ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด: กลยุทธ์ออปชั่นไบนารีทำกำไร (2025)
Updated: 06.05.2025
ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด: การใช้ออสซิลเลเตอร์ในออปชั่นไบนารี (2025)
ออสซิลเลเตอร์ (Oscillators) คืออินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคชนิดหนึ่ง ซึ่งช่วยบอกใบ้เทรดเดอร์ล่วงหน้าเกี่ยวกับจุดกลับตัวของราคา โดยปกติแล้ว อินดิเคเตอร์เหล่านี้จะมีช่วงตัวเลขหรือเปอร์เซ็นต์ที่จำกัด ซึ่งค่าของออสซิลเลเตอร์จะเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ภายในกรอบดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วมักใช้งานได้ดีในการเคลื่อนไหวของราคาแบบไซด์เวย์ (flat) เพราะในภาวะราคาทรงตัวหรือไร้เทรนด์ชัดเจน ออสซิลเลเตอร์จะให้สัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ ออสซิลเลเตอร์ยังถูกเรียกว่าอินดิเคเตอร์แบบนำ (Leading Indicators) เนื่องจากสามารถบ่งชี้จุดกลับตัวที่อาจจะเกิดขึ้นในราคาได้ บ่อยครั้งมีโซน Overbought (ซื้อมากเกิน) และ Oversold (ขายมากเกิน) เพื่อระบุจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในระยะสั้นของราคา
ออสซิลเลเตอร์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
ออสซิลเลเตอร์แบบนำที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
- หากเส้น RSI ลงมาต่ำกว่า “30” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะขายมากเกิน (Oversold)
- หากเส้น RSI วิ่งทะลุ “70” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะซื้อมากเกิน (Overbought)
หากเส้น RSI วิ่งเข้าโซนเหล่านี้แล้ว ก็มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวในไม่ช้า: RSI สามารถทำงานได้ดีทั้งในภาวะไซด์เวย์และในช่วงที่มีเทรนด์ แต่สำหรับตลาดที่วิ่งในกรอบแคบ (flat) จะเห็นได้ชัดว่ามีความแม่นยำมากกว่า เพราะราคามักจะสวิงขึ้นลงระหว่างกรอบ ทำให้เรามองเห็นจุด “Overbought” และ “Oversold” ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์แรง ๆ RSI หรือออสซิลเลเตอร์อื่น ๆ มักจะให้สัญญาณหลอกได้ เนื่องจากมันจะบอกภาวะ Overbought/Oversold แต่ราคายังคงลากไปอีกไกลกว่าที่เราคาด:
Stochastic มีสเกลหลัก ๆ คือ “20” และ “80” เพื่อบอกโซน Oversold และ Overbought นอกจากนี้ ยังมีเส้น 2 เส้น คือเส้นเร็วกับเส้นช้า (Fast & Slow) เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันและอยู่เหนือ 80 หรือใต้ 20 จะเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงไซด์เวย์ (ตลาดทรงตัว) แต่หากเป็นช่วงเทรนด์แรง ๆ มักจะให้สัญญาณที่ไม่นิ่ง: ผู้เขียน (ต้นฉบับ) อาจไม่ค่อยชอบใช้ Stochastic เพราะมองว่าหลายครั้งสัญญาณค่อนข้างเบลอและไม่ชัดเจน ทว่ามีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจพฤติกรรมของมันได้ดีและสามารถทำกำไรได้ จึงขึ้นอยู่กับรสนิยมและสไตล์การเทรดของแต่ละคน
CCI จะมีสเกลหลัก ๆ คือ +100 และ -100 หากเส้น CCI ทะลุกรอบเหล่านี้ขึ้นไป หมายความว่ามีแรงดันราคาที่ค่อนข้างแรงในตลาด ส่วนเมื่อเส้นกลับสู่ระดับปกติ ก็อาจจะเป็นสัญญาณกลับตัวเล็ก ๆ เช่นกัน: ข้อดีของ CCI คือเหมาะมากในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ชัดเจน เพราะมันจะช่วยยืนยันแรงกระตุ้นของเทรนด์ได้ดี ในขณะที่ถ้าเป็นตลาดไซด์เวย์ มักจะมีสัญญาณหลอกค่อนข้างเยอะ เนื่องจากแรงดันที่เกิดขึ้นมักจะสั้นและดับไปอย่างรวดเร็ว
ออสซิลเลเตอร์แบบตามที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
อย่างไรก็ตาม MA สามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านเชิงไดนามิก (Dynamic Support & Resistance) สำหรับจับจุดสิ้นสุดของการย่อหรือการพักตัวได้: ข้อเสียคือ ถ้าตลาดแกว่งในกรอบ (ไซด์เวย์) เส้น Moving Average อาจจะให้สัญญาณหลอกบ่อย และในบางกรณี อาจจะช้าเกินไปจนเทรนด์หมดแรงแล้ว
- ในภาวะไซด์เวย์ ให้สังเกตเส้นขอบบน (Upper Band) และขอบล่าง (Lower Band) ถ้าราคาเบรกขอบบนแต่ขอบล่างยังไม่ขยายตัว อาจจะมีการย่อหรือกลับตัวเกิดขึ้น เช่นเดียวกันถ้าทะลุขอบล่างแล้วขอบบนไม่ขยายตัว - หากราคาเริ่มเข้าสู่เทรนด์ เมื่อราคาวิ่งชนขอบใดขอบหนึ่งและอีกขอบเริ่มขยับขยายออก นั่นเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันแต่สัญญาณจะมาตามหลังราคาเล็กน้อย - เมื่อตลาดยังอยู่ในเทรนด์ แต่ Bollinger Bands เริ่มหดแคบลงที่ขอบฝั่งตรงข้าม ก็อาจหมายถึงแรงของเทรนด์เริ่มอ่อนลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจบเทรนด์ อาจจะเป็นช่วงพักตัว (Pullback) เพื่อไปต่อได้ ส่วนเส้นตรงกลาง Bollinger ก็คือ Moving Average ซึ่งเป็นเส้นแนวรับ/แนวต้านเชิงไดนามิก:
- การดู Divergence ด้วย MACD: ถ้าราคาในกราฟทำจุดสูงใหม่ต่อเนื่อง แต่ฮิสโตแกรม MACD กลับมีสโลปลงหรือลดลงเรื่อย ๆ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจพลิกกลับตัว (แม้จะไม่รู้แน่นอนว่าเมื่อไร) เพราะ MACD เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม จึงอาจเกิด Divergence นานพอสมควรจนกว่าราคาจะยอมกลับตัว
- การดูเทรนด์หรือการกลับตัวด้วย MACD:
Divergence/Convergence บ่งบอกถึงความอ่อนแรงหรือความผิดปกติของเทรนด์ เมื่อ Divergence เกิดขึ้น (ราคาไปทางแต่เส้นออสซิลเลเตอร์ไปอีกทาง) มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจกลับตัวหรือย่อได้เร็ว ๆ นี้: ส่วน Convergence ก็ตรงกันข้าม เป็นการที่ราคาและออสซิลเลเตอร์ไปทิศทางเดียวกัน บ่งบอกถึงการเสริมแรงกันของเทรนด์: สรุปง่าย ๆ คือ Divergence/Convergence บอกให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวของราคากำลังอ่อนแรงหรือยังคงแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถนำไปวางแผนเทรดได้
ตัวอย่างของสัญญาณที่มักใช้:
- MACD จะดูทั้งฮิสโตแกรมและการที่เส้นสัญญาณตัดเส้น 0
- ถ้า MACD Histogram ข้ามเส้น 0 จากล่างขึ้นบนก่อน แล้วต่อมาเส้นสัญญาณก็ตามข้าม แสดงถึงเทรนด์ขาขึ้น
ส่วน CCI ก็เช่นกัน เมื่อข้ามเส้น 0 ขึ้นบนคือสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังขึ้น และเมื่อข้ามลงล่างคือบ่งบอกว่าตลาดอาจกำลังลง:
ตัวอย่างเช่น Stochastic เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันเหนือ 80 หรือต่ำกว่า 20 มักบอกการกลับตัวที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม Stochastic ตอบสนองเร็ว อาจให้สัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ได้เร็วมากจนบางครั้งเป็นแค่การย่อตัวระยะสั้นเท่านั้น
ในขณะที่ MACD จะตอบสนองช้ากว่า จึงมักแม่นยำกว่า (แต่แลกกับการไม่สามารถจับจุดเข้าตั้งแต่แรกได้ทันที) และหากมีการตัดกันในโซน Overbought/Oversold หรือ Divergence ก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น: จากภาพจะเห็นว่า Stochastic ให้สัญญาณเร็วแต่ก็ไวเกินไปในบางครั้ง ส่วน MACD ช้ากว่าแต่ค่อนข้างแม่นยำกว่า
อีกทั้งไม่มีสูตรตั้งค่าตายตัวสำหรับออสซิลเลเตอร์ เราอาจต้องปรับ Period หรือค่าอื่น ๆ ตามสภาวะตลาด หากตั้งค่าให้ “ไว” เกินไป ก็จะเกิดสัญญาณหลอกเยอะ แต่ถ้าตั้งค่าให้ “ช้า” เกินไป ก็อาจพลาดโอกาสเข้าเทรดดี ๆ ได้เช่นกัน
เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนบันทึกภาพหน้าจอการเทรดไว้เป็นพัน ๆ รูป หรืออัดวิดีโอรีวิววิธีใช้ออสซิลเลเตอร์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาและย้อนดูจุดผิดพลาด ถือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม
เมื่อเราฝึกใช้เครื่องมือหลาย ๆ แบบ หรือปรับแต่งค่าและผสมผสานกับการมองแนวรับแนวต้านหรือรูปแบบแท่งเทียน เราจะเกิดความเข้าใจในเชิงลึก ทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ขาดการฝึกฝนจะมองไม่เห็นโอกาสเหล่านี้และอาจขาดทุนในจุดที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ได้กำไรแทน
ตลาดเป็นของทุกคน แต่มุมมองของเทรดเดอร์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากเราลงแรงฝึกฝนจริงจัง ประสบการณ์นี้จะส่งผลดีต่อผลลัพธ์ในการเทรดอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ออสซิลเลเตอร์ยังถูกเรียกว่าอินดิเคเตอร์แบบนำ (Leading Indicators) เนื่องจากสามารถบ่งชี้จุดกลับตัวที่อาจจะเกิดขึ้นในราคาได้ บ่อยครั้งมีโซน Overbought (ซื้อมากเกิน) และ Oversold (ขายมากเกิน) เพื่อระบุจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในระยะสั้นของราคา
ออสซิลเลเตอร์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
- ออสซิลเลเตอร์แบบนำ (Leading Indicators)
- ออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging Indicators)
เนื้อหา
- ออสซิลเลเตอร์แบบนำในออปชั่นไบนารี
- RSI oscillator – ดัชนีวัดความแข็งแกร่งเชิงสัมพันธ์
- Stochastic Oscillator
- CCI oscillator – ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
- ออสซิลเลเตอร์แบบตามในตลาดการเทรด
- Moving Average Oscillator
- Oscillator Bollinger Bands
- MACD Oscillator หรือ Moving Average Convergence/Divergence
- การใช้ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด
- การใช้ออสซิลเลเตอร์หาจุด Divergence หรือ Convergence
- การใช้ออสซิลเลเตอร์ระบุโซน Overbought และ Oversold
- การข้ามเส้นศูนย์ (Zero Level) ของออสซิลเลเตอร์
- การตัดกันของเส้นออสซิลเลเตอร์
- ข้อดีและข้อเสียของออสซิลเลเตอร์
- กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ออสซิลเลเตอร์: ออสซิลเลเตอร์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- กลยุทธ์บนพื้นฐาน RSI และ Bollinger Bands
- กลยุทธ์ออปชั่นไบนารีจาก RSI – 95-5
- กลยุทธ์ที่ใช้ RSI สามตัว (Three RSI)
- กลยุทธ์ “ตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ MACD”
- กลยุทธ์ดักจับการกลับตัวด้วย RSI และ Bollinger Bands
- 40 ออสซิลเลเตอร์แบบเรียลไทม์ (Trading View)
- การฝึกฝนเพื่อใช้ออสซิลเลเตอร์อย่างถูกต้อง
ออสซิลเลเตอร์แบบนำในออปชั่นไบนารี
ออสซิลเลเตอร์แบบนำจะให้สัญญาณการกลับตัวหรือจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ก่อนที่สัญญาณนั้นจะปรากฏบนตลาดจริง ๆ กล่าวคือจะ “นำ” ราคาขึ้นมา ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำกำไรได้อย่างน่าสนใจในการเทรดออสซิลเลเตอร์แบบนำที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
- RSI – ดัชนีวัดความแข็งแกร่งเชิงสัมพันธ์
- Stochastic
- CCI – ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
RSI oscillator – ดัชนีวัดความแข็งแกร่งเชิงสัมพันธ์
RSI หรือ Relative Strength Index คืออินดิเคเตอร์ที่ช่วยให้เราเห็นสภาวะของตลาดได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก 95% ของเวลาตลาดมักจะค่อนข้างนิ่ง มีเพียง 5% เท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตัว RSI จึงมีเส้นแบ่งค่า “30” และ “70” เอาไว้- หากเส้น RSI ลงมาต่ำกว่า “30” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะขายมากเกิน (Oversold)
- หากเส้น RSI วิ่งทะลุ “70” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะซื้อมากเกิน (Overbought)
หากเส้น RSI วิ่งเข้าโซนเหล่านี้แล้ว ก็มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวในไม่ช้า: RSI สามารถทำงานได้ดีทั้งในภาวะไซด์เวย์และในช่วงที่มีเทรนด์ แต่สำหรับตลาดที่วิ่งในกรอบแคบ (flat) จะเห็นได้ชัดว่ามีความแม่นยำมากกว่า เพราะราคามักจะสวิงขึ้นลงระหว่างกรอบ ทำให้เรามองเห็นจุด “Overbought” และ “Oversold” ได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์แรง ๆ RSI หรือออสซิลเลเตอร์อื่น ๆ มักจะให้สัญญาณหลอกได้ เนื่องจากมันจะบอกภาวะ Overbought/Oversold แต่ราคายังคงลากไปอีกไกลกว่าที่เราคาด:
Stochastic Oscillator - Stochastic
Stochastic Oscillator เป็นอีกหนึ่งออสซิลเลเตอร์แบบนำที่แสดงความเร็วของการเคลื่อนไหวหรือโมเมนตัมของราคา คล้ายกับ RSI ตรงที่สามารถคาดการณ์จุดกลับตัวและจุดที่เทรนด์กำลังจะไปต่อStochastic มีสเกลหลัก ๆ คือ “20” และ “80” เพื่อบอกโซน Oversold และ Overbought นอกจากนี้ ยังมีเส้น 2 เส้น คือเส้นเร็วกับเส้นช้า (Fast & Slow) เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันและอยู่เหนือ 80 หรือใต้ 20 จะเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงไซด์เวย์ (ตลาดทรงตัว) แต่หากเป็นช่วงเทรนด์แรง ๆ มักจะให้สัญญาณที่ไม่นิ่ง: ผู้เขียน (ต้นฉบับ) อาจไม่ค่อยชอบใช้ Stochastic เพราะมองว่าหลายครั้งสัญญาณค่อนข้างเบลอและไม่ชัดเจน ทว่ามีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจพฤติกรรมของมันได้ดีและสามารถทำกำไรได้ จึงขึ้นอยู่กับรสนิยมและสไตล์การเทรดของแต่ละคน
CCI oscillator – ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
CCI (Commodity Channel Index) เป็นออสซิลเลเตอร์อีกตัวที่หน้าตาคล้าย RSI แต่คำนวณไม่เหมือนกัน CCI จะบ่งชี้สภาวะการเกิดแรงดันของเทรนด์ (Trend Impulse) รวมถึงบอกจุดสิ้นสุดของแรงดันนั้นด้วยCCI จะมีสเกลหลัก ๆ คือ +100 และ -100 หากเส้น CCI ทะลุกรอบเหล่านี้ขึ้นไป หมายความว่ามีแรงดันราคาที่ค่อนข้างแรงในตลาด ส่วนเมื่อเส้นกลับสู่ระดับปกติ ก็อาจจะเป็นสัญญาณกลับตัวเล็ก ๆ เช่นกัน: ข้อดีของ CCI คือเหมาะมากในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ชัดเจน เพราะมันจะช่วยยืนยันแรงกระตุ้นของเทรนด์ได้ดี ในขณะที่ถ้าเป็นตลาดไซด์เวย์ มักจะมีสัญญาณหลอกค่อนข้างเยอะ เนื่องจากแรงดันที่เกิดขึ้นมักจะสั้นและดับไปอย่างรวดเร็ว
ออสซิลเลเตอร์แบบตามในตลาดการเทรด
ออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging Indicators) คืออินดิเคเตอร์ที่ตามราคาจริง กล่าวคือ ราคาเปลี่ยนก่อน แล้วอินดิเคเตอร์จึงจะบอกการเปลี่ยนแปลงนั้น เราอาจจะไม่ได้เข้าตลาดตั้งแต่ต้นเทรนด์ แต่จะได้รับสัญญาณยืนยันที่แม่นยำยิ่งขึ้นออสซิลเลเตอร์แบบตามที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
- Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
- Bollinger Bands
- MACD (Moving Average Convergence/Divergence)
Moving Average Oscillator
Moving Average Oscillator จัดเป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging) โดยเป็นการดูราคาค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาหนึ่ง ๆ (Period) ที่กำหนด ยิ่งตั้งค่าช่วงเวลายาวเท่าไร เส้นค่าเฉลี่ยก็จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาช้าลงเท่านั้น ทำให้จุดสวิงหรือเทรนด์อาจจะผ่านไปแล้วถึงจะมีสัญญาณยืนยันอย่างไรก็ตาม MA สามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านเชิงไดนามิก (Dynamic Support & Resistance) สำหรับจับจุดสิ้นสุดของการย่อหรือการพักตัวได้: ข้อเสียคือ ถ้าตลาดแกว่งในกรอบ (ไซด์เวย์) เส้น Moving Average อาจจะให้สัญญาณหลอกบ่อย และในบางกรณี อาจจะช้าเกินไปจนเทรนด์หมดแรงแล้ว
Oscillator Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging) ที่ใช้หลักการสร้างกรอบหรือช่องราคา (Channel) ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งในตลาดไซด์เวย์และช่วงที่มีเทรนด์ แต่ต้องเข้าใจวิธีการทำงานของมันเป็นอย่างดี- ในภาวะไซด์เวย์ ให้สังเกตเส้นขอบบน (Upper Band) และขอบล่าง (Lower Band) ถ้าราคาเบรกขอบบนแต่ขอบล่างยังไม่ขยายตัว อาจจะมีการย่อหรือกลับตัวเกิดขึ้น เช่นเดียวกันถ้าทะลุขอบล่างแล้วขอบบนไม่ขยายตัว - หากราคาเริ่มเข้าสู่เทรนด์ เมื่อราคาวิ่งชนขอบใดขอบหนึ่งและอีกขอบเริ่มขยับขยายออก นั่นเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันแต่สัญญาณจะมาตามหลังราคาเล็กน้อย - เมื่อตลาดยังอยู่ในเทรนด์ แต่ Bollinger Bands เริ่มหดแคบลงที่ขอบฝั่งตรงข้าม ก็อาจหมายถึงแรงของเทรนด์เริ่มอ่อนลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจบเทรนด์ อาจจะเป็นช่วงพักตัว (Pullback) เพื่อไปต่อได้ ส่วนเส้นตรงกลาง Bollinger ก็คือ Moving Average ซึ่งเป็นเส้นแนวรับ/แนวต้านเชิงไดนามิก:
MACD Oscillator หรือ Moving Average Convergence/Divergence
MACD เป็นออสซิลเลเตอร์ที่นิยมมากสำหรับดูการเกิด Divergence/Convergence (ความแตกต่างหรือการเคลื่อนไหวสอดคล้องของราคา) ประกอบด้วยฮิสโตแกรม (Histogram) ที่ใช้ระบุ Divergence/Convergence และเส้นสัญญาณ (Signal Line) ที่ใช้ระบุแนวโน้มและจุดเข้าเทรนด์- การดู Divergence ด้วย MACD: ถ้าราคาในกราฟทำจุดสูงใหม่ต่อเนื่อง แต่ฮิสโตแกรม MACD กลับมีสโลปลงหรือลดลงเรื่อย ๆ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจพลิกกลับตัว (แม้จะไม่รู้แน่นอนว่าเมื่อไร) เพราะ MACD เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม จึงอาจเกิด Divergence นานพอสมควรจนกว่าราคาจะยอมกลับตัว
- การดูเทรนด์หรือการกลับตัวด้วย MACD:
- เมื่อเส้นสัญญาณ (Signal Line) เข้ามาในเขตของฮิสโตแกรม แสดงถึงแรงผลักให้เทรนด์เดินหน้าต่อ
- เมื่อเส้นสัญญาณออกจากฮิสโตแกรม หมายถึงการพักตัวหรือเปลี่ยนเทรนด์
การใช้ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด
ออสซิลเลเตอร์ทั้งหมดมักถูกใช้เพื่อสองจุดประสงค์หลัก ๆ คือ:- ระบุจุด Divergence หรือ Convergence
- วิเคราะห์การตัดกันของเส้น (Intersection) ต่าง ๆ
การใช้ออสซิลเลเตอร์หาจุด Divergence หรือ Convergence
ออสซิลเลเตอร์หลายตัว เช่น RSI หรือ Stochastic สามารถดู Divergence และ Convergence ได้เช่นกัน ไม่ได้มีแค่ MACD เท่านั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของเทรดเดอร์Divergence/Convergence บ่งบอกถึงความอ่อนแรงหรือความผิดปกติของเทรนด์ เมื่อ Divergence เกิดขึ้น (ราคาไปทางแต่เส้นออสซิลเลเตอร์ไปอีกทาง) มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจกลับตัวหรือย่อได้เร็ว ๆ นี้: ส่วน Convergence ก็ตรงกันข้าม เป็นการที่ราคาและออสซิลเลเตอร์ไปทิศทางเดียวกัน บ่งบอกถึงการเสริมแรงกันของเทรนด์: สรุปง่าย ๆ คือ Divergence/Convergence บอกให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวของราคากำลังอ่อนแรงหรือยังคงแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถนำไปวางแผนเทรดได้
การใช้ออสซิลเลเตอร์ระบุโซน Overbought และ Oversold
ในหลาย ๆ ออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ Stochastic จะมีระดับที่บอกโซนซื้อ/ขายมากเกิน (Overbought/Oversold) หากราคาเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงจนเส้นออสซิลเลเตอร์เคลื่อนไหวเข้าไปในโซนนั้น มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังไม่สมดุลตัวอย่างของสัญญาณที่มักใช้:
- การที่เส้น RSI ทะลุโซนต่ำกว่า 30 (Oversold) หรือสูงกว่า 70 (Overbought)
- การที่ราคาเบรกเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เพื่อบอกการเปลี่ยนเทรนด์
- การที่ราคาทะลุกรอบ Bollinger Bands
- การที่ CCI ตัดระดับ +100 หรือ -100
การข้ามเส้นศูนย์ (Zero Level) ของออสซิลเลเตอร์
สำหรับออสซิลเลเตอร์บางตัว เช่น MACD หรือ CCI จะมี “เส้นศูนย์” (Zero Level) เป็นจุดอ้างอิง เมื่อเส้นออสซิลเลเตอร์ตัดผ่าน 0 ก็สามารถบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ได้- MACD จะดูทั้งฮิสโตแกรมและการที่เส้นสัญญาณตัดเส้น 0
- ถ้า MACD Histogram ข้ามเส้น 0 จากล่างขึ้นบนก่อน แล้วต่อมาเส้นสัญญาณก็ตามข้าม แสดงถึงเทรนด์ขาขึ้น
ส่วน CCI ก็เช่นกัน เมื่อข้ามเส้น 0 ขึ้นบนคือสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังขึ้น และเมื่อข้ามลงล่างคือบ่งบอกว่าตลาดอาจกำลังลง:
การตัดกันของเส้นออสซิลเลเตอร์
ออสซิลเลเตอร์อย่าง MACD, Stochastic มักมีเส้น 2 เส้นเพื่อช่วยวิเคราะห์ ได้แก่ เส้นเร็วกับเส้นสัญญาณ (ใน MACD เส้นหนึ่งคือ Histogram ส่วนอีกเส้นคือ Signal) เมื่อเส้นเหล่านี้ตัดกัน มักจะเป็นสัญญาณเปลี่ยนทิศทางหรือพักตัวของราคาตัวอย่างเช่น Stochastic เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันเหนือ 80 หรือต่ำกว่า 20 มักบอกการกลับตัวที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม Stochastic ตอบสนองเร็ว อาจให้สัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ได้เร็วมากจนบางครั้งเป็นแค่การย่อตัวระยะสั้นเท่านั้น
ในขณะที่ MACD จะตอบสนองช้ากว่า จึงมักแม่นยำกว่า (แต่แลกกับการไม่สามารถจับจุดเข้าตั้งแต่แรกได้ทันที) และหากมีการตัดกันในโซน Overbought/Oversold หรือ Divergence ก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น: จากภาพจะเห็นว่า Stochastic ให้สัญญาณเร็วแต่ก็ไวเกินไปในบางครั้ง ส่วน MACD ช้ากว่าแต่ค่อนข้างแม่นยำกว่า
ข้อดีและข้อเสียของออสซิลเลเตอร์
จุดเด่นและข้อจำกัดของออสซิลเลเตอร์ที่ควรรู้มีดังนี้:- ออสซิลเลเตอร์ช่วยให้เห็นภาพตลาดได้ง่าย: บอกจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่หรือจุดกลับตัวได้ (Leading) หรือยืนยันเทรนด์ (Lagging) บางตัวเหมาะกับไซด์เวย์ บางตัวเหมาะกับเทรนด์
- ใช้งานง่าย: เข้าใจไม่ยาก มีการแบ่งสเกลชัดเจน และมีให้เลือกใช้หลายตัว
- ช่วยบอกความแข็งแรงของเทรนด์: โดยเฉพาะ Divergence/Convergence ที่ชี้ให้เห็นว่ากำลังจะหมดแรงหรือต่อเนื่อง
- หาได้ทั่วไปในโปรแกรมเทรด: อินดิเคเตอร์เหล่านี้มีอยู่แทบทุกแพลตฟอร์ม และมีหลายกลยุทธ์ที่อิงจากออสซิลเลเตอร์
อีกทั้งไม่มีสูตรตั้งค่าตายตัวสำหรับออสซิลเลเตอร์ เราอาจต้องปรับ Period หรือค่าอื่น ๆ ตามสภาวะตลาด หากตั้งค่าให้ “ไว” เกินไป ก็จะเกิดสัญญาณหลอกเยอะ แต่ถ้าตั้งค่าให้ “ช้า” เกินไป ก็อาจพลาดโอกาสเข้าเทรดดี ๆ ได้เช่นกัน
กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ออสซิลเลเตอร์: ออสซิลเลเตอร์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
มีกลยุทธ์มากมายที่สร้างบนพื้นฐานออสซิลเลเตอร์ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพและนำไปประยุกต์ใช้จริงได้ แต่ต้องไม่ลืมหลัก การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เสมอ เพราะไม่มีกลยุทธ์ไหนทำกำไรได้ 100% ตลอดกลยุทธ์บนพื้นฐาน RSI และ Bollinger Bands
จุดน่าสนใจคือ การนำ Bollinger Bands ไปใส่ในหน้าต่างเดียวกับ RSI (Period = 9 สำหรับ RSI และ Bollinger Bands Period = 20, Deviation = 2.5) โดยกำหนด “Apply to” เป็น RSI แทนที่จะเป็นราคา: สัญญาณที่ใช้มีดังนี้ (ใช้ได้กับทุก Time Frame):- เมื่อเส้น RSI ทะลุขอบบนของ Bollinger Bands ในหน้าต่างเดียวกัน ให้เปิดออเดอร์ Sell (ใส่คำสั่งเทรดขาลง) ในแท่งถัดไป
- เมื่อเส้น RSI ทะลุขอบล่างของ Bollinger Bands ให้เปิดออเดอร์ Buy (ใส่คำสั่งเทรดขาขึ้น) ในแท่งถัดไป
กลยุทธ์ออปชั่นไบนารีจาก RSI – 95-5
กลยุทธ์นี้ใช้ RSI แต่ปรับระดับ Overbought/Oversold เป็น 95 และ 5 (แทน 70/30) พร้อมตั้งค่า Period = 4 จุดเข้าทำกำไร:- เมื่อเส้น RSI เข้าไปต่ำกว่า “5” ให้เปิด Buy (คาดว่าราคาจะขึ้น)
- เมื่อเส้น RSI ขึ้นไปสูงกว่า “95” ให้เปิด Sell (คาดว่าราคาจะลง)
กลยุทธ์ที่ใช้ RSI สามตัว (Three RSI)
กลยุทธ์ “Three RSI” คือการนำ RSI สามตัวมาวางซ้อนกัน โดยแต่ละตัวตั้งค่าต่างกัน ดังนี้:- RSI Period = 5
- RSI Period = 14
- RSI Period = 21
กลยุทธ์ “ตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ MACD”
ต้องใช้เครื่องมือดังนี้:- EMA (Exponential Moving Average) Period = 10
- EMA Period = 20
- MACD
- รอให้เส้นสัญญาณของ MACD ออกจากฮิสโตแกรม (หรือกลับเข้ามาในฮิสโตแกรม) เพื่อบอกแรงใหม่
- รอให้เส้นค่าเฉลี่ย (EMA 10 และ EMA 20) ตัดกัน
- เข้าออเดอร์ 3-5 แท่ง เทรดในทิศทางเดียวกับเทรนด์
กลยุทธ์ดักจับการกลับตัวด้วย RSI และ Bollinger Bands
กลยุทธ์นี้ใช้ RSI Period = 14 และ Bollinger Bands Period = 20 Deviation = 2 โดยหลักการคือ:- รอให้แท่งเทียนปิดนอก Bollinger Band (ด้านบนหรือล่าง)
- ดูว่า RSI อยู่เหนือ 70 หรือใต้ 30
- เข้าออเดอร์สวนเทรนด์ตอนแท่งถัดไป
- ตั้ง Expiration ไว้ประมาณ 1 แท่ง (สำหรับออปชั่นไบนารี)
40 ออสซิลเลเตอร์แบบเรียลไทม์ (Trading View)
บนแพลตฟอร์ม Trading View มีออสซิลเลเตอร์มากมายให้เลือกใช้งาน ใส่ชื่อที่ต้องการค้นหาในช่อง Search ได้เลย เช่น:- Price oscillator
- Volume oscillator
- Awesome oscillator
- Chaikin oscillator
- Klinger oscillator
- Ultimate oscillator
- SMI Ergodic oscillator
- Detrendet Price oscillator
- Chande Momentum oscillator
- Oscillator Moving Average (OsMA)
- OBV oscillator
- GMMA oscillator
- Aroon oscillator
- Firefly oscillator
- Wave Trend oscillator
- McClellan oscillator
- Super Trend oscillator v3
- Elliot Wave oscillator
- Primer RSI oscillator
- Accelerator oscillator
- TFS: volume oscillator
- Volume zone oscillator
- USC Momentum oscillator
- Cycle Channel oscillator
- OBV oscillator
- Pivot Detector oscillator
- USC Murray's Math oscillator
- CCT Bollinger Bands oscillator
- Ehlers Stochastic oscillator
- Bitcoin Energy Value oscillator
- Derivative oscillator
- Bull Trading oscillator
- Absolute Strange index oscillator
- Rahul Mohindar oscillator
- Rainbow Chart oscillator
- Volume and Price oscillator
- Adaptive Ergodic Candlestric oscillator
- Premier Stochastic
- DescriptionPoint Volume Swenlin Trading oscillator
- DescriptionPoint Breadth Swenlin Trading oscillator
การฝึกฝนเพื่อใช้ออสซิลเลเตอร์อย่างถูกต้อง
เช่นเดียวกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ ออสซิลเลเตอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเทรดเดอร์ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เข้าใจความสามารถและข้อจำกัดของมันในแต่ละสภาพตลาดเทรดเดอร์มือใหม่หลายคนบันทึกภาพหน้าจอการเทรดไว้เป็นพัน ๆ รูป หรืออัดวิดีโอรีวิววิธีใช้ออสซิลเลเตอร์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาและย้อนดูจุดผิดพลาด ถือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม
เมื่อเราฝึกใช้เครื่องมือหลาย ๆ แบบ หรือปรับแต่งค่าและผสมผสานกับการมองแนวรับแนวต้านหรือรูปแบบแท่งเทียน เราจะเกิดความเข้าใจในเชิงลึก ทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ขาดการฝึกฝนจะมองไม่เห็นโอกาสเหล่านี้และอาจขาดทุนในจุดที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ได้กำไรแทน
ตลาดเป็นของทุกคน แต่มุมมองของเทรดเดอร์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากเราลงแรงฝึกฝนจริงจัง ประสบการณ์นี้จะส่งผลดีต่อผลลัพธ์ในการเทรดอย่างแน่นอน
บทวิจารณ์และความคิดเห็น