ทฤษฎีดาว: อธิบาย 6 หลักการของ Charles Dow (2025)
Updated: 06.05.2025
ทฤษฎีดาว (Dow Theory): ทฤษฎีและ 6 หลักการของ Charles Dow หรือจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกราฟราคา (2025)
ทฤษฎีดาว (Dow Theory) คือทฤษฎีที่อธิบายพฤติกรรมของราคาหุ้นในระยะยาว โดยมีพื้นฐานจากผลงานของนักข่าวชาวอเมริกัน Charles Dow ซึ่งเป็นบรรณาธิการคนแรกของหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Dow Jones and Co. ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
“ทฤษฎีดาว” ได้รับการริเริ่มโดย Charles Dow ในบทความที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1900-1902 แต่ทฤษฎียังไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจาก Dow เสียชีวิตในปี 1902 สิ่งที่น่าสนใจคือ Charles ไม่เคยเรียกผลงานของเขาว่า “ทฤษฎีดาว” เลย จนหลังจากที่เขาเสียชีวิต William P. Hamilton, Robert Rhea และ George Schaefer ได้สานต่องานของ Dow และเรียกผลงานนี้ว่า “Dow Theory”
เนื้อหาหลักของทฤษฎีดาวถือเป็นรากฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหมด โดยประกอบด้วย 6 หลักการในการอธิบายการเคลื่อนไหวของราคา ตามทฤษฎีดาว:
ช่วงเริ่มต้น บริษัทจะผลิตข่าวสารด้านการค้าและการเงินในรูปแบบโบรชัวร์ 2 หน้า กระทั่งในปี 1889 จึงได้มีการตีพิมพ์ The Wall Street Journal ฉบับแรก
สำหรับ “ทฤษฎีดาว” ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากพื้นฐาน Charles ต้องติดต่อกับผู้บริหารอุตสาหกรรมและธนาคารบ่อยครั้งในการทำงาน ทำให้เขาได้สังเกตเห็นรูปแบบบางอย่าง และเข้าใจว่าข่าวสารและเหตุการณ์ในอดีตส่งผลต่อการกำหนดราคาในปัจจุบันอย่างไร
เมื่อมีองค์ความรู้มากพอและเริ่มตีพิมพ์ The Wall Street Journal ในปี 1893 Dow เล็งเห็นว่าจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดกิจกรรมของตลาด เนื่องจากมีการเก็งกำไรสูงมากจากการควบรวมบริษัทต่างๆ นั่นจึงเป็นที่มาของ Dow Jones Industrial Average ซึ่งในตอนนั้นคำนวณจากราคาหุ้นของ 12 บริษัทมาเฉลี่ยกัน ปัจจุบันได้ขยายเป็น 30 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ
Charles Dow เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ตระหนักว่าราคา “มีความทรงจำ” ราคาบอกข้อมูลมากกว่าที่นักเก็งกำไรยุคก่อนจะจินตนาการได้ แม้ว่า Dow จะไม่ได้เขียนผลงานให้จบสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เขาสร้างไว้ก็ได้รับการต่อยอด และถูกเรียกว่า “ทฤษฎีดาว”
หากพูดให้ชัดเจนขึ้น ราคาของสินทรัพย์จะสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับ:
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวว่าราคา “มีความทรงจำ” ปัจจุบันเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทราบเรื่องนี้ดี (แม้ยังมีบางคนที่ปฏิเสธอยู่ก็ตาม) ทุกวันนี้เรามีเครื่องมือการวิเคราะห์ตลาดมากมาย (อินดิเคเตอร์และกลยุทธ์) ซึ่งช่วยระบุรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาและบอกเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อขาย ทั้งผู้เทรดรายวัน (Day Trader) และนักลงทุนที่เทรดระยะยาวต่างก็ใช้แนวคิดนี้
ส่วน Dow เองชอบวิเคราะห์ตลาดในภาพรวม โดยดูการเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงต่อการกำหนดราคา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสร้าง Dow Jones Industrial Average เพื่อช่วยให้ง่ายต่อการติดตาม
ตามทฤษฎีดาว หาก Dow Jones Industrial Average เคลื่อนไหวไปในทิศทางใด จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยยะ นอกจากนี้ยังมีการระบุรูปแบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัท ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเทรดหุ้น
การระบุแนวโน้มหลักบนกราฟไม่ซับซ้อน เพราะจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเปลี่ยนแนวโน้ม เราเพียงเปิดกราฟ Time Frame รายเดือน แล้วลากเส้น Trend Line ก็สามารถเห็นแนวโน้มหลักได้ ในตัวอย่างนี้ แนวโน้มหลักของ EUR/USD เป็นแนวโน้มขาลง เพราะทั้งจุดสูงและจุดต่ำก็ต่างเลื่อนลงมาต่อเนื่อง แนวโน้มจะยังคงเป็นขาลง จนกว่าจะมีสัญญาณยืนยันชัดเจนว่าเทรนด์สิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อราคาสามารถสร้างจุดสูงและจุดต่ำที่สูงกว่าเดิมได้
แน่นอนว่าคุณสามารถเปิดออเดอร์ระยะยาวได้หากต้องการ แต่โดยทั่วไปการเทรดออปชั่นไบนารีจะคุ้มค่าที่สุดเมื่อเทรดระหว่างวัน (Intraday) ดังนั้น การดู Time Frame ใหญ่เพื่อเทรดออปชั่นไบนารีอาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่
หากต้องการใช้ทฤษฎีดาวเพื่อตรวจสอบแนวโน้มในตลาดและเทรดออปชั่นไบนารีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำดังนี้:
ในระยะนี้เองที่นักลงทุนรายใหญ่จะทยอยเข้าถือสินทรัพย์ ตามหลักการง่ายๆ คือ “ซื้อเมื่อราคายังถูก” ระยะสะสมไม่อาจคงอยู่ตลอดไป เมื่อเริ่มมีเงินไหลเข้ามากขึ้น ราคาเริ่มขยับตัวขึ้น และก้าวสู่ระยะถัดไป คือ ระยะมีส่วนร่วม
การสังเกตง่ายๆ ว่าตลาดเริ่มเข้าสู่ระยะมีส่วนร่วมแล้วหรือไม่ คือการที่ราคาสามารถทำ “จุดสูงสุดใหม่” ได้ หากยังทำไม่ได้ หมายความว่าตลาดยังคงอยู่ในระยะสะสม (Consolidation) ยิ่งระยะสะสมนานเท่าไหร่ เมื่อเบรกกรอบไปแล้ว ราคาก็มักจะวิ่งแรงยิ่งขึ้น
ในระยะนี้ นอกจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าตลาดตั้งแต่แรกแล้ว ยังมีบรรดาบริษัทขนาดเล็กและบุคคลทั่วไปที่เริ่มสนใจและเข้าร่วมในเทรนด์ที่กำลังเติบโต เพราะเห็นทิศทางชัดเจนและปลอดภัย (ถ้าเข้าตั้งแต่ต้นเทรนด์)
การหลั่งไหลของเงินทุนที่เข้ามาเสริมทัพกับเม็ดเงินก้อนใหญ่ของนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้แนวโน้มแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ เมื่อใกล้จบระยะมีส่วนร่วม กลุ่มนักลงทุนจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม:
มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้านสพ. ตีพิมพ์ข่าวว่าราคาสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งพุ่งสูงมากๆ แปลว่าใกล้เวลาที่ควรขายแล้ว!”
เหตุผลคือ นักลงทุนรายใหญ่ไม่จำเป็นต้องรอข่าว ส่วนผู้มีประสบการณ์ปานกลางก็ซื้อก่อนหน้านั้นนานแล้ว ข่าวดังกล่าวจึงมักออกเมื่อราคาได้พุ่งมาไกล ส่งผลให้คนทั่วไปที่เพิ่งอ่านข่าวเข้าตลาดช้า ซึ่งอาจเสี่ยงซื้อใกล้จุดสูงสุด
ท้ายที่สุด เมื่อเม็ดเงินใหม่เริ่มลดลง ราคาหยุดไต่ระดับสูงขึ้น ระยะทำกำไร (Implementation phase) ก็จะมาถึง
บางคนโชคดีขายได้ใกล้จุดสูงสุด บางคนขายออกแค่คืนทุน ส่วนใครที่เข้าตลาดจากข่าวหนังสือพิมพ์ (ช้ากว่าคนอื่นมาก) อาจขาดทุนหนัก นี่เป็นที่มาของคำพูด “อย่ากระโดดขึ้นรถไฟที่กำลังแล่น”
ยิ่งระยะมีส่วนร่วมพุ่งแรงเท่าไหร่ ระยะทำกำไรก็จะร่วงลงรุนแรงได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราคาก็มีรีบาวด์เล็กๆ เป็นระยะๆ ในขาลง เพราะยังมีคนมองว่าราคาลงมามากแล้ว “อาจถึงจุดต่ำสุด” จึงเข้าซื้อ แต่ข่าวลบยังไม่หมด ทำให้มีการเทขายต่อ ราคาก็กลับลงต่อไปอีก
ราคาจะปรับตัวลงไปเรื่อยๆ จนกว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุล ข่าวลบเริ่มหมดความน่าตกใจและค่อยๆ มีข่าวบวกเข้ามาแทนที่ ดึงดูดนักลงทุนบางส่วนให้กลับมาซื้ออีกครั้ง ซึ่งจะพาเราย้อนกลับสู่ระยะสะสมรอบใหม่ วนเป็นวัฏจักร
“เผื่อราคาจะไม่ขึ้นไปกว่านี้” หรือ “มั่นใจว่ากำลังจะกลับตัว” ไม่ใช่หลักการที่ดี มีโอกาสสูงที่จะเสียเงิน เมื่อตลาดยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ก็เทรดขาขึ้นตามเทรนด์ไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณชัดเจนว่าจบจริงๆ จึงค่อยพิจารณาหยุดหรือกลับฝั่ง
ถ้าเป็นแนวโน้มขาขึ้น จะเห็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ถ้าเป็นแนวโน้มขาลง จะเห็นการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) เมื่อใดที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดไม่สามารถสร้างระดับใหม่ได้อีกต่อไป ถือว่าแนวโน้มสิ้นสุด ในตัวอย่างนี้ แนวโน้มขาลงได้สิ้นสุดลงเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ไม่ได้ แต่กลับทำจุดต่ำสุดเท่ากับจุดต่ำสุดเดิม ถือเป็นสัญญาณว่าราคาอาจ:
นักเทรดอีกจำนวนมากก็ฝึกการเทรดผ่านกราฟเปล่า (Price Action) โดยศึกษารูปแบบแท่งเทียน ระบุแนวรับและแนวต้าน มองหาแนวโน้มและโซนไซด์เวย์ ทั้งหมดนี้มีให้เราใช้ในปัจจุบัน แต่ต้นกำเนิดมาจากการศึกษาและสานต่อทฤษฎีดาว (Dow Theory) ตั้งแต่กว่าหนึ่งร้อยปีก่อน
“ทฤษฎีดาว” ได้รับการริเริ่มโดย Charles Dow ในบทความที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1900-1902 แต่ทฤษฎียังไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจาก Dow เสียชีวิตในปี 1902 สิ่งที่น่าสนใจคือ Charles ไม่เคยเรียกผลงานของเขาว่า “ทฤษฎีดาว” เลย จนหลังจากที่เขาเสียชีวิต William P. Hamilton, Robert Rhea และ George Schaefer ได้สานต่องานของ Dow และเรียกผลงานนี้ว่า “Dow Theory”
เนื้อหาหลักของทฤษฎีดาวถือเป็นรากฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหมด โดยประกอบด้วย 6 หลักการในการอธิบายการเคลื่อนไหวของราคา ตามทฤษฎีดาว:
- ตลาดมีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภท
- แนวโน้มหลักแต่ละแนวโน้มมี 3 ระยะ
- ตลาดรับรู้ข่าวสารทั้งหมดและมีความทรงจำ
- ดัชนีตลาดต้องสอดคล้องและยืนยันซึ่งกันและกัน
- แนวโน้มได้รับการยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย
- แนวโน้มยังคงอยู่จนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจนว่าแนวโน้มสิ้นสุด
เนื้อหา
- Charles Dow – ชีวประวัติ
- ตลาดรับรู้ทุกสิ่ง – แนวคิด “ความทรงจำของราคา” ในทฤษฎีดาว
- แนวโน้ม 3 ประเภทตามทฤษฎีดาว
- แนวโน้มทั้ง 3 ประเภทในออปชั่นไบนารี
- 3 ระยะของแนวโน้มตลาดตามทฤษฎีดาว
- ดัชนีตลาดต้องยืนยันกัน – ความสัมพันธ์ (Correlation) ในทฤษฎีดาว
- แนวโน้มต้องได้รับการยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย
- แนวโน้มดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการยืนยันการสิ้นสุดที่แท้จริง
- จุดสิ้นสุดและการกลับตัวของแนวโน้ม
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคและทฤษฎีดาว
Charles Dow – ชีวประวัติ
Charles Henry Dow เป็นที่รู้จักในฐานะนักข่าวชาวอเมริกันและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Dow Jones and Company ซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์นิตยสารรายวัน The Wall Street Journal ที่โด่งดังไปทั่วโลก สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อวารสารฉบับนี้ นี่คือนิตยสารธุรกิจที่นำเสนอข่าวสารทางธุรกิจและการเงินที่สำคัญที่สุดช่วงเริ่มต้น บริษัทจะผลิตข่าวสารด้านการค้าและการเงินในรูปแบบโบรชัวร์ 2 หน้า กระทั่งในปี 1889 จึงได้มีการตีพิมพ์ The Wall Street Journal ฉบับแรก
สำหรับ “ทฤษฎีดาว” ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากพื้นฐาน Charles ต้องติดต่อกับผู้บริหารอุตสาหกรรมและธนาคารบ่อยครั้งในการทำงาน ทำให้เขาได้สังเกตเห็นรูปแบบบางอย่าง และเข้าใจว่าข่าวสารและเหตุการณ์ในอดีตส่งผลต่อการกำหนดราคาในปัจจุบันอย่างไร
เมื่อมีองค์ความรู้มากพอและเริ่มตีพิมพ์ The Wall Street Journal ในปี 1893 Dow เล็งเห็นว่าจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดกิจกรรมของตลาด เนื่องจากมีการเก็งกำไรสูงมากจากการควบรวมบริษัทต่างๆ นั่นจึงเป็นที่มาของ Dow Jones Industrial Average ซึ่งในตอนนั้นคำนวณจากราคาหุ้นของ 12 บริษัทมาเฉลี่ยกัน ปัจจุบันได้ขยายเป็น 30 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ
Charles Dow เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ตระหนักว่าราคา “มีความทรงจำ” ราคาบอกข้อมูลมากกว่าที่นักเก็งกำไรยุคก่อนจะจินตนาการได้ แม้ว่า Dow จะไม่ได้เขียนผลงานให้จบสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เขาสร้างไว้ก็ได้รับการต่อยอด และถูกเรียกว่า “ทฤษฎีดาว”
ตลาดรับรู้ทุกสิ่ง – แนวคิด “ความทรงจำของราคา” ในทฤษฎีดาว
ตลาดมีความทรงจำและรับรู้ข้อมูลทุกอย่าง! ตามทฤษฎีดาว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกจะสะท้อนอยู่ในราคาของสินทรัพย์โดยตรง และถูกเก็บอยู่ในราคานั้น ซึ่งหมายความว่าราคามีข้อมูลเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และแม้แต่แนวโน้มอนาคตหากพูดให้ชัดเจนขึ้น ราคาของสินทรัพย์จะสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับ:
- อารมณ์ของผู้เล่นในตลาด ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระทำที่ตามมา
- การเติบโตและการควบรวมของบริษัทต่างๆ
- วิกฤตเศรษฐกิจ
- ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
- การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
- และอื่นๆ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงกล่าวว่าราคา “มีความทรงจำ” ปัจจุบันเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทราบเรื่องนี้ดี (แม้ยังมีบางคนที่ปฏิเสธอยู่ก็ตาม) ทุกวันนี้เรามีเครื่องมือการวิเคราะห์ตลาดมากมาย (อินดิเคเตอร์และกลยุทธ์) ซึ่งช่วยระบุรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาและบอกเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อขาย ทั้งผู้เทรดรายวัน (Day Trader) และนักลงทุนที่เทรดระยะยาวต่างก็ใช้แนวคิดนี้
ส่วน Dow เองชอบวิเคราะห์ตลาดในภาพรวม โดยดูการเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงต่อการกำหนดราคา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสร้าง Dow Jones Industrial Average เพื่อช่วยให้ง่ายต่อการติดตาม
ตามทฤษฎีดาว หาก Dow Jones Industrial Average เคลื่อนไหวไปในทิศทางใด จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยยะ นอกจากนี้ยังมีการระบุรูปแบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัท ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อเทรดหุ้น
แนวโน้ม 3 ประเภทตามทฤษฎีดาว
การวิเคราะห์แนวโน้มของราคา (Trend) เป็นขั้นตอนต่อมาที่สำคัญในทฤษฎีดาว ตลาดเคลื่อนที่เป็นลักษณะคลื่น โดยมีการเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มหลักและมีการย่อตัว (Pullback) เล็กๆ ย้อนสวนเทรนด์อยู่เป็นระยะ ทั้งหมดนี้ประกอบเป็นภาพรวมของแนวโน้มใดๆ โดยมีลักษณะเด่นคือ:- ทำจุดสูงสุดใหม่
- ย่อตัว (Pullback)
- ทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง
- จุดต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าเดิมเสมอ
- จุดสูงสุดใหม่จะต่ำกว่าเดิมเสมอ
- แนวโน้มหลัก (Main trend)
- แนวโน้มรอง (Minor trend)
- แนวโน้มย่อย (Minor trend - ระยะสั้นยิ่งกว่า)
แนวโน้มหลักตามทฤษฎีดาว
แนวโน้มหลัก (Main trend) คือการเคลื่อนไหวระยะยาวของราคา มักดูได้ชัดเจนในกราฟ Time Frame รายสัปดาห์ (1W) ถึงรายเดือน (1M)การระบุแนวโน้มหลักบนกราฟไม่ซับซ้อน เพราะจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะเปลี่ยนแนวโน้ม เราเพียงเปิดกราฟ Time Frame รายเดือน แล้วลากเส้น Trend Line ก็สามารถเห็นแนวโน้มหลักได้ ในตัวอย่างนี้ แนวโน้มหลักของ EUR/USD เป็นแนวโน้มขาลง เพราะทั้งจุดสูงและจุดต่ำก็ต่างเลื่อนลงมาต่อเนื่อง แนวโน้มจะยังคงเป็นขาลง จนกว่าจะมีสัญญาณยืนยันชัดเจนว่าเทรนด์สิ้นสุด กล่าวคือ เมื่อราคาสามารถสร้างจุดสูงและจุดต่ำที่สูงกว่าเดิมได้
แนวโน้มรองตามทฤษฎีดาว
แนวโน้มรอง (Minor trend) คือการเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นลงมา อาจเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มหลัก หรือเป็นการปรับฐาน (Pullback) สวนเทรนด์หลักก็ได้ ตามทฤษฎีดาว แนวโน้มรองจะมีระยะเวลา 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน และช่วงที่เป็นการย่อตัว (สวนกับแนวโน้มหลัก) มักจะอยู่ที่ประมาณ 30% ถึง 60% ของการเคลื่อนไหวทั้งหมดในแนวโน้มรอง กล่าวคือ แนวโน้มรองมักเคลื่อนที่สวนทางกับแนวโน้มหลักแนวโน้มย่อยตามทฤษฎีดาว
แนวโน้มย่อย (Minor trend) ตามทฤษฎีดาว ควรมีระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ เช่นเดียวกับที่แนวโน้มรองมีการเคลื่อนไหวสวนกับแนวโน้มหลัก แนวโน้มย่อยก็มักจะสวนทางกับแนวโน้มรอง เช่น:- ถ้าแนวโน้มรองกำลังเป็นขาขึ้น แนวโน้มย่อยก็มักจะเป็นขาลง
- ถ้าแนวโน้มรองกำลังเป็นขาลง แนวโน้มย่อยก็มักจะมีขาขึ้นแทรกเป็นส่วนใหญ่
แนวโน้มทั้ง 3 ประเภทในออปชั่นไบนารี
จากตัวอย่างก่อนหน้า เราดู Time Frame ที่ค่อนข้างใหญ่ ตั้งแต่ 1 เดือนต่อแท่ง (1M) จนถึง 4 ชั่วโมง (4H) ซึ่งอาจไม่ค่อยเหมาะกับการเทรดออปชั่นไบนารีระยะสั้นแน่นอนว่าคุณสามารถเปิดออเดอร์ระยะยาวได้หากต้องการ แต่โดยทั่วไปการเทรดออปชั่นไบนารีจะคุ้มค่าที่สุดเมื่อเทรดระหว่างวัน (Intraday) ดังนั้น การดู Time Frame ใหญ่เพื่อเทรดออปชั่นไบนารีอาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่
หากต้องการใช้ทฤษฎีดาวเพื่อตรวจสอบแนวโน้มในตลาดและเทรดออปชั่นไบนารีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ทำดังนี้:
- ดูแนวโน้มหลักใน Time Frame รายเดือน (1M)
- ดูแนวโน้มรองใน Time Frame รายวัน (1D)
- ดูแนวโน้มย่อยใน Time Frame 1 ชั่วโมง (1H)
- ดูแนวโน้มหลักจากกราฟรายวัน (1D)
- ดูแนวโน้มรองจากกราฟรายชั่วโมง (1H)
- ดูแนวโน้มย่อยใน Time Frame 15 นาทีหรือ 5 นาที (M15 – M5)
3 ระยะของแนวโน้มตลาดตามทฤษฎีดาว
ตามทฤษฎีดาว แนวโน้มของตลาดมี 3 ระยะ:- ระยะสะสม (Accumulation phase)
- ระยะมีส่วนร่วม (Participation phase)
- ระยะทำกำไร (Implementation phase)
ระยะสะสมตามทฤษฎีดาว
ระยะสะสม (Accumulation phase) คือระยะแรกของแนวโน้มตามทฤษฎีดาว ในระยะนี้ แนวโน้มขาขึ้นยังไม่ชัดเจน ข่าวลบต่างๆ สะท้อนในตลาดไปหมดแล้ว ราคามักเคลื่อนไหวแบบ Sideway ในกรอบแคบ (ไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง)ในระยะนี้เองที่นักลงทุนรายใหญ่จะทยอยเข้าถือสินทรัพย์ ตามหลักการง่ายๆ คือ “ซื้อเมื่อราคายังถูก” ระยะสะสมไม่อาจคงอยู่ตลอดไป เมื่อเริ่มมีเงินไหลเข้ามากขึ้น ราคาเริ่มขยับตัวขึ้น และก้าวสู่ระยะถัดไป คือ ระยะมีส่วนร่วม
การสังเกตง่ายๆ ว่าตลาดเริ่มเข้าสู่ระยะมีส่วนร่วมแล้วหรือไม่ คือการที่ราคาสามารถทำ “จุดสูงสุดใหม่” ได้ หากยังทำไม่ได้ หมายความว่าตลาดยังคงอยู่ในระยะสะสม (Consolidation) ยิ่งระยะสะสมนานเท่าไหร่ เมื่อเบรกกรอบไปแล้ว ราคาก็มักจะวิ่งแรงยิ่งขึ้น
ระยะมีส่วนร่วมในทฤษฎีดาว
ระยะมีส่วนร่วม (Participation phase) คือช่วงที่ราคา ซึ่งได้แรงหนุนจากระยะสะสม เริ่มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นเฟสที่ยาวที่สุดของแนวโน้มในระยะนี้ นอกจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าตลาดตั้งแต่แรกแล้ว ยังมีบรรดาบริษัทขนาดเล็กและบุคคลทั่วไปที่เริ่มสนใจและเข้าร่วมในเทรนด์ที่กำลังเติบโต เพราะเห็นทิศทางชัดเจนและปลอดภัย (ถ้าเข้าตั้งแต่ต้นเทรนด์)
การหลั่งไหลของเงินทุนที่เข้ามาเสริมทัพกับเม็ดเงินก้อนใหญ่ของนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้แนวโน้มแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ เมื่อใกล้จบระยะมีส่วนร่วม กลุ่มนักลงทุนจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม:
- นักลงทุนรายใหญ่ – มักจะขายทำกำไรออกจากตลาดค่อนข้างเร็ว เพื่อการันตีผลกำไร
- บริษัทหรือนักลงทุนรายกลาง – ยังคงถือครองต่ออยู่พักหนึ่ง พอเริ่มกังวลว่ากำไรจะหาย ก็ทยอยปิดเช่นกัน
- ผู้ที่เพิ่งเข้ามาทีหลัง – หรือ “กลุ่มที่มาช้า” มักเข้าตลาดช่วงปลายเทรนด์
มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้านสพ. ตีพิมพ์ข่าวว่าราคาสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งพุ่งสูงมากๆ แปลว่าใกล้เวลาที่ควรขายแล้ว!”
เหตุผลคือ นักลงทุนรายใหญ่ไม่จำเป็นต้องรอข่าว ส่วนผู้มีประสบการณ์ปานกลางก็ซื้อก่อนหน้านั้นนานแล้ว ข่าวดังกล่าวจึงมักออกเมื่อราคาได้พุ่งมาไกล ส่งผลให้คนทั่วไปที่เพิ่งอ่านข่าวเข้าตลาดช้า ซึ่งอาจเสี่ยงซื้อใกล้จุดสูงสุด
ท้ายที่สุด เมื่อเม็ดเงินใหม่เริ่มลดลง ราคาหยุดไต่ระดับสูงขึ้น ระยะทำกำไร (Implementation phase) ก็จะมาถึง
ระยะทำกำไร (Implementation) ในทฤษฎีดาว
ระยะทำกำไร (Implementation phase) คือช่วงที่ทุกคนพากันเทขาย (เหมือนหนีจากเรือที่กำลังจะจม) เพราะกลัวว่าราคาจะตกจนสูญกำไรหรือติดลบบางคนโชคดีขายได้ใกล้จุดสูงสุด บางคนขายออกแค่คืนทุน ส่วนใครที่เข้าตลาดจากข่าวหนังสือพิมพ์ (ช้ากว่าคนอื่นมาก) อาจขาดทุนหนัก นี่เป็นที่มาของคำพูด “อย่ากระโดดขึ้นรถไฟที่กำลังแล่น”
ยิ่งระยะมีส่วนร่วมพุ่งแรงเท่าไหร่ ระยะทำกำไรก็จะร่วงลงรุนแรงได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราคาก็มีรีบาวด์เล็กๆ เป็นระยะๆ ในขาลง เพราะยังมีคนมองว่าราคาลงมามากแล้ว “อาจถึงจุดต่ำสุด” จึงเข้าซื้อ แต่ข่าวลบยังไม่หมด ทำให้มีการเทขายต่อ ราคาก็กลับลงต่อไปอีก
ราคาจะปรับตัวลงไปเรื่อยๆ จนกว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุล ข่าวลบเริ่มหมดความน่าตกใจและค่อยๆ มีข่าวบวกเข้ามาแทนที่ ดึงดูดนักลงทุนบางส่วนให้กลับมาซื้ออีกครั้ง ซึ่งจะพาเราย้อนกลับสู่ระยะสะสมรอบใหม่ วนเป็นวัฏจักร
ดัชนีตลาดต้องยืนยันกัน – ความสัมพันธ์ (Correlation) ในทฤษฎีดาว
ตามทฤษฎีดาว ดัชนีตลาดควรยืนยันซึ่งกันและกัน หรือที่เรียกว่า “Correlation” Dow ได้รวบรวมบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ไว้ใน 2 ดัชนี ได้แก่- Dow Jones Industrial Average
- Dow Jones Transportation Index
แนวโน้มต้องได้รับการยืนยันจากปริมาณการซื้อขาย
ตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามา ดังนั้น ตามทฤษฎีดาว แนวโน้มต้องยืนยันด้วย “Volume” กล่าวคือ- ถ้าแนวโน้มเป็นขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้น
- ช่วงที่ราคาย่อสวนแนวโน้ม ปริมาณควรลดลง
แนวโน้มดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการยืนยันการสิ้นสุดที่แท้จริง
ในเชิงเทรด เรามักได้ยินคำว่า “อย่าเทรดสวนเทรนด์” ซึ่งหมายความว่า ตราบใดที่ยังไม่มีสัญญาณยืนยันแน่ชัดว่าเทรนด์จบแล้ว การเทรดสวนเทรนด์คือการตัดสินใจที่เสี่ยงมาก“เผื่อราคาจะไม่ขึ้นไปกว่านี้” หรือ “มั่นใจว่ากำลังจะกลับตัว” ไม่ใช่หลักการที่ดี มีโอกาสสูงที่จะเสียเงิน เมื่อตลาดยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น ก็เทรดขาขึ้นตามเทรนด์ไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณชัดเจนว่าจบจริงๆ จึงค่อยพิจารณาหยุดหรือกลับฝั่ง
จุดสิ้นสุดและการกลับตัวของแนวโน้ม
จุดสิ้นสุดและการกลับตัวของแนวโน้มสามารถสังเกตได้ไม่ยากบนกราฟ แต่ละแนวโน้มมีการเคลื่อนไหวเป็นคลื่นขึ้นลง (ขึ้นกับว่าเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลง) โดยเน้นการสร้างจุดสูงสุดใหม่หรือจุดต่ำสุดใหม่ถ้าเป็นแนวโน้มขาขึ้น จะเห็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ถ้าเป็นแนวโน้มขาลง จะเห็นการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) เมื่อใดที่จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดไม่สามารถสร้างระดับใหม่ได้อีกต่อไป ถือว่าแนวโน้มสิ้นสุด ในตัวอย่างนี้ แนวโน้มขาลงได้สิ้นสุดลงเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ไม่ได้ แต่กลับทำจุดต่ำสุดเท่ากับจุดต่ำสุดเดิม ถือเป็นสัญญาณว่าราคาอาจ:
- พลิกเป็นแนวโน้มขาขึ้น
- หรือเข้าสู่ภาวะไซด์เวย์ (Sideway)
การวิเคราะห์ทางเทคนิคและทฤษฎีดาว
การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีรากฐานจากทฤษฎีดาวมากว่าศตวรรษ ปัจจุบันเทรดเดอร์จำนวนมากไม่สามารถจินตนาการการเทรดโดยไม่มีกราฟราคาได้เลย เรามีอินดิเคเตอร์หลายล้านตัวที่ช่วยให้วิเคราะห์ตลาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนพัฒนาจากแนวคิดพื้นฐานเหล่านี้นักเทรดอีกจำนวนมากก็ฝึกการเทรดผ่านกราฟเปล่า (Price Action) โดยศึกษารูปแบบแท่งเทียน ระบุแนวรับและแนวต้าน มองหาแนวโน้มและโซนไซด์เวย์ ทั้งหมดนี้มีให้เราใช้ในปัจจุบัน แต่ต้นกำเนิดมาจากการศึกษาและสานต่อทฤษฎีดาว (Dow Theory) ตั้งแต่กว่าหนึ่งร้อยปีก่อน
บทวิจารณ์และความคิดเห็น