะแต่ละร้านต้องลดราคาแข่งกันเพื่อจูงใจลูกค้า แต่ถ้าในย่านนั้นมีแค่ร้านเดียว มีลูกค้าอยากซื้อดอกไม้เยอะมาก ร้านก็สามารถขึ้นราคาได้อย่างง่ายดาย (เพราะไม่มีคู่แข่ง) นั่นคือยิ่งอุปสงค์ (Demand) สูงมากเท่าไร ราคาก็จะสูงตาม

และหลังจากพ้นช่วงพีค (เช่น วันที่ 9 หรือ 10 มีนาคม) เมื่อความต้องการซื้อดอกไม้ลดลง (Demand ลดลง) ราคาก็จะกลับมาถูกลง เพราะขายยากกว่าเดิม

สิ่งที่เราได้จากตัวอย่าง “ซื้อดอกไม้ในวันที่ 8 มีนาคม” คือ สินค้าหรือสินทรัพย์ทุกตัวในโลกย่อมมีหลักการอุปสงค์และอุปทานชัดเจน สำหรับกราฟราคา อุปสงค์และอุปทานมักถูกแทนด้วยเส้นสองเส้น ถ้าเรายกตัวอย่างคู่เงิน USD/CAD ที่มีราคาสมดุล “สมมติ”

อุปสงค์และอุปทาน

ถ้าอุปทานเพิ่มขึ้น ราคาสินทรัพย์จะลดลง: เส้นอุปทานจะเลื่อนไปทางขวา ในขณะที่อุปสงค์คงที่ จุดตัดระหว่างสองเส้นนี้แสดงราคาสินทรัพย์:

ถ้าอุปทานลดลง ราคาสินทรัพย์จะสูงขึ้น—ผู้ซื้อก็ยังพร้อมจ่ายเพื่อให้ได้สินทรัพย์ไว้ก่อน:

ถ้าอุปสงค์เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้นได้เช่นกัน เพราะผู้ซื้อมากขึ้น ดึงดูดให้ราคาขยับ:

ถ้าอุปสงค์ลดลง ราคาก็จะลดลงตามไป

ราคาของสินทรัพย์ทั่วโลก (Forex) จึงขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานอย่างแท้จริง ชุมชนนานาชาติเป็นผู้กำหนดว่าเงินสกุลไหนจะแข็งค่าหรืออ่อนค่าในตลาด ซึ่งก็สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยหลายอย่างของแต่ละประเทศ เช่น เหตุการณ์สงคราม การเมือง ภัยธรรมชาติ หรือการพัฒนาทรัพยากร โดยทั้งหมดนี้กระทบต่อความต้องการถือครองหรือเทขายสกุลเงินนั้น ๆ

ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือเมื่อมีวิกฤติใด ๆ เกิดขึ้นในประเทศ สกุลเงินประเทศนั้นอาจอ่อนค่าลงอย่างแรง แต่ถ้าประเทศไหนพัฒนาตัวเองสูง มีทรัพยากรและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง สกุลเงินนั้นย่อมแข็งค่าและเป็นที่ต้องการมากขึ้นในตลาด

แนวรับในการเทรด

แนวรับ (Support Level) หรือระดับอุปสงค์ จะอยู่ใต้ราคาปัจจุบันเสมอ มันทำหน้าที่ “ค้ำ” ไม่ให้ราคาตกลงไปลึกกว่าจุดนั้น วิธีหาแนวรับบนกราฟไม่ยาก—มันคือระดับราคาที่ราคาไม่สามารถเบรกลงต่ำกว่าได้หลายครั้ง:

ระดับการสนับสนุน

แนวรับทุกตัวผูกกับค่าราคาของสินทรัพย์ ระดับนี้บ่งบอกว่าการตกของราคาถูกหยุดลง เพราะอุปทานและอุปสงค์มาถึงจุดสมดุล จากนั้นราคาจะดีดขึ้นเพราะแรงซื้อ (กระทิง) เห็นว่าราคาน่าสนใจที่จะ “ซื้อถูก” แรงอุปสงค์เพิ่มขึ้น ราคาจึงขยับขึ้น

จุดสำคัญคือ แนวรับมักก่อตัวจากประวัติการซื้อขายก่อนหน้า (ราคาเคยลงมาถึงระดับนี้แล้วดีดขึ้น) หรือบางครั้งก็เป็นระดับราคาที่ลงมา “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราคา” สร้างแนวรับใหม่ ส่วนใหญ่มักเกิดที่ “เลขกลม (Round Number)” ซึ่งเราจะอธิบายเพิ่มเติมในภายหลัง

แนวต้านในการเทรด

แนวต้าน (Resistance Level) หรือระดับอุปทาน จะอยู่เหนือราคาปัจจุบันเสมอ ตามชื่อก็คือระดับที่ “ต้าน” ไม่ให้ราคาขึ้นไปสูงกว่านั้น เมื่อราคาเข้าใกล้ระดับนี้ก็มักจะมีแรงขายมาก และราคาจะร่วงลง:

ระดับความต้านทาน

ในแง่กลไก แนวต้านก็ก่อตัวจากจุดสูงสุดในอดีต (local maximum) และอิงกับค่าราคาที่ผู้ขายเห็นว่าขายได้กำไรดี เมื่อถึงจุดนี้ แรงขาย (อุปทาน) จะมากพอจนราคาต้องถอยลง

ถ้าแนวรับมีฝั่งกระทิงพยายามดันราคาให้กลับขึ้น แนวต้านก็มีฝั่งหมีที่เข้ามาขายเพื่อให้ราคาไม่ขึ้นไปไกล ยิ่งมีผู้ขายมาก การกลับตัวจากแนวต้านก็จะยิ่งแรง

บางครั้งอาจเห็นราคาย่อตัวก่อนถึงแนวต้าน (หรือแนวรับ) เล็กน้อย—เป็นเรื่องปกติที่คนจำนวนหนึ่งหวัง “ได้กำไรก่อน” จึงรีบขายก่อนถึงระดับต้านจริง ๆ หรือรีบซื้อก่อนถึงระดับรับจริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความกลัวที่จะพลาดและความโลภที่ผสมกัน

จิตวิทยาแนวรับและแนวต้าน: ทำไมระดับเหล่านี้ถึงดันราคากลับตัว

เชื่อว่าหลายคนที่เคยเจอแนวรับและแนวต้านคงสงสัยว่า “ทำไมมันถึงได้ผลจริงและดันราคากลับ?” ขณะเดียวกันก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่เชื่อในแนวรับแนวต้าน อินดิเคเตอร์ หรือแพทเทิร์นแท่งเทียนใด ๆ เลย และมองว่า “มันเป็นเรื่องหลอกลวง” หรือ “ออปชั่นไบนารีหลอกลวง!” โดยไม่สนว่ามีคนทำกำไรได้จริง

แต่มาดูเหตุผลเชิงจิตวิทยาของแนวรับและแนวต้านกัน: อย่างที่เราได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ ยิ่งมีความต้องการซื้อสินทรัพย์มาก ราคาก็ยิ่งสูงขึ้น จนกระทั่งมาถึงจุดที่ผู้ซื้อเริ่มคิดว่าราคา “น่าจะแพงเกินไปแล้ว” ถึงเวลาขายเอากำไร—จึงเกิดเป็นแรงขายมาก แรงขายนี้จะปรากฏชัดเจนที่บริเวณราคาสูงสุดเดิม (local max) ที่เคยเกิดขึ้น เพราะคนมักเชื่อว่าราคานี้มี “ประวัติดันไม่ขึ้น” มาก่อน

พูดง่าย ๆ: ผู้ขายมองกราฟอดีต ราคาเคยดีดลงจากไหน ก็จะคาดหวังว่าเมื่อราคาไปถึงจุดนั้น (หรือใกล้เคียง) จะมีผู้ขายรายใหญ่มาร่วมกันกดราคาลงอีก พอผู้ขายหลายคนเห็นตรงกัน ก็ทำให้ราคากลับตัวลงแรงจริง

ถ้าเป็นแนวรับ กระทิง (ผู้ซื้อ) จะรอจังหวะ “ซื้อถูก” จากระดับที่เคยเป็นจุดต่ำสุดเดิม พอราคาลงมาถึงระดับนั้นแล้วแรงขายเริ่มอ่อนลง กระทิงก็พร้อมเข้ามาซื้อ ยิ่งมีผู้ซื้อเยอะ ราคาก็ยิ่งดีดตัวกลับขึ้น:

ความต้องการความแข็งแกร่งในระดับแนวรับ

สรุปสั้น ๆ:
  • ในตลาดมีการต่อสู้ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายตลอดเวลา
  • แนวรับก่อตัวขึ้นเมื่อผู้ซื้อมีมากกว่าผู้ขาย
  • แนวต้านเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ
ทั้งหมดนี้เป็นกลไกที่มีเหตุผล: ฝั่งกระทิงไม่อยากซื้อแพง ๆ ส่วนฝั่งหมีไม่อยากขายถูก ๆ จึงสลับกันคุมตลาดไปมา

โอเค ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าแนวรับและแนวต้านก่อตัวอย่างไร แต่ “ทำไม” มันถึงดันราคาจริง ๆ ล่ะ? คำตอบคือตลาดขับเคลื่อนด้วยจิตวิทยาของผู้คน และ “ผู้คน” เหล่านั้นล้วนไม่อยากขาดทุนเหมือนกับเรา

ลองนึกถึงประสบการณ์ชีวิต เช่น คุณเคยถูกไฟลวกจากไม้ขีดไฟจนเจ็บ จิตสำนึกบอกคุณว่าอย่าเล่นกับไฟอีก มิฉะนั้นจะโดนลวกอีก ในการเทรดก็คล้ายกัน—ใคร ๆ ก็กลัวเสียเงินและอยากได้กำไร จึงต้องหาจุดที่ “ปลอดภัย” และมีโอกาสกำไรมากที่สุด นั่นก็คือจุดที่เคยมีการกลับตัวแรงในอดีต หรือระดับราคาที่มีคนส่วนใหญ่จับตา

ดังนั้น เมื่อราคาเข้าใกล้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจุดสูงสุด/ต่ำสุดในอดีตระยะสั้นหรือระยะยาว มักมี “การตัดสินใจร่วมกัน” ของเทรดเดอร์จำนวนมาก ว่าจะเอาอย่างไรต่อ บางส่วนอาจปิดทำกำไร บางส่วนอาจเปิดออเดอร์ใหม่ตามจุดนั้น ๆ ส่งผลให้เกิดการชะงัก การดีดตัว หรือการเบรกทะลุก็ได้

ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่าราคาสูงพอแล้ว กลัวว่าถ้าขึ้นอีกมีความเสี่ยง ก็พร้อมใจกันขายจนราคาตกลง หรือถ้าราคาลงต่ำมากจนดู “น่าซื้อ” กระทิงก็พร้อมใจกันเข้ามาอัดออเดอร์ซื้อส่งราคาพุ่งขึ้น—นี่คือการทำงานของแนวรับและแนวต้านที่ขับเคลื่อนด้วยจิตวิทยาตลาด

อีกแง่สำคัญคือ ความเชื่อแบบ “self-fulfilling prophecy”—เมื่อทุกคนใช้กราฟราคาเหมือนกัน เห็นว่าราคาเคยกลับตัวที่จุดไหน ก็เชื่อว่าโอกาสจะกลับตัวอีกย่อมสูง จึงวางออเดอร์ตรงนั้นพร้อมกันจริง ๆ ทำให้ราคากลับตัวเป็นจริงตามที่คาด

ตัวอย่างฝั่งกระทิง (ผู้ซื้อ):

ระดับแนวรับ - ภาวะกระทิงพลิกตลาดอย่างไร

เราจะเห็นเทรนด์ขาลง พอราคาลงมาถึงจุดที่กระทิงเห็นว่าถูกเกินไปแล้ว ก็เริ่มซื้อ ก่อให้เกิดแรงซื้อจนราคากลับตัวขึ้นมา หมีที่ยังคงขายอยู่ก็ต้องยอมแพ้และปิดออเดอร์เพื่อไม่ให้ขาดทุนมากขึ้น เกิดเป็นเทรนด์ขาขึ้น

จากนั้นราคาไปชนจุดสูงสุดเดิม (local max) หมีเข้ามาขาย ทำให้ราคาย่อลง แต่กระทิงยังแข็งแรง ดันขึ้นอีกรอบจนชนจุดสูงสุดแถว ๆ 1.10900 (ยกตัวอย่าง) คราวนี้กระทิงบางส่วนตัดสินใจปิดทำกำไร เพราะเห็นว่าเป็นระดับที่หมีจับตาอยู่ สุดท้ายมีผู้ขายเข้ามามาก ราคาจึงกลับตัวลงแรง

ระหว่างทางมีการดึงกลับบางจุด แต่เมื่อเทรนด์เป็นขาลงอย่างแข็งแกร่ง ราคาก็ทะลุแนวรับลงไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงจุดที่กระทิงกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม หรือหมีอ่อนแรง จึงเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง:

ระดับแนวต้าน - การเผชิญหน้าระหว่างหมี

สังเกตว่าแต่ละจุดที่ราคาย่อตัว ระดับสูงสุดหรือต่ำสุดล้วนเป็นแนวรับแนวต้านที่คนส่วนใหญ่มองเห็นร่วมกัน ยิ่งระดับไหนที่มีการกลับตัวหลายครั้ง ก็ยิ่ง “แข็งแกร่ง” เพราะมีคนให้ความสำคัญมาก และนี่คือโอกาสทำกำไรในการเทรด ไม่ว่าจะเทรดตามเทรนด์หรือสวนเทรนด์

ผู้ขายและผู้ซื้อในตลาดการเงิน (ใครทำให้แนวรับและแนวต้านทำงาน?)

ในบทความนี้เราพูดถึง “กระทิง”, “หมี”, “ผู้ซื้อ”, “ผู้ขาย” ซึ่งเป็นเพียงการเรียกรวม ๆ หมายถึงกลุ่มคนที่ดันราคาขึ้นหรือลง ณ เวลานั้น ๆ ผู้เทรดจะเลือกฝั่งตามสถานการณ์เพื่อทำกำไร หากราคาเป็นเทรนด์ขาขึ้นและดูมีแรงมาก คนส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็น “ผู้ซื้อ” เพื่อร่วมดันราคา แต่ถ้าเมื่อไรสัญญาณกลับตัวแล้วขาลงชัด คนก็แปลงร่างเป็น “ผู้ขาย” กันหมด

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในบางจังหวะถึงมีแต่กระทิงคุมตลาด หรือหมีคุมตลาด เพราะทุกคนย้ายฝั่งไปรวมตัวกันนั่นเอง

เหตุใดแนวรับจึงกลายเป็นแนวต้าน และทำไมแนวต้านจึงกลายเป็นแนวรับ

น่าสนใจที่ระดับราคาเดียวกันอาจเป็นได้ทั้งแนวรับและแนวต้าน ขึ้นอยู่กับว่าราคาอยู่เหนือหรือใต้ระดับนั้น

วิธีที่แนวรับกลายเป็นแนวต้าน:
  • เมื่อราคาทะลุแนวรับลงไป หมีบางส่วนที่พลาดจุดเบรกแรกจะรอให้ราคาย้อนกลับขึ้นมาใกล้บริเวณแนวรับที่ถูกทะลุ (ซึ่งตอนนี้เป็นแนวต้าน) เพื่อเปิดออเดอร์ขาย
  • คนที่เปิดออเดอร์ขายตั้งแต่แรก ก็ใช้จุดนี้ถัวเฉลี่ย (average) ราคาเพื่อหวังเพิ่มกำไร
  • คนที่เปิดออเดอร์ซื้อบริเวณแนวรับ (หวังว่าราคาจะไม่เบรก) เห็นว่าถูกทะลุจริง ก็จะปิดออเดอร์ออกที่จุดคุ้มทุน (หรือลดขาดทุน) ทำให้ไม่มีแรงซื้อเหลือ
ผลลัพธ์คือแนวรับเก่ากลายเป็นแนวต้าน เพราะฝั่งขายมีมากกว่าอย่างชัดเจน

ถ้าเป็นกรณีแนวต้านกลายเป็นแนวรับก็กลับกัน:
  • เมื่อราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป กระทิงบางรายที่พลาดจุดเบรกจะรอให้ราคาย่อลงมาใกล้แนวต้านเดิม (ที่ตอนนี้กลายเป็นแนวรับ) เพื่อเปิดออเดอร์ซื้อ
  • คนที่เปิดซื้อไปแล้วตั้งแต่แรกก็ถัวเฉลี่ยราคาที่จุดนี้
  • คนที่เปิดขายไว้แถวแนวต้านก็ปิดออเดอร์เมื่อเห็นว่าราคาไม่กลับลง ทำให้ฝั่งขายเหลือน้อยลง
จึงมีฝั่งซื้อ (กระทิง) เหลือมากกว่า ราคาจึงดีดขึ้นอีกครั้ง:

ระดับแนวรับกลายเป็นระดับแนวต้าน

หมายเหตุ: ระดับที่เคยเป็นทั้งแนวรับและแนวต้านในประวัติศาสตร์ ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งมาก

การวางแนวรับและแนวต้านให้ถูกต้อง

แนวรับและแนวต้านเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการวิเคราะห์กราฟราคา ช่วยให้เราเดาจุดกลับตัวของราคาได้ในทุกกรอบเวลา (time frame) ตั้งแต่ M1 จนถึงกราฟรายเดือน แน่นอนว่ายิ่งกรอบเวลาใหญ่ ระดับเหล่านั้นก็ยิ่งมีนัยสำคัญ

หน้าที่ของคุณในฐานะเทรดเดอร์คือ ฝึกวางแนวรับและแนวต้านให้เป็น เมื่อทำได้แล้ว การหาโอกาสเข้าออเดอร์ที่เหมาะสมจะง่ายขึ้นมาก

เส้นแนวนอนของแนวรับและแนวต้าน

การหาแนวรับและแนวต้านแบบง่ายที่สุด คือมองหาจุดต่ำสุด (สำหรับแนวรับ) หรือจุดสูงสุด (สำหรับแนวต้าน) ที่อยู่ในระดับราคาเดียวกันอย่างน้อย 2 จุด และราคามักดีดกลับเมื่อมาถึงระดับนั้น ยิ่งมีจุดกลับตัวหลายจุดที่ราคาเท่ากัน ระดับนั้นจะยิ่งแข็งแกร่ง

ถ้าระดับไหนสร้างจากจุดกลับตัวเพียง 2 จุด และมักถูกทะลุแบบง่าย ๆ บ่อยครั้ง ถือว่าเป็นระดับที่อ่อนแรง ไม่เหมาะนำมาใช้งานจริง

การสร้างระดับแนวรับและแนวต้าน

วงกลมสีแดงคือจุดที่ราคาแทบไม่สนใจแนวรับและแนวต้านดังกล่าว จึงเห็นว่าบางครั้งระดับก็ถูกเบรกผ่านโดยไม่มีการย่อ

คราวนี้มาดูวิธีตั้งแนวรับและแนวต้านให้ถูกต้องบนกราฟ ขั้นแรก เราควรเริ่มจากกรอบเวลาใหญ่ที่สุด เช่น Monthly (รายเดือน) เลื่อนกราฟย้อนหลังไปไกล ๆ แล้วตีเส้นทุกจุดสูงสุด-ต่ำสุด (และจุดกลับตัวสำคัญ) เลือกสีและความหนาเส้นให้สังเกตง่าย (เช่น ใช้สีแดง เส้นหนา):

ระดับแนวรับและแนวต้านในกราฟรายเดือน

ต่อมาไปที่กรอบ Weekly (รายสัปดาห์) เพิ่มเส้นระดับตามจุดสูงสุด-ต่ำสุดหรือจุดกลับตัวสำคัญที่กรอบนั้น (เปลี่ยนสีและความหนาเส้นเพื่อให้ต่างจาก Monthly):

TF รายสัปดาห์พร้อมระดับแนวรับและแนวต้าน

ทำซ้ำแบบนี้ไปจนถึงกรอบเวลาที่เล็กลง อย่าง Daily, H4, H1 และ M15, M5 หรือ M1 แล้วแต่คุณเทรด และปรับความแม่นยำของระดับเดิมที่ตีไว้หากจำเป็น

หากตีทุกกรอบแล้วไปดูกราฟ M1 อาจเจอภาพเส้นระดับเยอะมาก:

ทุกระดับบนกราฟนาที

โปรดสังเกตว่าระดับจากกรอบใหญ่จะยังคงใช้ได้ในกรอบเล็ก แต่มันไม่ได้กลับกัน—ระดับจากกรอบเล็กไม่เหมาะไปใช้ในกรอบใหญ่

ท้ายสุด อย่าลืมว่านี่เป็นเพียง “มุมมอง” ของเรา ตลาดจริงอาจสนใจบางระดับมาก สนใจบางระดับน้อย หรืออาจไม่สนใจเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามวลชน (เทรดเดอร์ส่วนใหญ่) มองเห็นตรงกันหรือไม่

วิธีวางระดับแนวรับและแนวต้านบนกราฟราคาอย่างถูกต้อง

ไม่มีวิธีที่แม่นยำ 100% ในการวางแนวรับและแนวต้าน บางคนอาจตีต่างจุดกันเล็กน้อย บางคนมองไม่เห็นเลย ใครถูก? สุดท้ายแล้ว เราทุกคนมีโอกาสผิดพลาดอยู่ดี (การเทรดต้องมีแพ้บ้าง) แต่เราลดโอกาสผิดพลาดได้ด้วยการฝึกฝนให้บ่อย

ก่อนอื่น ให้คุณดูตัวอย่างจากมืออาชีพและพยายามฝึกตีเส้นแนวรับและแนวต้านบ่อย ๆ จนเกิดทักษะ เมื่อฝึกบ่อย คุณจะสามารถค้นหาระดับได้เร็วขึ้น:

จุดที่กำหนดระดับแนวรับและแนวต้าน

เทรดเดอร์มืออาชีพบางคนสามารถหาแนวรับแนวต้านได้แทบจะ “อัตโนมัติ” โดยไม่ต้องตีเส้นจริง ๆ บนกราฟ พยายามฝึกจนถึงจุดนั้น

อย่างไรก็ตาม อย่าลืม การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และ การบริหารเงินทุน (Money Management) เพื่อรักษาเงินทุนเมื่อคุณทำพลาด (เพราะตลาดไม่แน่นอน) ที่เหลือก็อาศัยการฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแม่นยำ

โซนสัมผัส: บริเวณที่ราคาสัมผัสกับแนวรับและแนวต้าน

ระหว่างอ่านมาคุณอาจสงสัย บางครั้งเวลาตีเส้น แนวรับแนวต้านตั้งตาม “ตัวแท่งเทียน” หรือ “เงา (ไส้เทียน)” บางจุด ไม่เหมือนกัน แบบไหนถูกต้อง?

ในความเป็นจริง แท่งเทียนและเงาขึ้นอยู่กับกรอบเวลา: ถ้าเปลี่ยนกรอบเวลา เงาแท่งเทียนอาจยาวหรือสั้นลงได้ ขณะที่ระดับแนวรับแนวต้านอาจยังอยู่ที่เดิม

โดยทั่วไป เราหาแนวรับแนวต้านจากจุดกลับตัว 2 จุดขึ้นไป แต่ถ้ามี 4 หรือ 7 จุดยิ่งชัดเจน พอจุดมาก เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเราควรวางตามเงาเทียนหรือแท่ง เพราะสุดท้ายสิ่งสำคัญคือการหาบริเวณราคาเดิมที่เคยมีการกลับตัวชัด ๆ

ถ้ามีเพียง 2 จุดก็อาจต้อง “กะประมาณ” ไปก่อน แล้วค่อยขยับให้เหมาะสมเมื่อข้อมูลใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าจุดเยอะและราคาสัมผัสแล้วกลับตัวบ่อย ก็ยิ่งมั่นใจว่า “นี่คือระดับหรือโซนที่ตลาดให้ความสนใจ”:

ตั้งค่าระดับแนวรับและแนวต้านตามตัวแท่งเทียนหรือเงาของแท่งเทียน

สรุปง่าย ๆ: ถ้ามีจุดกลับตัวน้อย ก็วางเส้นแบบคร่าว ๆ ไปก่อน แล้วค่อยปรับตามรูปแบบราคาที่ตามมา ถ้ามีหลายจุดชัด ๆ ก็วางเส้นโดยไม่ต้องเถียงกันว่าเงาเทียนหรือแท่งเทียนสำคัญกว่า สิ่งสำคัญคือระดับนี้มีประวัติผลักหรือดึงราคาได้จริง

ปรับระดับตามตัวแท่งเทียนและเงา

ในตัวอย่างนี้ การวางระดับด้านบนตามตัวแท่งเทียนจะพอดีกับจุดกลับตัวหลายครั้ง ส่วนระดับล่างอาจต้องวางตามเงาเทียนเพราะมันเป็นจุดที่ราคากลับตัวบ่อยที่สุด

สรุปคือ เราต้อง “ยืดหยุ่น” ตามสภาพกราฟ ดูว่า “จุดไหน” ราคากลับตัวบ่อย จึงเลือกจุดนั้นเป็นแนวรับหรือแนวต้าน

เส้นอุปสงค์และอุปทานแบบไดนามิก หรือเส้นแนวรับแนวต้านตามเทรนด์

เส้นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic) หรือเส้นตามเทรนด์ คือ เส้นที่ระบุกรอบการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างที่เกิดเทรนด์ เส้นพวกนี้ไม่อิงกับระดับราคาตายตัว แต่จะเอียงไปตามทิศทางเทรนด์

ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นเทรนด์ขาขึ้น เราอาจวาดเส้นแนวรับเอียงขึ้นโดยเชื่อม “จุดต่ำสุด” ของคลื่นราคา ถ้าเป็นเทรนด์ขาลงก็วาดเส้นแนวต้านเอียงลงจาก “จุดสูงสุด” เป็นต้น ส่วนใหญ่เส้นแนวรับในเทรนด์ขาขึ้นหรือแนวต้านในเทรนด์ขาลงจะสำคัญ เพราะถ้าราคาเบรกเส้นเหล่านี้ได้ ก็มีแนวโน้มว่าเทรนด์จะอ่อนกำลังหรือเปลี่ยนทิศ

โดยปกติ เราจะวาดเส้นเทรนด์จากจุดสูงสุดหรือต่ำสุดแรก ๆ 2 จุดก่อน ถ้าราคาเคลื่อนที่ห่างจากเส้นมาก ๆ ก็อาจต้องวาดเส้นเพิ่ม:

เส้นแนวโน้ม

แนวรับแนวต้านตามเทรนด์ที่ได้ผลดี คือกรณีที่สอดคล้องกับระดับแนวรับ-แนวต้านแนวนอน ถ้าดึงกลับมาเจอทั้งเส้นเอียงและเส้นแนวนอนพร้อมกัน จุดนั้นมักเป็นจุดเข้าเทรดที่ดีในทิศทางเทรนด์

อีกจุดหนึ่งที่ควรจำคือ เมื่อราคาเบรกเส้นแนวรับในเทรนด์ขาขึ้นได้ เส้นนั้นอาจกลายเป็นแนวต้านในภายหลัง เช่นเดียวกับแนวต้านอาจกลายเป็นแนวรับ:

เส้นแนวโน้มและระดับแนวรับและแนวต้าน

ถ้าใช้เส้นแนวโน้มเหล่านี้ในการเทรด คุณควรเทรดตามทิศทางของเทรนด์เป็นหลัก

โซนแนวรับและแนวต้าน – โซนอุปสงค์และอุปทาน

มีเทรดเดอร์มืออาชีพบางคนเชื่อว่า “ไม่มีแนวรับแนวต้านที่เป็นเส้น” และพวกเขาถูกต้องในมุมหนึ่ง เพราะราคามักไม่กลับตัวแบบเป๊ะ ๆ เสมอไป บางครั้งดีดก่อนถึงเส้น บางครั้งทะลุเส้นไปแล้วถึงค่อยดีด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

คำตอบง่าย ๆ: แต่ละคนตีเส้นต่างกันเล็กน้อย บางคนตั้งเส้นสูงกว่า บางคนต่ำกว่า บางคนไม่สนใจเลย แต่เมื่อจำนวนคนในตลาดมีมาก ความเห็นก็หลากหลาย ดังนั้นจุดที่เกิดการกลับตัวอาจกลายเป็น “บริเวณ” หรือ “โซน” มากกว่าเส้นเดียว

ดังนั้น การตีเส้นแนวรับแนวต้านจึงเป็นเพียง “การบอกคร่าว ๆ” ว่าแถวนี้ตลาดให้ความสนใจ เรามองเป็น “โซน” ที่มีกรอบบนและกรอบล่างเล็กน้อยจะดีกว่า:

โซนแนวรับและแนวต้าน

เช่น ในภาพ M5 เราเห็นแนวรับแนวต้าน 4 เส้น แต่ถ้าเลื่อนกราฟไป H4 เราอาจเห็นทั้งหมดกลายเป็นโซนเดียวกัน เหมือนอัดรวมกันอยู่

วิธีหาโซนแนวรับแนวต้านคือ หาเส้นระดับก่อน จากนั้นขยายกรอบบนล่างเพิ่มเติมโดยพิจารณาแท่งเทียน (ทั้งเงาและตัวแท่ง) ที่เกิดการกลับตัวบ่อย ๆ และใช้เป็นขอบเขตของโซนนั้น

โซนบางอันกว้างมากบางอันแคบขึ้นอยู่กับความผันผวนของตลาด แต่การตีเป็นโซนจะทำให้เรารู้ว่าราคาจะมีปฏิกิริยาในกรอบประมาณนี้

ในแง่เทคนิค โซนแนวรับและแนวต้านก็เหมือนกับแนวรับแนวต้าน คือ ถ้าราคาอยู่ข้างนอกโซน มันมักจะเด้งจากขอบโซนไม่ยอมเข้า ส่วนถ้าอยู่ข้างในโซน ก็มักแกว่งในโซนจนกว่าจะมีแรงพอเบรกออกไป

เคสที่ราคาวิ่งไซด์เวย์ (consolidation) ในโซนเดิม ๆ โดยไม่หลุดไปไหนเลยก็เกิดได้บ่อย:

โซนแนวรับและแนวต้านในท้องถิ่น

เลขกลม (Round Numbers) และระดับราคาแนวรับแนวต้านหลัก

“เลขกลม” หรือ “Key Price Level” คือระดับราคาที่ดึงดูดความสนใจของตลาดมากเป็นพิเศษ จัดเป็นแนวรับแนวต้านที่ทรงพลัง

เลขกลมที่นิยมเช่น ราคาที่ลงท้ายด้วย:
  • **00
  • **20
  • **50
  • **80
การนับหลักทศนิยมขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณเทรด เช่น ถ้าเทรด M5 หรือ M15 ก็มักมองตัวเลขทศนิยม 4 หลัก (เช่น 1.1000, 1.1020, 1.1050, 1.1080 เป็นต้น) ถ้ากรอบใหญ่กว่านั้นอาจลดทศนิยมเพื่อพิจารณาราคาหลัก เหตุที่แนว **00 หรือ **50 มักจะทรงพลังมากกว่าระดับอื่น แต่ **20 กับ **80 ก็ยังใช้ได้ดีเช่นกัน

โดยปกติ เลขกลมเหล่านี้ควรถูกมองเป็นโซนเช่นกัน ไม่ใช่ราคาเดียวเป๊ะ ๆ ตัวอย่างในกลยุทธ์ “Strong Level” บน TF M15 จะกำหนดโซนกว้างราว 10 จุดรอบเลขกลม:

ระดับราคาแบบกลมและพื้นที่โดยรอบ

Price Channel – โซนแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก

Price Channel หรือ “ช่องราคา” เป็นโซนแนวรับแนวต้านแบบไดนามิกชนิดหนึ่ง วาดโดยเชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดเป็นกรอบ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทรนด์หรือไซด์เวย์:

ช่องราคา

โดยภาพรวม วิธีหา Price Channel ไม่ต่างจากเส้นแนวรับแนวต้านในเทรนด์ เพียงแต่เราวาดเส้นขนานกันเพื่อดูกรอบบนกรอบล่าง

ระดับแนวรับและแนวต้านแบบกระจก – การดึงกลับสู่ระดับที่ถูกเบรก

เรามักเจอปรากฏการณ์ที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน แล้วในที่สุดกลับมายังระดับเดิม ก่อนจะเดินหน้าต่อไปตามเทรนด์ เป็นรูปแบบการเคลื่อนที่แบบ “เป็นคลื่น”:

ระดับกระจก

สังเกตว่า ราคาชอบย้อนกลับมาทดสอบระดับที่เคยถูกเบรกเสมอ จากนั้นจึงไปต่อ ถ้าเรารู้เรื่องนี้ เราสามารถรอให้ราคาย้อนกลับแล้วเข้าเทรดตามเทรนด์ได้อย่างปลอดภัยขึ้น

ช่วงที่ราคาวิ่งระหว่างสองระดับสำคัญ ราคาจะเคลื่อนที่เร็วมาก ไม่มีการหยุดให้เสียเวลา เพราะเทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะไปตั้งรับหรือเปิดออเดอร์ตรงระดับที่สนใจเลย

การเบรกทะลุระดับอุปสงค์และอุปทานและการดึงกลับ – วิธีใช้ประโยชน์จากการย้อนกลับสู่ระดับที่ถูกทะลุอย่างถูกต้อง

อย่างที่กล่าวไป เราเห็นได้บ่อยว่าหลังจากทะลุแนวรับแนวต้านแล้ว ราคามักจะไปต่อพักหนึ่ง จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่ระดับที่ถูกทะลุ ก่อนจะสานต่อเทรนด์หลัก ถ้าเราเข้าใจรูปแบบนี้ ก็สามารถนำไปใช้หาจุดเข้าออเดอร์ที่ดีได้

ลองยกตัวอย่างเทรนด์ขาลงที่ทะลุแนวรับ จนแนวรับเดิมกลายเป็นแนวต้าน:

การทะลุระดับแนวรับ

สมมติว่าเรารู้ระดับนี้ล่วงหน้าเพราะดูประวัติราคา เราอาจเปิดออเดอร์ “Buy” ขึ้นเล็ก ๆ จากแนวรับตอนราคามาทดสอบครั้งแรก (ถ้าคิดว่าราคาจะไม่เบรก)

แต่เมื่อตลาดเป็นขาลง โอกาสที่ราคาจะทะลุก็มี เราก็ต้องเลือกว่าจะ
  • ซื้อสวนอีกรอบที่แนวรับเดิม (หวังว่าราคาจะไม่เบรก)
  • รอเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ถ้าสงสัยหรือไม่มั่นใจ
  • ตั้ง pending order ขาย (Sell) เผื่อราคาเบรกลงไปต่ำกว่าแนวรับ
ในตัวอย่างนี้ ราคาทะลุลงได้จริง พอทะลุแล้วราคาวิ่งไปแนวรับถัดไป กระทิงก็พยายามสู้บ้างแต่สู้ไม่ไหว ราคาจึงดีดกลับขึ้นมาใกล้แนวรับที่ถูกทะลุ (ซึ่งกลายเป็นแนวต้าน)

เมื่อถึงจุดนี้:
  • คนที่เคยซื้อแนวรับแรกแต่เจอทะลุ รีบปิดทำกำไรหรือคัททุนที่จุดนี้
  • คนที่พลาดเปิดขายตอนเบรก จะมาเปิดขายเอาตอนราคาย้อนกลับ
  • คนที่เปิดขายตั้งแต่แรกก็ถัวเฉลี่ยเพิ่ม
ทำให้ฝั่งขาย (หมี) มากกว่าอีกครั้ง ราคาจึงร่วงลงไปต่อ:

ความโลภและความกลัวในการซื้อขายตามระดับแนวรับและแนวต้าน

ดังนั้น วิธีเทรดที่ปลอดภัยกว่าในการตามเทรนด์ คือ ถ้าพลาดจุดเบรกแรก ก็รอให้ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับที่ถูกทะลุแล้วค่อยเปิดออเดอร์ตามเทรนด์อีกที โอกาสไปต่อยาว ๆ มีสูงกว่าการเปิดออเดอร์สวนขาใหญ่

ข้อผิดพลาดหลักของเทรดเดอร์เมื่อทำงานกับโซนแนวรับและแนวต้าน

ข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยคือ เปิด “Buy” เมื่อตลาดกำลังใกล้แนวต้าน หรือเปิด “Sell” เมื่อตลาดใกล้แนวรับ สองกรณีนี้มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัว ไม่ใช่ไปต่อ

แม้บางครั้งอาจเกิดการทะลุทันที แต่โดยสถิติแล้วส่วนใหญ่จะกลับตัว ทำให้เราเสียเงินเปล่า:

ความผิดพลาดของเทรดเดอร์

หากเทรนด์เป็นขาขึ้น ควรเปิดออเดอร์:
  • “Sell” เมื่อราคาเด้งจากแนวต้าน (ถือเป็นเทรดย่อสั้น ๆ สวนเทรนด์)
  • “Buy” เมื่อราคาโยกกลับมาแตะแนวต้านที่ถูกทะลุ กลายเป็นแนวรับ
ถ้าเทรนด์เป็นขาลง ควรเปิดออเดอร์:
  • “Buy” เมื่อราคาเด้งจากแนวรับ (สวนเทรนด์สั้น ๆ)
  • “Sell” เมื่อราคาโยกกลับมาแตะแนวรับที่ถูกทะลุ กลายเป็นแนวต้าน

จุดเข้าที่ถูกต้อง

แน่นอนว่าเรายังมีโอกาสแพ้บางออเดอร์ เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ 100% ว่าระดับไหนจะเบรกหรือไม่ ดังนั้น ต้องมีการบริหารเงินที่ดีเสมอ

จะระบุ False Breakout ได้อย่างไร และจะเทรดการเบรกทะลุแนวรับและแนวต้านได้อย่างไร

หลายคนสงสัยว่าจะดูอย่างไรว่าเป็น “False Breakout” (การทะลุหลอก) หรือทะลุจริง ๆ ให้จำไว้ว่ามันคือโซน ไม่ใช่เส้นเดียว

บางคนบอกว่าต้องรอราคาปิดเหนือหรือต่ำกว่าแนวนั้นแล้วราคาย้อนกลับมาทดสอบ จึงค่อยยืนยันว่า “เบรกจริง” แต่การรออาจทำให้พลาดจุดเข้า หรือได้ราคาที่ไม่สวย

โดยหลัก:
  • กำหนดขอบเขตโซนแนวรับแนวต้าน
  • ถ้าแท่งเทียนปิดในโซนหรือลากเงาแล้วเด้งกลับ ก็อาจเป็น False Breakout
  • ถ้าแท่งเทียนปิดนอกโซน (และมีอีกแท่งยืนยัน) จึงสันนิษฐานได้ว่าทะลุจริง
ข้อเสียคือ ถ้ารออีกแท่งหนึ่งเพื่อยืนยัน ราคาก็อาจไปไกลแล้ว แต่ก็ปลอดภัยกว่าการเข้าเร็วแล้วเจอราคาสวิงกลับแรง

ดูภาพประกอบ:

การฝ่าวงล้อมที่ผิดพลาดและการพังทลายของระดับแนวรับและแนวต้าน

พยายามสังเกตแท่งเทียนรูปแบบกลับตัว (Reversal Patterns) หรือแท่งเทียนแบบ “Price Action” ที่ช่วยยืนยันว่าทะลุจริงหรือหลอก ยิ่งถ้าเป็นเทรนด์ต่อเนื่องแล้วมีรูปแบบสานต่อเทรนด์ยืนยัน ก็มีโอกาสทะลุสูง

สิ่งที่ควรมองหาในระดับแนวรับและแนวต้าน – ความแข็งแกร่งของโซนอุปสงค์และอุปทาน

ได้เวลาพูดถึงปัจจัยที่ทำให้บางแนวรับแนวต้านแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ มีหลายประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา

จำนวนครั้งในการสัมผัสระดับแนวรับและแนวต้าน

ยิ่งราคาสัมผัส (แตะแล้วดีดหรือย่อ) ระดับหรือโซนนั้นหลายครั้ง โดยไม่ทะลุ แสดงว่าผู้คนสนใจมาก ระดับนั้นยิ่งแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม การนับเฉพาะ “สัมผัสแล้วราคาเปลี่ยนทิศ” ไม่ใช่ “ทะลุผ่านแบบไม่เหลียวแล”

ถ้าระดับหนึ่งเคยเป็นทั้งแนวรับและแนวต้านในช่วงต่างเวลากัน นั่นถือเป็นระดับ “แกร่งมาก”

จำนวนการสัมผัสโซนแนวรับและแนวต้าน

แนวรับและแนวต้านสามารถใช้ได้ทุกกรอบเวลา

บางคนเข้าใจผิดคิดว่าแนวรับแนวต้านใช้ได้แค่กรอบเวลาใหญ่ ๆ ความจริงใช้ได้กับทุกกรอบ ตั้งแต่ M1 จนถึง Monthly

เพียงแต่ระดับที่มาจากกรอบใหญ่จะมีอิทธิพลในกรอบเล็กด้วย แต่ระดับจากกรอบเล็กไม่ค่อยมีผลในกรอบใหญ่

ระดับแนวรับและแนวต้านและโซนบนแผนภูมิ M1

โซนที่ราคาสัมผัสระดับแนวรับและแนวต้านมีค่า

สิ่งสำคัญคือให้ดู “ปฏิกิริยาของราคา” ตอนมาถึงโซน แนวรับแนวต้าน ถ้าราคาดีดเร็วด้วยแท่งเทียนยาว แสดงว่ามีแรงซื้อมากหรือแรงขายมาก ถือเป็นจุดที่แข็งแกร่ง

ถ้าราคาคลานไปมา แท่งเทียนเล็ก ๆ หลายแท่ง แสดงว่าโซนนี้อาจไม่แข็งแรงมาก:

ระดับแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง

ระดับแนวรับและแนวต้านที่อ่อนแอ

ความชันของเทรนด์

ยิ่งเทรนด์มีความชันมาก (เกือบตั้งฉาก) มักจบเร็วและกลับตัวเร็วกว่าเทรนด์ที่ค่อย ๆ ไปอย่างช้า ๆ

ถ้าเทรนด์แรง ราคามักเด้งแรง แต่ก็อาจกลับตัวเร็วเช่นกัน:

ความชันของแนวโน้ม

แนวรับและแนวต้านในรูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิค

รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis Patterns) ทั้งหมด ล้วนมีพื้นฐานมาจากแนวรับและแนวต้าน เป็นการ “ตีกราฟ” เพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่น รูปแบบ “Head and Shoulders”:

หัวและไหล่

ส่วนใหญ่จะเกิดจากราคาที่ชนโซนต้าน (แนวต้าน) 3 ครั้งและกลับตัวลงมา มีเส้นแนวรับเฉียงหรือแนวรับปกติเป็นคอ (neckline) ที่ช่วยยืนยันการกลับตัว

ตัวอย่างรูปแบบ “Double Top”:

สองยอดเขา

ราคาขึ้นชนแนวต้าน แล้วถอยกลับไปแนวรับ จากนั้นลองขึ้นไปชนอีกครั้งแต่ไม่ผ่าน จึงกลับตัวลง

หรือ “Triangle”:

สามเหลี่ยม

ราคาวิ่งแคบลงในกรอบแนวรับและแนวต้าน บางครั้งทะลุขึ้น (เป็น continuation) หรือทะลุลง (อาจเป็น reversal) ตามแรงตลาด

สรุปคือ ไม่ว่ารูปแบบใด ๆ ก็อ้างอิงจากการมีระดับแนวรับและแนวต้านเป็นโครงสร้างพื้นฐาน

อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดในการสร้างแนวรับและแนวต้านบนกราฟ

สำหรับใครที่ไม่อยากตีเส้นเอง หรืออยากได้ตัวช่วย มีอินดิเคเตอร์หลายตัวที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ขอแนะนำ:
  • Auto Trend Channel – อินดิเคเตอร์สร้าง “ช่องราคา (price channel)” อัตโนมัติใน MT4
  • LEV 00 – อินดิเคเตอร์สร้างโซนรอบเลขกลมบน MT4 (ใช้บน TF M15!)
  • SR PRO (TLB OC) – อินดิเคเตอร์ยอดเยี่ยมสำหรับวาดแนวรับแนวต้านแบบแนวนอนใน MT4 สามารถเลือกกรอบเวลาที่ต้องการและกำหนดจำนวนจุดกลับตัวได้
นอกจากนี้ยังมี Fibonacci Levels ที่ช่วยยืนยันหรือสนับสนุนการวางแนวรับแนวต้านได้ดี รวมถึงบอกจุดกลับตัวที่เป็นไปได้

สรุปเกี่ยวกับแนวรับและแนวต้าน

สรุปสาระสำคัญของบทความนี้:
  • แนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือทรงพลังสำหรับการวิเคราะห์กราฟราคา
  • โซนแนวรับและแนวต้านสะท้อนอุปสงค์และอุปทานในตลาด
  • ความแข็งแกร่งของแต่ละโซนวัดได้จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น จำนวนครั้งที่สัมผัส, พฤติกรรมแท่งเทียน ฯลฯ
  • ระดับและโซนอุปสงค์อุปทานใช้ได้กับทุกกรอบเวลา
  • ต้องแยกให้ออกระหว่างการเบรกจริงกับเบรกหลอก (False Breakout)
  • การใช้งานแนวรับและแนวต้านมีหลักการเทรดที่ควรยึด
  • โซนอุปสงค์และอุปทานคือพื้นฐานการเคลื่อนไหวของราคาทุกตลาด
  • แนวรับเดียวกันอาจกลายเป็นแนวต้าน (หรือกลับกัน) ถ้าราคาทะลุ
มีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่เทรดโดยดูเพียงว่า “ราคาวิ่งอยู่เหนือหรือใต้แนวรับแนวต้านตรงไหน” ก็สามารถทำกำไรได้อย่างดี แต่หากคุณมีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ แพทเทิร์นแท่งเทียน, Price Action หรือ รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะยิ่งเสริมความแม่นยำให้การเทรดของคุณ

อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยการฝึกฝน ยิ่งฝึกดูแนวรับแนวต้านบ่อย ๆ ก็ยิ่งเข้าใจตลาดและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น!
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar