หน้าหลัก ข่าวไซต์
ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด: กลยุทธ์ออปชั่นไบนารีทำกำไร (2025)
Updated: 06.05.2025

ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด: การใช้ออสซิลเลเตอร์ในออปชั่นไบนารี (2025)

ออสซิลเลเตอร์ (Oscillators) คืออินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคชนิดหนึ่ง ซึ่งช่วยบอกใบ้เทรดเดอร์ล่วงหน้าเกี่ยวกับจุดกลับตัวของราคา โดยปกติแล้ว อินดิเคเตอร์เหล่านี้จะมีช่วงตัวเลขหรือเปอร์เซ็นต์ที่จำกัด ซึ่งค่าของออสซิลเลเตอร์จะเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ภายในกรอบดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วมักใช้งานได้ดีในการเคลื่อนไหวของราคาแบบไซด์เวย์ (flat) เพราะในภาวะราคาทรงตัวหรือไร้เทรนด์ชัดเจน ออสซิลเลเตอร์จะให้สัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

นอกจากนี้ ออสซิลเลเตอร์ยังถูกเรียกว่าอินดิเคเตอร์แบบนำ (Leading Indicators) เนื่องจากสามารถบ่งชี้จุดกลับตัวที่อาจจะเกิดขึ้นในราคาได้ บ่อยครั้งมีโซน Overbought (ซื้อมากเกิน) และ Oversold (ขายมากเกิน) เพื่อระบุจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในระยะสั้นของราคา

ออสซิลเลเตอร์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
  1. ออสซิลเลเตอร์แบบนำ (Leading Indicators)
  2. ออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging Indicators)
แน่นอนว่าออสซิลเลเตอร์ไม่ได้ทำนายอนาคตได้จริง ๆ เพราะยังคงใช้งานโดยอ้างอิงข้อมูลราคาย้อนหลัง แต่จะช่วยให้เราเห็น “ความไม่สมดุลของตลาด” ได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อหา

ออสซิลเลเตอร์แบบนำในออปชั่นไบนารี

ออสซิลเลเตอร์แบบนำจะให้สัญญาณการกลับตัวหรือจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ก่อนที่สัญญาณนั้นจะปรากฏบนตลาดจริง ๆ กล่าวคือจะ “นำ” ราคาขึ้นมา ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำกำไรได้อย่างน่าสนใจในการเทรด

ออสซิลเลเตอร์แบบนำที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
  • RSI – ดัชนีวัดความแข็งแกร่งเชิงสัมพันธ์
  • Stochastic
  • CCI – ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์

RSI oscillator – ดัชนีวัดความแข็งแกร่งเชิงสัมพันธ์

RSI หรือ Relative Strength Index คืออินดิเคเตอร์ที่ช่วยให้เราเห็นสภาวะของตลาดได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก 95% ของเวลาตลาดมักจะค่อนข้างนิ่ง มีเพียง 5% เท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตัว RSI จึงมีเส้นแบ่งค่า “30” และ “70” เอาไว้

- หากเส้น RSI ลงมาต่ำกว่า “30” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะขายมากเกิน (Oversold)
- หากเส้น RSI วิ่งทะลุ “70” แสดงว่าราคานั้นอยู่ในภาวะซื้อมากเกิน (Overbought)

หากเส้น RSI วิ่งเข้าโซนเหล่านี้แล้ว ก็มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวในไม่ช้า:

RSI oscillator บนกราฟ

RSI สามารถทำงานได้ดีทั้งในภาวะไซด์เวย์และในช่วงที่มีเทรนด์ แต่สำหรับตลาดที่วิ่งในกรอบแคบ (flat) จะเห็นได้ชัดว่ามีความแม่นยำมากกว่า เพราะราคามักจะสวิงขึ้นลงระหว่างกรอบ ทำให้เรามองเห็นจุด “Overbought” และ “Oversold” ได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดเป็นเทรนด์แรง ๆ RSI หรือออสซิลเลเตอร์อื่น ๆ มักจะให้สัญญาณหลอกได้ เนื่องจากมันจะบอกภาวะ Overbought/Oversold แต่ราคายังคงลากไปอีกไกลกว่าที่เราคาด:

สัญญาณ RSI เท็จ

Stochastic Oscillator - Stochastic

Stochastic Oscillator เป็นอีกหนึ่งออสซิลเลเตอร์แบบนำที่แสดงความเร็วของการเคลื่อนไหวหรือโมเมนตัมของราคา คล้ายกับ RSI ตรงที่สามารถคาดการณ์จุดกลับตัวและจุดที่เทรนด์กำลังจะไปต่อ

Stochastic มีสเกลหลัก ๆ คือ “20” และ “80” เพื่อบอกโซน Oversold และ Overbought นอกจากนี้ ยังมีเส้น 2 เส้น คือเส้นเร็วกับเส้นช้า (Fast & Slow) เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันและอยู่เหนือ 80 หรือใต้ 20 จะเป็นสัญญาณที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงไซด์เวย์ (ตลาดทรงตัว) แต่หากเป็นช่วงเทรนด์แรง ๆ มักจะให้สัญญาณที่ไม่นิ่ง:

ออสซิลเลเตอร์สุ่มในการเคลื่อนไหวด้านข้าง

ผู้เขียน (ต้นฉบับ) อาจไม่ค่อยชอบใช้ Stochastic เพราะมองว่าหลายครั้งสัญญาณค่อนข้างเบลอและไม่ชัดเจน ทว่ามีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจพฤติกรรมของมันได้ดีและสามารถทำกำไรได้ จึงขึ้นอยู่กับรสนิยมและสไตล์การเทรดของแต่ละคน

CCI oscillator – ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์

CCI (Commodity Channel Index) เป็นออสซิลเลเตอร์อีกตัวที่หน้าตาคล้าย RSI แต่คำนวณไม่เหมือนกัน CCI จะบ่งชี้สภาวะการเกิดแรงดันของเทรนด์ (Trend Impulse) รวมถึงบอกจุดสิ้นสุดของแรงดันนั้นด้วย

CCI จะมีสเกลหลัก ๆ คือ +100 และ -100 หากเส้น CCI ทะลุกรอบเหล่านี้ขึ้นไป หมายความว่ามีแรงดันราคาที่ค่อนข้างแรงในตลาด ส่วนเมื่อเส้นกลับสู่ระดับปกติ ก็อาจจะเป็นสัญญาณกลับตัวเล็ก ๆ เช่นกัน:

CCI oscillator บนกราฟ

ข้อดีของ CCI คือเหมาะมากในช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ชัดเจน เพราะมันจะช่วยยืนยันแรงกระตุ้นของเทรนด์ได้ดี ในขณะที่ถ้าเป็นตลาดไซด์เวย์ มักจะมีสัญญาณหลอกค่อนข้างเยอะ เนื่องจากแรงดันที่เกิดขึ้นมักจะสั้นและดับไปอย่างรวดเร็ว

ออสซิลเลเตอร์แบบตามในตลาดการเทรด

ออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging Indicators) คืออินดิเคเตอร์ที่ตามราคาจริง กล่าวคือ ราคาเปลี่ยนก่อน แล้วอินดิเคเตอร์จึงจะบอกการเปลี่ยนแปลงนั้น เราอาจจะไม่ได้เข้าตลาดตั้งแต่ต้นเทรนด์ แต่จะได้รับสัญญาณยืนยันที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ออสซิลเลเตอร์แบบตามที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
  • Moving Average หรือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
  • Bollinger Bands
  • MACD (Moving Average Convergence/Divergence)

Moving Average Oscillator

Moving Average Oscillator จัดเป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging) โดยเป็นการดูราคาค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาหนึ่ง ๆ (Period) ที่กำหนด ยิ่งตั้งค่าช่วงเวลายาวเท่าไร เส้นค่าเฉลี่ยก็จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาช้าลงเท่านั้น ทำให้จุดสวิงหรือเทรนด์อาจจะผ่านไปแล้วถึงจะมีสัญญาณยืนยัน

อย่างไรก็ตาม MA สามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านเชิงไดนามิก (Dynamic Support & Resistance) สำหรับจับจุดสิ้นสุดของการย่อหรือการพักตัวได้:

ออสซิลเลเตอร์ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

ข้อเสียคือ ถ้าตลาดแกว่งในกรอบ (ไซด์เวย์) เส้น Moving Average อาจจะให้สัญญาณหลอกบ่อย และในบางกรณี อาจจะช้าเกินไปจนเทรนด์หมดแรงแล้ว

Oscillator Bollinger Bands

Bollinger Bands เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม (Lagging) ที่ใช้หลักการสร้างกรอบหรือช่องราคา (Channel) ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งในตลาดไซด์เวย์และช่วงที่มีเทรนด์ แต่ต้องเข้าใจวิธีการทำงานของมันเป็นอย่างดี

- ในภาวะไซด์เวย์ ให้สังเกตเส้นขอบบน (Upper Band) และขอบล่าง (Lower Band) ถ้าราคาเบรกขอบบนแต่ขอบล่างยังไม่ขยายตัว อาจจะมีการย่อหรือกลับตัวเกิดขึ้น เช่นเดียวกันถ้าทะลุขอบล่างแล้วขอบบนไม่ขยายตัว

ออสซิลเลเตอร์ของ Bollinger Bands ในการเคลื่อนที่ไปด้านข้าง

- หากราคาเริ่มเข้าสู่เทรนด์ เมื่อราคาวิ่งชนขอบใดขอบหนึ่งและอีกขอบเริ่มขยับขยายออก นั่นเป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันแต่สัญญาณจะมาตามหลังราคาเล็กน้อย

ออสซิลเลเตอร์ของ Bollinger Bands กำลังได้รับความนิยม

- เมื่อตลาดยังอยู่ในเทรนด์ แต่ Bollinger Bands เริ่มหดแคบลงที่ขอบฝั่งตรงข้าม ก็อาจหมายถึงแรงของเทรนด์เริ่มอ่อนลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจบเทรนด์ อาจจะเป็นช่วงพักตัว (Pullback) เพื่อไปต่อได้ ส่วนเส้นตรงกลาง Bollinger ก็คือ Moving Average ซึ่งเป็นเส้นแนวรับ/แนวต้านเชิงไดนามิก:

ออสซิลเลเตอร์ของ Bollinger Bands ระหว่างการดึงกลับของแนวโน้ม

MACD Oscillator หรือ Moving Average Convergence/Divergence

MACD เป็นออสซิลเลเตอร์ที่นิยมมากสำหรับดูการเกิด Divergence/Convergence (ความแตกต่างหรือการเคลื่อนไหวสอดคล้องของราคา) ประกอบด้วยฮิสโตแกรม (Histogram) ที่ใช้ระบุ Divergence/Convergence และเส้นสัญญาณ (Signal Line) ที่ใช้ระบุแนวโน้มและจุดเข้าเทรนด์

- การดู Divergence ด้วย MACD: ถ้าราคาในกราฟทำจุดสูงใหม่ต่อเนื่อง แต่ฮิสโตแกรม MACD กลับมีสโลปลงหรือลดลงเรื่อย ๆ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าตลาดอาจพลิกกลับตัว (แม้จะไม่รู้แน่นอนว่าเมื่อไร)

ความแตกต่างของออสซิลเลเตอร์ MACD

เพราะ MACD เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม จึงอาจเกิด Divergence นานพอสมควรจนกว่าราคาจะยอมกลับตัว

- การดูเทรนด์หรือการกลับตัวด้วย MACD:
  • เมื่อเส้นสัญญาณ (Signal Line) เข้ามาในเขตของฮิสโตแกรม แสดงถึงแรงผลักให้เทรนด์เดินหน้าต่อ
  • เมื่อเส้นสัญญาณออกจากฮิสโตแกรม หมายถึงการพักตัวหรือเปลี่ยนเทรนด์

ออสซิลเลเตอร์ MACD ในการเคลื่อนไหวของราคาที่มีแนวโน้ม

อีกทั้งการเทรดตามเทรนด์ใหญ่ย่อมปลอดภัยกว่าการสวนเทรนด์ โดยต้องไม่ลืมว่า MACD เป็นออสซิลเลเตอร์แบบตาม จึงมีความหน่วงในตัวสัญญาณ

การใช้ออสซิลเลเตอร์ในการเทรด

ออสซิลเลเตอร์ทั้งหมดมักถูกใช้เพื่อสองจุดประสงค์หลัก ๆ คือ:
  • ระบุจุด Divergence หรือ Convergence
  • วิเคราะห์การตัดกันของเส้น (Intersection) ต่าง ๆ

การใช้ออสซิลเลเตอร์หาจุด Divergence หรือ Convergence

ออสซิลเลเตอร์หลายตัว เช่น RSI หรือ Stochastic สามารถดู Divergence และ Convergence ได้เช่นกัน ไม่ได้มีแค่ MACD เท่านั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของเทรดเดอร์

Divergence/Convergence บ่งบอกถึงความอ่อนแรงหรือความผิดปกติของเทรนด์ เมื่อ Divergence เกิดขึ้น (ราคาไปทางแต่เส้นออสซิลเลเตอร์ไปอีกทาง) มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจกลับตัวหรือย่อได้เร็ว ๆ นี้:

ความแตกต่างในออสซิลเลเตอร์ RSI

ส่วน Convergence ก็ตรงกันข้าม เป็นการที่ราคาและออสซิลเลเตอร์ไปทิศทางเดียวกัน บ่งบอกถึงการเสริมแรงกันของเทรนด์:

การบรรจบกันบน Stochastic oscillator

สรุปง่าย ๆ คือ Divergence/Convergence บอกให้เรารู้ว่าการเคลื่อนไหวของราคากำลังอ่อนแรงหรือยังคงแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถนำไปวางแผนเทรดได้

การใช้ออสซิลเลเตอร์ระบุโซน Overbought และ Oversold

ในหลาย ๆ ออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI หรือ Stochastic จะมีระดับที่บอกโซนซื้อ/ขายมากเกิน (Overbought/Oversold) หากราคาเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงจนเส้นออสซิลเลเตอร์เคลื่อนไหวเข้าไปในโซนนั้น มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังไม่สมดุล

ตัวอย่างของสัญญาณที่มักใช้:
  • การที่เส้น RSI ทะลุโซนต่ำกว่า 30 (Oversold) หรือสูงกว่า 70 (Overbought)
  • การที่ราคาเบรกเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เพื่อบอกการเปลี่ยนเทรนด์
  • การที่ราคาทะลุกรอบ Bollinger Bands
  • การที่ CCI ตัดระดับ +100 หรือ -100

โซนซื้อมากเกินไปและขายเกิน

ต้องเข้าใจด้วยว่าการที่ออสซิลเลเตอร์เข้าสู่ Overbought/Oversold ไม่ได้หมายความว่าราคาจะกลับตัวทันทีเสมอไป บางครั้งตลาดอาจวิ่งต่อจนสุดปลายเทรนด์ โดยเฉพาะเวลามีข่าวเศรษฐกิจออก ดังนั้นต้องใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วยเพื่อดูความน่าเชื่อถือของสัญญาณ

การข้ามเส้นศูนย์ (Zero Level) ของออสซิลเลเตอร์

สำหรับออสซิลเลเตอร์บางตัว เช่น MACD หรือ CCI จะมี “เส้นศูนย์” (Zero Level) เป็นจุดอ้างอิง เมื่อเส้นออสซิลเลเตอร์ตัดผ่าน 0 ก็สามารถบ่งบอกการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ได้

- MACD จะดูทั้งฮิสโตแกรมและการที่เส้นสัญญาณตัดเส้น 0
- ถ้า MACD Histogram ข้ามเส้น 0 จากล่างขึ้นบนก่อน แล้วต่อมาเส้นสัญญาณก็ตามข้าม แสดงถึงเทรนด์ขาขึ้น

การข้ามเป็นศูนย์บนออสซิลเลเตอร์

ส่วน CCI ก็เช่นกัน เมื่อข้ามเส้น 0 ขึ้นบนคือสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังขึ้น และเมื่อข้ามลงล่างคือบ่งบอกว่าตลาดอาจกำลังลง:

ข้ามระดับศูนย์บน CCI oscillator

การตัดกันของเส้นออสซิลเลเตอร์

ออสซิลเลเตอร์อย่าง MACD, Stochastic มักมีเส้น 2 เส้นเพื่อช่วยวิเคราะห์ ได้แก่ เส้นเร็วกับเส้นสัญญาณ (ใน MACD เส้นหนึ่งคือ Histogram ส่วนอีกเส้นคือ Signal) เมื่อเส้นเหล่านี้ตัดกัน มักจะเป็นสัญญาณเปลี่ยนทิศทางหรือพักตัวของราคา

ตัวอย่างเช่น Stochastic เมื่อเส้นทั้งสองตัดกันเหนือ 80 หรือต่ำกว่า 20 มักบอกการกลับตัวที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม Stochastic ตอบสนองเร็ว อาจให้สัญญาณเปลี่ยนเทรนด์ได้เร็วมากจนบางครั้งเป็นแค่การย่อตัวระยะสั้นเท่านั้น

ในขณะที่ MACD จะตอบสนองช้ากว่า จึงมักแม่นยำกว่า (แต่แลกกับการไม่สามารถจับจุดเข้าตั้งแต่แรกได้ทันที) และหากมีการตัดกันในโซน Overbought/Oversold หรือ Divergence ก็จะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น:

การดึงกลับของออสซิลเลเตอร์สุ่มและ MACD

จากภาพจะเห็นว่า Stochastic ให้สัญญาณเร็วแต่ก็ไวเกินไปในบางครั้ง ส่วน MACD ช้ากว่าแต่ค่อนข้างแม่นยำกว่า

ข้อดีและข้อเสียของออสซิลเลเตอร์

จุดเด่นและข้อจำกัดของออสซิลเลเตอร์ที่ควรรู้มีดังนี้:
  1. ออสซิลเลเตอร์ช่วยให้เห็นภาพตลาดได้ง่าย: บอกจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่หรือจุดกลับตัวได้ (Leading) หรือยืนยันเทรนด์ (Lagging) บางตัวเหมาะกับไซด์เวย์ บางตัวเหมาะกับเทรนด์
  2. ใช้งานง่าย: เข้าใจไม่ยาก มีการแบ่งสเกลชัดเจน และมีให้เลือกใช้หลายตัว
  3. ช่วยบอกความแข็งแรงของเทรนด์: โดยเฉพาะ Divergence/Convergence ที่ชี้ให้เห็นว่ากำลังจะหมดแรงหรือต่อเนื่อง
  4. หาได้ทั่วไปในโปรแกรมเทรด: อินดิเคเตอร์เหล่านี้มีอยู่แทบทุกแพลตฟอร์ม และมีหลายกลยุทธ์ที่อิงจากออสซิลเลเตอร์
ข้อเสียคือ ออสซิลเลเตอร์บางตัวให้สัญญาณหลอกได้มาก โดยเฉพาะในตลาดที่เปลี่ยนจากไซด์เวย์เป็นเทรนด์ หรือในเทรนด์แรง ๆ บางตัวจะบอก Overbought/Oversold เร็วไปจนขาดความน่าเชื่อถือ จึงจำเป็นต้องกรองสัญญาณร่วมกับ แนวรับและแนวต้าน หรือ รูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

อีกทั้งไม่มีสูตรตั้งค่าตายตัวสำหรับออสซิลเลเตอร์ เราอาจต้องปรับ Period หรือค่าอื่น ๆ ตามสภาวะตลาด หากตั้งค่าให้ “ไว” เกินไป ก็จะเกิดสัญญาณหลอกเยอะ แต่ถ้าตั้งค่าให้ “ช้า” เกินไป ก็อาจพลาดโอกาสเข้าเทรดดี ๆ ได้เช่นกัน

กลยุทธ์การเทรดโดยใช้ออสซิลเลเตอร์: ออสซิลเลเตอร์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

มีกลยุทธ์มากมายที่สร้างบนพื้นฐานออสซิลเลเตอร์ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพและนำไปประยุกต์ใช้จริงได้ แต่ต้องไม่ลืมหลัก การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) เสมอ เพราะไม่มีกลยุทธ์ไหนทำกำไรได้ 100% ตลอด

กลยุทธ์บนพื้นฐาน RSI และ Bollinger Bands

จุดน่าสนใจคือ การนำ Bollinger Bands ไปใส่ในหน้าต่างเดียวกับ RSI (Period = 9 สำหรับ RSI และ Bollinger Bands Period = 20, Deviation = 2.5) โดยกำหนด “Apply to” เป็น RSI แทนที่จะเป็นราคา:

กลยุทธ์ RSI และ Bollinger Bands การตั้งค่า Bollinger Bands

สัญญาณที่ใช้มีดังนี้ (ใช้ได้กับทุก Time Frame):
  • เมื่อเส้น RSI ทะลุขอบบนของ Bollinger Bands ในหน้าต่างเดียวกัน ให้เปิดออเดอร์ Sell (ใส่คำสั่งเทรดขาลง) ในแท่งถัดไป
  • เมื่อเส้น RSI ทะลุขอบล่างของ Bollinger Bands ให้เปิดออเดอร์ Buy (ใส่คำสั่งเทรดขาขึ้น) ในแท่งถัดไป

กลยุทธ์สัญญาณ RSI และ Bollinger Bands

กลยุทธ์ออปชั่นไบนารีจาก RSI – 95-5

กลยุทธ์นี้ใช้ RSI แต่ปรับระดับ Overbought/Oversold เป็น 95 และ 5 (แทน 70/30) พร้อมตั้งค่า Period = 4 จุดเข้าทำกำไร:
  • เมื่อเส้น RSI เข้าไปต่ำกว่า “5” ให้เปิด Buy (คาดว่าราคาจะขึ้น)
  • เมื่อเส้น RSI ขึ้นไปสูงกว่า “95” ให้เปิด Sell (คาดว่าราคาจะลง)

กลยุทธ์ 95-5

กลยุทธ์ที่ใช้ RSI สามตัว (Three RSI)

กลยุทธ์ “Three RSI” คือการนำ RSI สามตัวมาวางซ้อนกัน โดยแต่ละตัวตั้งค่าต่างกัน ดังนี้:
  • RSI Period = 5
  • RSI Period = 14
  • RSI Period = 21
เปิดออเดอร์เมื่อ RSI ทั้งสามตัวเข้าโซน Overbought/Oversold พร้อมกัน:

กลยุทธ์ที่สาม RSI

หลายคนชอบกลยุทธ์นี้เพราะมองว่าเป็นการ “กรอง” สัญญาณ แต่จริง ๆ หาก RSI Period 21 เพียงตัวเดียวให้สัญญาณ ก็ใกล้เคียงเช่นกัน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความสบายใจและรูปแบบการเทรด

กลยุทธ์ “ตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และ MACD”

ต้องใช้เครื่องมือดังนี้:
  • EMA (Exponential Moving Average) Period = 10
  • EMA Period = 20
  • MACD
ขั้นตอนในการเข้าเทรด:
  • รอให้เส้นสัญญาณของ MACD ออกจากฮิสโตแกรม (หรือกลับเข้ามาในฮิสโตแกรม) เพื่อบอกแรงใหม่
  • รอให้เส้นค่าเฉลี่ย (EMA 10 และ EMA 20) ตัดกัน
  • เข้าออเดอร์ 3-5 แท่ง เทรดในทิศทางเดียวกับเทรนด์

กลยุทธ์ 2 EMA และ MACD

กลยุทธ์ดักจับการกลับตัวด้วย RSI และ Bollinger Bands

กลยุทธ์นี้ใช้ RSI Period = 14 และ Bollinger Bands Period = 20 Deviation = 2 โดยหลักการคือ:
  • รอให้แท่งเทียนปิดนอก Bollinger Band (ด้านบนหรือล่าง)
  • ดูว่า RSI อยู่เหนือ 70 หรือใต้ 30
  • เข้าออเดอร์สวนเทรนด์ตอนแท่งถัดไป
  • ตั้ง Expiration ไว้ประมาณ 1 แท่ง (สำหรับออปชั่นไบนารี)

กลยุทธ์ RSI และ Bollinger Bands เพื่อจับการกลับตัว

กลยุทธ์นี้ค่อนข้างได้ผลแม่นยำ แต่จำนวนสัญญาณจะไม่มากนัก เพราะราคาต้องวิ่งออกจากกรอบค่อนข้างไกล

40 ออสซิลเลเตอร์แบบเรียลไทม์ (Trading View)

บนแพลตฟอร์ม Trading View มีออสซิลเลเตอร์มากมายให้เลือกใช้งาน ใส่ชื่อที่ต้องการค้นหาในช่อง Search ได้เลย เช่น:

ออสซิลเลเตอร์ Tradingview

  1. Price oscillator
  2. Volume oscillator
  3. Awesome oscillator
  4. Chaikin oscillator
  5. Klinger oscillator
  6. Ultimate oscillator
  7. SMI Ergodic oscillator
  8. Detrendet Price oscillator
  9. Chande Momentum oscillator
  10. Oscillator Moving Average (OsMA)
  11. OBV oscillator
  12. GMMA oscillator
  13. Aroon oscillator
  14. Firefly oscillator
  15. Wave Trend oscillator
  16. McClellan oscillator
  17. Super Trend oscillator v3
  18. Elliot Wave oscillator
  19. Primer RSI oscillator
  20. Accelerator oscillator
  21. TFS: volume oscillator
  22. Volume zone oscillator
  23. USC Momentum oscillator
  24. Cycle Channel oscillator
  25. OBV oscillator
  26. Pivot Detector oscillator
  27. USC Murray's Math oscillator
  28. CCT Bollinger Bands oscillator
  29. Ehlers Stochastic oscillator
  30. Bitcoin Energy Value oscillator
  31. Derivative oscillator
  32. Bull Trading oscillator
  33. Absolute Strange index oscillator
  34. Rahul Mohindar oscillator
  35. Rainbow Chart oscillator
  36. Volume and Price oscillator
  37. Adaptive Ergodic Candlestric oscillator
  38. Premier Stochastic
  39. DescriptionPoint Volume Swenlin Trading oscillator
  40. DescriptionPoint Breadth Swenlin Trading oscillator

การฝึกฝนเพื่อใช้ออสซิลเลเตอร์อย่างถูกต้อง

เช่นเดียวกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ ออสซิลเลเตอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเทรดเดอร์ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เข้าใจความสามารถและข้อจำกัดของมันในแต่ละสภาพตลาด

เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนบันทึกภาพหน้าจอการเทรดไว้เป็นพัน ๆ รูป หรืออัดวิดีโอรีวิววิธีใช้ออสซิลเลเตอร์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาและย้อนดูจุดผิดพลาด ถือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม

เมื่อเราฝึกใช้เครื่องมือหลาย ๆ แบบ หรือปรับแต่งค่าและผสมผสานกับการมองแนวรับแนวต้านหรือรูปแบบแท่งเทียน เราจะเกิดความเข้าใจในเชิงลึก ทำให้เทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ขาดการฝึกฝนจะมองไม่เห็นโอกาสเหล่านี้และอาจขาดทุนในจุดที่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ได้กำไรแทน

ตลาดเป็นของทุกคน แต่มุมมองของเทรดเดอร์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากเราลงแรงฝึกฝนจริงจัง ประสบการณ์นี้จะส่งผลดีต่อผลลัพธ์ในการเทรดอย่างแน่นอน
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar