Money Management ออปชั่นไบนารี: เทคนิคสร้างกำไรยั่งยืน
Updated: 06.05.2025
การจัดการเงิน (Money Management) ในการเทรดออปชั่นไบนารี: กฎสำคัญประจำปี 2025
ในการเทรดออปชั่นไบนารี มีนักเทรดถึง 95% ที่ขาดทุน – คุณอาจเคยได้ยินประโยคนี้มาบ้างแล้ว แต่ทำไมหลายคนถึงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง? อาจเพราะกลยุทธ์แย่? หรือเพราะมา “เล่น” ออปชั่นไบนารี? สาเหตุจริง ๆ กลับธรรมดากว่าที่คิด – พวกเขาไม่รู้วิธีจัดการเงินทุน!
Money Management คืออะไร? คือชุดกฎที่เคร่งครัด ซึ่งเมื่อปฏิบัติตามแล้ว เทรดเดอร์จะไม่เสี่ยงสูญเงินทั้งหมดในพอร์ต เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การบริหารทุน”
ลองคิดดูว่าถ้าคุณมีเงินเท่าไรในบัญชี หรือพร้อมฝากเท่าไร ก็ไม่มีความหมายถ้าสุดท้ายแล้วภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง เงินทั้งหมดอาจหายวับ จนไม่เหลือให้เปิดออเดอร์ใหม่ได้อีกต่อไป คุณคิดว่ามีกลยุทธ์เทรดที่ดีจะช่วยได้หรือ? แล้วถ้าไม่ช่วยล่ะ? ถ้ายังขาดทุนเหมือนเดิม พอร์ตจะไม่ถูก “ล้าง” หมดหรือ?
สมมติว่าคุณกำลังสร้างบ้าน ขั้นแรกต้องวางรากฐานก่อน แล้วจึงค่อยสร้างผนัง หลังคา สิ่งที่อยู่บนสุดอย่าง “ลูกโลก” หรือ “ลูกศรบอกทิศลม” อาจเปรียบได้กับกลยุทธ์เทรด คุณจะมีหรือไม่มีมันก็ยังพออยู่ได้ แต่ “รากฐาน” หรือ “ฐาน” ของบ้านเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับการเทรดก็เช่นกัน การจัดการเงินทุนคือรากฐานของคุณ หากคุณบริหารเงินเก่ง กลยุทธ์เทรดอะไรก็สามารถทำกำไรได้ ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้สำคัญมาก! ถ้าไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเงิน คุณจะหาเงินจากออปชั่นไบนารีไม่ได้!
หลายคนมองว่าการกดแค่ปุ่มขึ้นหรือลงไม่น่าจะยาก แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะทุกวัน ย่อมต้องมีวันที่เสีย หรือช่วงที่ขาดทุนเป็นสัปดาห์ เดือน หรือบางครั้งอาจยาวนานเป็นปี และในช่วงที่ขาดทุนต่อเนื่องนี่เองที่มือใหม่มัก “ล้างพอร์ต” เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะไม่สูญเงินทั้งหมด นักเทรดมือใหม่มักเชื่อว่าจะมีกลยุทธ์ “สุดยอด” ที่ทำกำไรได้ถึง 90% ของออเดอร์ที่เปิด ใช่ อาจมีช่วงสั้น ๆ ที่เป็นไปได้ แต่เมื่อระยะยาวแล้ว เปอร์เซ็นต์กำไรอาจเหลือเพียง 70% (ในกรณีดีที่สุด) หรือ 60–65% ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ — และยังสามารถทำกำไรได้จากระดับนี้ด้วย
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าการมีกลยุทธ์ดีหรือไม่ คือ “การไม่รู้จักบริหารเงินทุน” ตัวอย่างเช่น สมมติคุณฝากเงิน $1000 แต่เปิดออเดอร์ละ $250 แค่ขาดทุนติดต่อกัน 4 ครั้ง เงินก็หมดทันที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการบริหารเงินที่ผิดพลาด แต่ความจริงแล้ว $1000 ถือเป็นจำนวนเริ่มต้นที่ดี ซึ่งสามารถงอกเงยไปถึง $10,000 ได้ หากคุณศึกษากฎการจัดการเงินอย่างถูกต้อง
เป้าหมายสำคัญของคุณคือ “สร้างกำไรจากโอกาสที่เป็นไปได้ และหยุดขาดทุนเมื่อไม่มีทางทำกำไร!” ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่การเทรดไม่เคยเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น!
สูตรคำนวณ 5% มีดังนี้:
ยิ่งยอดเงินในบัญชีมากขึ้นเท่าใด ออเดอร์ที่เปิดควรมีสัดส่วนลดลงเรื่อย ๆ เพื่อความสบายใจของคุณเอง อย่าทำให้เกิดความกลัวโดยไม่จำเป็น และยังมีประเด็นเรื่อง “ขีดจำกัดทางจิตวิทยาต่อขนาดของพอร์ต” ที่ทุกคนต้องระวัง
ทีนี้ ถ้าคุณเทรดโดยเสี่ยงแค่ 1% ของพอร์ต ($1000) แล้วแพ้ติดกัน 3 ครั้ง:
หากคำนวณในรูปแบบ fixed rate ที่ 1% ของ $1000 ทุกไม้ (คือเสี่ยง $10 ทุกครั้ง) แพ้ 3 ไม้ติดกันก็จะได้:
เปรียบเทียบตัวอย่างที่เสี่ยง 5% ต่อออเดอร์ (ขาดทุน $143–150 ใน 3 ไม้) กับที่เสี่ยง 1% (ขาดทุน $28–30 ใน 3 ไม้) จะเห็นความต่างชัดเจน ระหว่างเสีย $150 กับเสีย $30 คุณคิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน? มือใหม่มักจะคิดเรื่องผลกำไรว่า “เทรด 5% ได้กำไรต่อไม้มากกว่า” ก็ถูก แต่จำไว้ว่าเทรดเดอร์มืออาชีพคิดก่อนเสมอว่า “จะเสียได้มากแค่ไหน” ไม่ใช่ “จะได้กำไรเท่าไร” ซึ่งสะท้อนว่านักเทรดอาชีพมองการเทรดต่างจากมือใหม่โดยสิ้นเชิง
ผลลัพธ์สรุปคือ “กำไรเล็กน้อย ดีกว่าเสี่ยงจนเสียเงินก้อนโต” เพราะโอกาสอยู่ในตลาดตลอด ถ้าคุณรักษาเงินทุนไว้ได้ การสร้างกำไรจะค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคงกว่า อย่าเชื่อ “Guru-บล็อกเกอร์” ที่บอกว่าต้องเทรดเสี่ยงสูงจนเกินเหตุ เพราะสุดท้ายจะพาคุณไปสู่การขาดทุน
มือใหม่ส่วนมากละเลยกฎนี้ ทั้งที่รู้จักแล้วก็ตาม ผลลัพธ์จึงไม่พ้น “ล้างพอร์ต” เพราะไม่รู้จักพอ ไม่ใส่ใจกฎการจัดการเงิน สุดท้ายเงินก็หมดไป ถ้าอยากเทรดเป็นอาชีพ อย่าลืมกฎนี้!
กฎ “ยิงสามครั้งแล้วหยุด!” บอกให้คุณหยุดทันทีที่แพ้ 3 ไม้ติดกัน และไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเทรด สำหรับมือใหม่ แนะนำให้หยุดถึงวันถัดไป หรืออย่างน้อยหยุด 3–4 ชั่วโมงสำหรับคนที่มีประสบการณ์ เพื่อพักใจและกลับมาเทรดใหม่แบบมีสติ
กฎนี้เน้นป้องกัน “อารมณ์ลบ” ที่เสี่ยงทำให้เทรดแบบไม่คิด เพราะแม้แต่มืออาชีพก็ยังหยุดเมื่อสภาพตลาดไม่เอื้อ ไม่ใช่แก้มือแบบไม่ลืมหูลืมตา มือใหม่ควรยึดถือกฎนี้อย่างเคร่งครัด ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตารางด้านล่างเป็นตัวอย่างอัตรา breakeven ที่แตกต่างกันตามเปอร์เซ็นต์จ่าย (Payout) และเปอร์เซ็นต์ขาดทุน (Loss) เช่นถ้าโบรกเกอร์จ่าย 80% แต่เสีย 100% เวลาแพ้ คุณต้องชนะอย่างน้อย 55.6% ถึงจะคุ้มทุน หรือถ้าปิดขาดทุนก่อนหมดเวลาเสียแค่ 95% ก็ต้องชนะตามตัวเลขในตารางเพื่อไม่ขาดทุนโดยรวม:
ตัวอย่างเช่น ถ้าแพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารีจ่ายผลตอบแทน 80% หากคาดการณ์ถูก และต้องเสีย 100% เมื่อคาดการณ์ผิด คุณต้องชนะอย่างน้อย 55.6% ของออเดอร์ทั้งหมดถึงจะไม่ขาดทุน หรือถ้าโบรกเกอร์ปล่อยให้ปิดขาดทุนก่อนหมดเวลา คิดเป็น 95% ของเงินลงทุน อัตรา breakeven (จุดคุ้มทุน) ก็จะเปลี่ยนไปตามตาราง
ข้อมูลในตารางจะอ้างอิงกับกรณีที่ลงเงินเท่ากันทุกไม้ (จำนวนเงินลงทุนคงที่ หรือ fixed investment amount) เช่น เทรดครั้งละ 1% ของ $1000 ($10) โดยไม่เพิ่มหรือลดตามการแพ้ชนะ
ความยืดหยุ่นนี้เอื้อต่อประสิทธิภาพการเทรดและสภาพจิตวิทยา เพราะนักเทรดที่มีประสบการณ์จะตัดสินใจเองได้ว่า ออเดอร์ใดควรใช้ทุนมากขึ้น (5% ของพอร์ต) เมื่อมั่นใจสูง หรือใช้น้อยลง (1% ของพอร์ต) เมื่อไม่มั่นใจ หรือแยกกลยุทธ์บางส่วน เช่น เทรดตามกลยุทธ์ A อาจเสี่ยง 3% ส่วนกลยุทธ์ B เสี่ยง 1% เป็นต้น
บางคนก็ใช้ระบบ “สะสมความเสี่ยง” (Accumulated Risk) ที่เป็นอีกรูปแบบของการจัดการเงินแบบลอยตัว เพื่อต่อยอดกำไรและบริหารเงินให้เติบโตเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การจัดการเงินทุนแบบลอยตัว (Floating money management) เหมาะกับผู้มีประสบการณ์ เพราะต้องวิเคราะห์และควบคุมอารมณ์ได้ดี มือใหม่ควรเริ่มจากการจัดการเงินทุนแบบคงที่ (fixed money management) โดยไม่เกิน 5% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง
บางทีก็ละเมิดกฎโดยไม่รู้ตัว เช่น ฝากขั้นต่ำ $10 กับ Intrade Bar ที่ให้เทรดขั้นต่ำ $1 กลายเป็นว่าคุณเสี่ยง 10% ต่อออเดอร์อยู่แล้ว! (ในเมื่อ 5% ของ $10 คือ $0.5 ซึ่งต่ำกว่าขั้นต่ำ) สุดท้ายก็ขาดทุนเพราะกฎ money management ถูกละเมิดตั้งแต่ต้น
จริง ๆ แล้วถ้าจะเทรดครั้งละ $1 ได้อย่างปลอดภัย ควรมีอย่างน้อย $20 เพื่อจะเสี่ยง 5% แต่จะให้ดี หากจะเทรดจริง ๆ ควรมีทุนที่เปิดได้ 100 ไม้ขึ้นไป รายละเอียดเคยอธิบายไว้ในบทความ “การฝากเงินในออปชั่นไบนารี” แล้ว
ส่วนคำถามว่า “ถ้าละเมิดกฎ money management จะเกิดอะไรขึ้น?” ตอบได้ง่าย ๆ: คุณจะเข้าสู่หนึ่งในสี่เส้นทางต่อไปนี้:
หลังจากคุณล้างพอร์ตสักสองสามครั้ง คงเริ่มเข้าใจความสำคัญของกฎนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจก็จะเสียเงินให้บริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลต่อไปเรื่อย ๆ
Money management เป็น “ทางเดียว” ที่จะรักษาเงินทุนไว้ได้ กลยุทธ์ใด ๆ จะใช้ไม่ได้ผลหากคุณละเมิดกฎเงินทุน ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีแค่ไหน หากคุณเสี่ยงเกินตัวก็ต้องเสียอยู่ดี ความแตกต่างระหว่าง “มืออาชีพ” กับ “มือใหม่” อยู่ตรงที่มืออาชีพรักษากฎ 100% ขณะที่มือใหม่พร้อมละเมิดเพราะหวังรวยเร็ว
แน่นอนว่าการเร่งพอร์ตมักเกิดกับคนที่เริ่มต้นทุนน้อย ($10–$100) แต่ฝันอยากให้กลายเป็นเงินหลักพันในเวลาอันสั้น บ่อยครั้งถูกกระตุ้นโดย “กูรู” หรือ “บล็อกเกอร์” ที่โชว์เป็นตัวอย่างว่าทำได้จริง แต่เบื้องหลังคือขาดทุนจนล้างพอร์ตซ้ำ ๆ
ปัญหาคือ สมองมนุษย์จะจดจำกิจวัตรซ้ำ ๆ จนติดเป็นนิสัย คุณอาจติดรูปแบบ “เทรดแบบเร่งพอร์ต” จนถอยกลับไม่ได้ สาเหตุเพราะมัน “ง่าย” และผลตอบแทนเร็วเกินไป (ถ้าโชคดี)
มือใหม่บางคนเร่งพอร์ตจนสำเร็จ “from $10 to $200” แล้วมีสองทางเลือก:
“การเร่งพอร์ต” จึงเป็นกับดักที่ทำให้คิดว่าการเทรดแบบค่อยเป็นค่อยไปน่าเบื่อหรือช้า ขณะที่ “เร่งพอร์ต” หวังรวยเร็ว แต่สถิติบ่งชี้ชัดว่าสุดท้ายคนเร่งพอร์ตมากกว่า 99% ล้างพอร์ตในที่สุด
วิธีเดียวที่จะหลุดวงจรนี้ได้คือ ไม่สนใจการเร่งพอร์ต แต่ยึดกฎ Money Management อย่างเคร่งครัด ฝึกฝนกลยุทธ์ และสะสมกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่ละพอร์ตต้อง คำนวณจำนวนเงิน ให้เหมาะสมตามกฎไม่เกิน 5% เสมอ ส่วนจะเลือกเทรดกับบริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลเจ้าไหน ลองดูในบทความ “เลือกโบรกเกอร์ออปชั่นไบนารียังไง” ได้
การรู้หลายกลยุทธ์หรือหลายระบบการบริหารเงินเป็นข้อได้เปรียบมาก แม้อาจไม่เชี่ยวชาญ 100% ในทุกกลยุทธ์ แต่ก็พอทำกำไรได้สม่ำเสมอ จึงถือเป็นข้อสำคัญที่จะทำให้คุณอยู่รอดในระยะยาว
บางคนได้กำไร 3–5 ไม้ติดแล้วหยุดทันที ข้อดีก็คือกำไรไม่หาย แต่ข้อเสียคืออาจพลาดโอกาสทำกำไรต่อหากตลาดยังเอื้อมากอยู่ ดังนั้นหาสมดุลที่เหมาะสม อาจตั้งเป้ากำไรตามความเป็นจริง เมื่อถึงแล้วให้หยุด
เมื่อเงินคุณลดลงมากในเวลาอันสั้น คุณอาจหมดความมั่นใจ และอาจเผลอเปิดออเดอร์ก้อนใหญ่อีกครั้งเพราะอยาก “เอาคืน” สุดท้ายเป็นวงจรอันตราย แม้แต่มืออาชีพยังยากจะคุมอารมณ์ ดังนั้นหากเป็นมือใหม่ยิ่งต้องระวังกฎการจัดการเงินให้เคร่งครัด
เมื่อเข้าใจการจัดการเงิน คุณจะหยุดเสียเงินโดยไม่จำเป็น และเริ่มทำกำไรได้อย่างมั่นคง แต่การอ่านอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณต้อง “ฝึกปฏิบัติ” จนเกิดความชำนาญ ยิ่งคุณฝึกเร็วเท่าไรก็จะยิ่งลดการสูญเสียได้มากขึ้น
เมื่อรากฐานแข็งแรงแล้ว คุณจะเลือกต่อยอดด้วยกลยุทธ์เทคนิคใด ๆ ในตลาดก็ได้ มีเรื่องเล่าในหนังสือบางเล่มว่า เคยมีคน “โยนเหรียญทายขึ้นลง” แต่ยังทำกำไรได้สม่ำเสมอเพราะใช้กฎ money management ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณใช้กฎบริหารเงินอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะเทรดด้วยวิธีไหนก็ยังพอทำกำไร แต่ถ้าคุณไม่มีหรือไม่ใช้กฎนี้ ต่อให้เป็น “สุดยอดกลยุทธ์” ก็ไม่อาจต้านการขาดทุนได้ในระยะยาว
Money Management คืออะไร? คือชุดกฎที่เคร่งครัด ซึ่งเมื่อปฏิบัติตามแล้ว เทรดเดอร์จะไม่เสี่ยงสูญเงินทั้งหมดในพอร์ต เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การบริหารทุน”
ลองคิดดูว่าถ้าคุณมีเงินเท่าไรในบัญชี หรือพร้อมฝากเท่าไร ก็ไม่มีความหมายถ้าสุดท้ายแล้วภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่ชั่วโมง เงินทั้งหมดอาจหายวับ จนไม่เหลือให้เปิดออเดอร์ใหม่ได้อีกต่อไป คุณคิดว่ามีกลยุทธ์เทรดที่ดีจะช่วยได้หรือ? แล้วถ้าไม่ช่วยล่ะ? ถ้ายังขาดทุนเหมือนเดิม พอร์ตจะไม่ถูก “ล้าง” หมดหรือ?
สมมติว่าคุณกำลังสร้างบ้าน ขั้นแรกต้องวางรากฐานก่อน แล้วจึงค่อยสร้างผนัง หลังคา สิ่งที่อยู่บนสุดอย่าง “ลูกโลก” หรือ “ลูกศรบอกทิศลม” อาจเปรียบได้กับกลยุทธ์เทรด คุณจะมีหรือไม่มีมันก็ยังพออยู่ได้ แต่ “รากฐาน” หรือ “ฐาน” ของบ้านเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับการเทรดก็เช่นกัน การจัดการเงินทุนคือรากฐานของคุณ หากคุณบริหารเงินเก่ง กลยุทธ์เทรดอะไรก็สามารถทำกำไรได้ ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้สำคัญมาก! ถ้าไม่เข้าใจเรื่องการจัดการเงิน คุณจะหาเงินจากออปชั่นไบนารีไม่ได้!
หลายคนมองว่าการกดแค่ปุ่มขึ้นหรือลงไม่น่าจะยาก แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะทุกวัน ย่อมต้องมีวันที่เสีย หรือช่วงที่ขาดทุนเป็นสัปดาห์ เดือน หรือบางครั้งอาจยาวนานเป็นปี และในช่วงที่ขาดทุนต่อเนื่องนี่เองที่มือใหม่มัก “ล้างพอร์ต” เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะไม่สูญเงินทั้งหมด นักเทรดมือใหม่มักเชื่อว่าจะมีกลยุทธ์ “สุดยอด” ที่ทำกำไรได้ถึง 90% ของออเดอร์ที่เปิด ใช่ อาจมีช่วงสั้น ๆ ที่เป็นไปได้ แต่เมื่อระยะยาวแล้ว เปอร์เซ็นต์กำไรอาจเหลือเพียง 70% (ในกรณีดีที่สุด) หรือ 60–65% ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ — และยังสามารถทำกำไรได้จากระดับนี้ด้วย
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าการมีกลยุทธ์ดีหรือไม่ คือ “การไม่รู้จักบริหารเงินทุน” ตัวอย่างเช่น สมมติคุณฝากเงิน $1000 แต่เปิดออเดอร์ละ $250 แค่ขาดทุนติดต่อกัน 4 ครั้ง เงินก็หมดทันที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการบริหารเงินที่ผิดพลาด แต่ความจริงแล้ว $1000 ถือเป็นจำนวนเริ่มต้นที่ดี ซึ่งสามารถงอกเงยไปถึง $10,000 ได้ หากคุณศึกษากฎการจัดการเงินอย่างถูกต้อง
เป้าหมายสำคัญของคุณคือ “สร้างกำไรจากโอกาสที่เป็นไปได้ และหยุดขาดทุนเมื่อไม่มีทางทำกำไร!” ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่การเทรดไม่เคยเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น!
เนื้อหา
- Money management: กฎง่าย ๆ แต่สำคัญที่สุดในการเทรดออปชั่นไบนารี
- Money management และการประเมินความเสี่ยงในการเทรดออปชั่นไบนารี
- Money management: “ยิงสามครั้งแล้วหยุด!” ในการเทรดออปชั่นไบนารี
- Money management และการคำนวณอัตราความสำเร็จในการเทรดออปชั่นไบนารี
- Floating money management ในการเทรดออปชั่นไบนารี
- หากละเมิดกฎ money management ในออปชั่นไบนารีจะเกิดอะไรขึ้น?
- Money management กับการเร่งพอร์ต (Deposit Acceleration) ในออปชั่นไบนารี
- Money management ในการเทรด (trading) ออปชั่นไบนารี
- “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว” หรือ “เทรดกับหลายโบรกเกอร์”
- ใช้เครื่องมือที่หลากหลายเมื่อเทรดออปชั่นไบนารี
- มีกลยุทธ์เทรดออปชั่นไบนารีหลายแบบที่ทำกำไรได้
- ตั้งเป้าหมายก่อนการเทรดออปชั่นไบนารี
- ปล่อยให้กำไรเติบโตในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ควบคุมการขาดทุนให้ได้เสมอในการเทรดออปชั่นไบนารี
- Money management คือหัวใจสำคัญของการเทรด
Money management: กฎง่าย ๆ แต่สำคัญที่สุดในการเทรดออปชั่นไบนารี
ทุกช่วงเวลาที่มีกำไร จะมีช่วงเวลาที่ขาดทุนตามมา – นักเทรดที่ประสบความสำเร็จทุกคนรู้เรื่องนี้ดี และไม่มีช่วงไหนจะยาวนานตลอดไป:- ช่วงที่กำไรจะสิ้นสุดลง และเริ่มขาดทุน
- ช่วงที่ขาดทุนจะจบลง และเริ่มทำกำไร
- กลยุทธ์ของคุณ “ล้าสมัย” ชั่วคราวเพราะสภาพตลาดเปลี่ยน
- คุณปรับตัวไม่ทัน หรืออ่านตลาดผิด
“จำนวนเงินในแต่ละออเดอร์ห้ามเกิน 5% ของยอดคงเหลือในบัญชีเทรด”
ทำไมต้อง 5%? เพราะเป็นสัดส่วนที่ถือว่าควบคุมความรู้สึกด้านจิตวิทยาได้ดี หากขาดทุน (ซึ่งอาจเกิดได้ทุกเมื่อเพราะไม่มีการคาดการณ์ใดที่ 100%) เราจะไม่เครียดจนขาดสติ ต่างจากการเสีย 10% ของพอร์ตในออเดอร์เดียวสูตรคำนวณ 5% มีดังนี้:
“จำนวนเงินที่เทรด = (ยอดเงินในบัญชี / 100) * 5”
เช่น ถ้าบัญชีมีเงิน $1000:$1000 / 100 * 5 = $50
ย้ำอีกครั้ง: 5% คือ “เพดานสูงสุด” ถ้าทุนคุณมากพอ แนะนำให้เสี่ยงออเดอร์ละ 1% หรือน้อยกว่านั้นยิ่งดี!ยิ่งยอดเงินในบัญชีมากขึ้นเท่าใด ออเดอร์ที่เปิดควรมีสัดส่วนลดลงเรื่อย ๆ เพื่อความสบายใจของคุณเอง อย่าทำให้เกิดความกลัวโดยไม่จำเป็น และยังมีประเด็นเรื่อง “ขีดจำกัดทางจิตวิทยาต่อขนาดของพอร์ต” ที่ทุกคนต้องระวัง
Money management และการประเมินความเสี่ยงในการเทรดออปชั่นไบนารี
Money management ช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเทรดที่มีกำไร เพราะจะป้องกันไม่ให้พอร์ตสูญเงินมากเกินไป ตัวอย่างเช่น มีเงิน $1000 และคุณยึดหลักไม่เกิน 5% ต่อออเดอร์ ถ้าคุณเสียติดกัน 3 ไม้ จะเป็นดังนี้:- ออเดอร์ที่ 1: $1000 - $50 (5% ของ $1000) = $950
- ออเดอร์ที่ 2: $950 - $48 (5% ของ $950) = $902
- ออเดอร์ที่ 3: $902 - $45 (5% ของ $902) = $857
- ออเดอร์ที่ 1: $1000 - $50 = $950
- ออเดอร์ที่ 2: $950 - $50 = $900
- ออเดอร์ที่ 3: $900 - $50 = $850
ทีนี้ ถ้าคุณเทรดโดยเสี่ยงแค่ 1% ของพอร์ต ($1000) แล้วแพ้ติดกัน 3 ครั้ง:
- ออเดอร์ที่ 1: $1000 - $10 = $990
- ออเดอร์ที่ 2: $990 - $9 (1% ของ $990) = $981
- ออเดอร์ที่ 3: $981 - $9 (1% ของ $981) = $972
หากคำนวณในรูปแบบ fixed rate ที่ 1% ของ $1000 ทุกไม้ (คือเสี่ยง $10 ทุกครั้ง) แพ้ 3 ไม้ติดกันก็จะได้:
- ออเดอร์ที่ 1: $1000 - $10 = $990
- ออเดอร์ที่ 2: $990 - $10 = $980
- ออเดอร์ที่ 3: $980 - $10 = $970
เปรียบเทียบตัวอย่างที่เสี่ยง 5% ต่อออเดอร์ (ขาดทุน $143–150 ใน 3 ไม้) กับที่เสี่ยง 1% (ขาดทุน $28–30 ใน 3 ไม้) จะเห็นความต่างชัดเจน ระหว่างเสีย $150 กับเสีย $30 คุณคิดว่าแบบไหนดีกว่ากัน? มือใหม่มักจะคิดเรื่องผลกำไรว่า “เทรด 5% ได้กำไรต่อไม้มากกว่า” ก็ถูก แต่จำไว้ว่าเทรดเดอร์มืออาชีพคิดก่อนเสมอว่า “จะเสียได้มากแค่ไหน” ไม่ใช่ “จะได้กำไรเท่าไร” ซึ่งสะท้อนว่านักเทรดอาชีพมองการเทรดต่างจากมือใหม่โดยสิ้นเชิง
ผลลัพธ์สรุปคือ “กำไรเล็กน้อย ดีกว่าเสี่ยงจนเสียเงินก้อนโต” เพราะโอกาสอยู่ในตลาดตลอด ถ้าคุณรักษาเงินทุนไว้ได้ การสร้างกำไรจะค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคงกว่า อย่าเชื่อ “Guru-บล็อกเกอร์” ที่บอกว่าต้องเทรดเสี่ยงสูงจนเกินเหตุ เพราะสุดท้ายจะพาคุณไปสู่การขาดทุน
Money management: “ยิงสามครั้งแล้วหยุด!” ในการเทรดออปชั่นไบนารี
อาจสังเกตว่าตัวอย่างทั้งหมดผมยกแค่ 3 ครั้งของการแพ้ติดกัน นั่นเป็นเพราะมีกฎหนึ่งใน Money Management ที่คนในวงการพูดกันมานานและช่วยเซฟพอร์ตได้มาก กฎนั้นคือ:“ยิงสามครั้งแล้วหยุด!”
แน่นอนว่า “ยิง” ในที่นี้หมายถึง “ขาดทุน 3 ออเดอร์ติดกัน” กฎดังกล่าวเกิดจากการสังเกตด้านจิตวิทยาเทรด พบว่าเมื่อแพ้ติดกันสามครั้ง มักส่งผลต่อประสิทธิภาพการเทรดอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เทรดเดอร์:- คาดการณ์พลาดมากขึ้น
- ละเมิดกฎบริหารเงินทุน
- พยายาม “ถอนทุนคืน” ด้วยความรีบ
- เกิดความกลัว หมดกำลังใจ หรือซึมเศร้า
มือใหม่ส่วนมากละเลยกฎนี้ ทั้งที่รู้จักแล้วก็ตาม ผลลัพธ์จึงไม่พ้น “ล้างพอร์ต” เพราะไม่รู้จักพอ ไม่ใส่ใจกฎการจัดการเงิน สุดท้ายเงินก็หมดไป ถ้าอยากเทรดเป็นอาชีพ อย่าลืมกฎนี้!
กฎ “ยิงสามครั้งแล้วหยุด!” บอกให้คุณหยุดทันทีที่แพ้ 3 ไม้ติดกัน และไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเทรด สำหรับมือใหม่ แนะนำให้หยุดถึงวันถัดไป หรืออย่างน้อยหยุด 3–4 ชั่วโมงสำหรับคนที่มีประสบการณ์ เพื่อพักใจและกลับมาเทรดใหม่แบบมีสติ
กฎนี้เน้นป้องกัน “อารมณ์ลบ” ที่เสี่ยงทำให้เทรดแบบไม่คิด เพราะแม้แต่มืออาชีพก็ยังหยุดเมื่อสภาพตลาดไม่เอื้อ ไม่ใช่แก้มือแบบไม่ลืมหูลืมตา มือใหม่ควรยึดถือกฎนี้อย่างเคร่งครัด ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Money management และการคำนวณอัตราความสำเร็จในการเทรดออปชั่นไบนารี
ในการเทรดออปชั่นไบนารี ถ้าคุณทายถูก แพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารีอาจจ่ายผลตอบแทนตั้งแต่ 65% ถึง 95% ของเงินที่ลงทุน แต่ถ้าทายผิดจะเสีย 100% ของเงินลงทุน (ยกเว้นบางบริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลให้ปิดออเดอร์ก่อนหมดเวลาเพื่อเสียส่วนน้อย) ดังนั้นหากต้องการทำกำไรโดยรวม คุณต้องมีอัตรา “ชนะ” มากกว่า 50% ของจำนวนออเดอร์ที่เปิด สูตรคำนวณอัตรากำไร (Win Ratio) คือ:(จำนวนออเดอร์ที่ชนะ / จำนวนออเดอร์ทั้งหมด) * 100
เช่น หากคุณเปิด 50 ออเดอร์ แล้วชนะ 35 ออเดอร์:35 / 50 * 100 = 70%
กล่าวคือ ชนะ 70% จากทั้งหมด กำไรหรือขาดทุนขึ้นกับผลตอบแทนที่โบรกเกอร์ออปชั่นไบนารีจ่าย บางแพลตฟอร์มอาจมีตัวเลือกคืนเงินบางส่วนเมื่อแพ้ ลดการเสีย 100% เหลือ 80% หรือ 90% แล้วแต่เงื่อนไขตารางด้านล่างเป็นตัวอย่างอัตรา breakeven ที่แตกต่างกันตามเปอร์เซ็นต์จ่าย (Payout) และเปอร์เซ็นต์ขาดทุน (Loss) เช่นถ้าโบรกเกอร์จ่าย 80% แต่เสีย 100% เวลาแพ้ คุณต้องชนะอย่างน้อย 55.6% ถึงจะคุ้มทุน หรือถ้าปิดขาดทุนก่อนหมดเวลาเสียแค่ 95% ก็ต้องชนะตามตัวเลขในตารางเพื่อไม่ขาดทุนโดยรวม:
เปอร์เซ็นต์การจ่ายเงินจากโบรกเกอร์ออปชั่นไบนารี |
เปอร์เซ็นต์ของการขาดทุนหากคาดการณ์ผิด |
เปอร์เซ็นต์คุ้มทุน |
70% |
100% |
58,80% |
75% |
100% |
57,10% |
80% |
100% |
55,60% |
85% |
100% |
54,10% |
90% |
100% |
52,60% |
70% |
95% |
57,60% |
75% |
95% |
55,90% |
80% |
95% |
54,30% |
85% |
95% |
52,80% |
70% |
90% |
56,30% |
75% |
90% |
54,50% |
80% |
90% |
52,90% |
85% |
90% |
51,40% |
70% |
85% |
54,80% |
75% |
85% |
53,10% |
80% |
85% |
51,50% |
85% |
85% |
50% |
70% |
95% |
57,60% |
64% |
80% |
55,60% |
55% |
70% |
56% |
30% |
50% |
62,50% |
90% |
90% |
50% |
50% |
50% |
50% |
20% |
20% |
50% |
ข้อมูลในตารางจะอ้างอิงกับกรณีที่ลงเงินเท่ากันทุกไม้ (จำนวนเงินลงทุนคงที่ หรือ fixed investment amount) เช่น เทรดครั้งละ 1% ของ $1000 ($10) โดยไม่เพิ่มหรือลดตามการแพ้ชนะ
การจัดการเงินทุนแบบลอยตัว (Floating money management) ในการเทรดออปชั่นไบนารี
การจัดการเงินทุนแบบลอยตัว (Floating money management) คือรูปแบบหนึ่งของการจัดการเงินทุนแบบคงที่ (fixed money management) แต่มีการปรับขนาดการลงทุนให้ “ยืดหยุ่น” ตามความเชื่อมั่นหรือสภาวะตลาด โดยหลักยังคงไม่เกิน 5% ของพอร์ตความยืดหยุ่นนี้เอื้อต่อประสิทธิภาพการเทรดและสภาพจิตวิทยา เพราะนักเทรดที่มีประสบการณ์จะตัดสินใจเองได้ว่า ออเดอร์ใดควรใช้ทุนมากขึ้น (5% ของพอร์ต) เมื่อมั่นใจสูง หรือใช้น้อยลง (1% ของพอร์ต) เมื่อไม่มั่นใจ หรือแยกกลยุทธ์บางส่วน เช่น เทรดตามกลยุทธ์ A อาจเสี่ยง 3% ส่วนกลยุทธ์ B เสี่ยง 1% เป็นต้น
บางคนก็ใช้ระบบ “สะสมความเสี่ยง” (Accumulated Risk) ที่เป็นอีกรูปแบบของการจัดการเงินแบบลอยตัว เพื่อต่อยอดกำไรและบริหารเงินให้เติบโตเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การจัดการเงินทุนแบบลอยตัว (Floating money management) เหมาะกับผู้มีประสบการณ์ เพราะต้องวิเคราะห์และควบคุมอารมณ์ได้ดี มือใหม่ควรเริ่มจากการจัดการเงินทุนแบบคงที่ (fixed money management) โดยไม่เกิน 5% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง
หากละเมิดกฎ money management ในออปชั่นไบนารีจะเกิดอะไรขึ้น?
อย่างที่ย้ำไปแล้วว่า 95% ของคนที่เทรดออปชั่นไบนารีขาดทุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมือใหม่ที่ไม่เคร่งครัดในเรื่องบริหารเงิน แม้จะรู้กฎก็มักละเลยเพราะคิดว่า “หาวิธีง่าย ๆ ดีกว่า” เช่น- เทรดด้วย Martingale
- เทรดด้วยเงินทั้งพอร์ต
- พยายาม “ถอนทุน” อย่างรวดเร็วหลังแพ้
บางทีก็ละเมิดกฎโดยไม่รู้ตัว เช่น ฝากขั้นต่ำ $10 กับ Intrade Bar ที่ให้เทรดขั้นต่ำ $1 กลายเป็นว่าคุณเสี่ยง 10% ต่อออเดอร์อยู่แล้ว! (ในเมื่อ 5% ของ $10 คือ $0.5 ซึ่งต่ำกว่าขั้นต่ำ) สุดท้ายก็ขาดทุนเพราะกฎ money management ถูกละเมิดตั้งแต่ต้น
จริง ๆ แล้วถ้าจะเทรดครั้งละ $1 ได้อย่างปลอดภัย ควรมีอย่างน้อย $20 เพื่อจะเสี่ยง 5% แต่จะให้ดี หากจะเทรดจริง ๆ ควรมีทุนที่เปิดได้ 100 ไม้ขึ้นไป รายละเอียดเคยอธิบายไว้ในบทความ “การฝากเงินในออปชั่นไบนารี” แล้ว
ส่วนคำถามว่า “ถ้าละเมิดกฎ money management จะเกิดอะไรขึ้น?” ตอบได้ง่าย ๆ: คุณจะเข้าสู่หนึ่งในสี่เส้นทางต่อไปนี้:
- บางครั้งโชคดี เทรดได้กำไรสองสามวัน แล้วโดนล้างพอร์ตในวันถัดไป
- เสียหมดในวันเดียวด้วยออเดอร์ใหญ่ ๆ
- เงินลดลงหนักแล้วหยุด พอมาเทรดใหม่ก็เสียจนเกลี้ยง
- โชคดีทำกำไรแล้วถอนบางส่วน แต่เหลือเงินไว้ในบัญชี สุดท้ายก็เสียเงินที่เหลือและฝากใหม่เพื่อ “เอาทุนคืน” แล้วก็เสียอีก วนไปไม่รู้จบ
หลังจากคุณล้างพอร์ตสักสองสามครั้ง คงเริ่มเข้าใจความสำคัญของกฎนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจก็จะเสียเงินให้บริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลต่อไปเรื่อย ๆ
Money management เป็น “ทางเดียว” ที่จะรักษาเงินทุนไว้ได้ กลยุทธ์ใด ๆ จะใช้ไม่ได้ผลหากคุณละเมิดกฎเงินทุน ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีแค่ไหน หากคุณเสี่ยงเกินตัวก็ต้องเสียอยู่ดี ความแตกต่างระหว่าง “มืออาชีพ” กับ “มือใหม่” อยู่ตรงที่มืออาชีพรักษากฎ 100% ขณะที่มือใหม่พร้อมละเมิดเพราะหวังรวยเร็ว
Money management กับการเร่งพอร์ต (Deposit Acceleration) ในออปชั่นไบนารี
ผมเคยอธิบายเรื่องการเร่งพอร์ต (Deposit Acceleration) ซึ่งคือการละเมิดกฎ money management อย่างเป็นระบบ โดยเพิ่มความเสี่ยงต่อออเดอร์เพื่อหวังโตเร็ว สุดท้ายเรียกได้ว่า “ไม่เวิร์ก” ถ้าได้ก็เป็นเรื่องฟลุก โอกาส 1 ใน 1000แน่นอนว่าการเร่งพอร์ตมักเกิดกับคนที่เริ่มต้นทุนน้อย ($10–$100) แต่ฝันอยากให้กลายเป็นเงินหลักพันในเวลาอันสั้น บ่อยครั้งถูกกระตุ้นโดย “กูรู” หรือ “บล็อกเกอร์” ที่โชว์เป็นตัวอย่างว่าทำได้จริง แต่เบื้องหลังคือขาดทุนจนล้างพอร์ตซ้ำ ๆ
ปัญหาคือ สมองมนุษย์จะจดจำกิจวัตรซ้ำ ๆ จนติดเป็นนิสัย คุณอาจติดรูปแบบ “เทรดแบบเร่งพอร์ต” จนถอยกลับไม่ได้ สาเหตุเพราะมัน “ง่าย” และผลตอบแทนเร็วเกินไป (ถ้าโชคดี)
มือใหม่บางคนเร่งพอร์ตจนสำเร็จ “from $10 to $200” แล้วมีสองทางเลือก:
- เปลี่ยนมาเทรดตามกฎ Money management เพราะมีทุนแล้ว
- มองว่าการเทรดแบบนี้ช้าเกินไป อยากเร่งต่อ เพราะตัวเองเคยเร่งพอร์ตสำเร็จมาแล้ว!
“การเร่งพอร์ต” จึงเป็นกับดักที่ทำให้คิดว่าการเทรดแบบค่อยเป็นค่อยไปน่าเบื่อหรือช้า ขณะที่ “เร่งพอร์ต” หวังรวยเร็ว แต่สถิติบ่งชี้ชัดว่าสุดท้ายคนเร่งพอร์ตมากกว่า 99% ล้างพอร์ตในที่สุด
วิธีเดียวที่จะหลุดวงจรนี้ได้คือ ไม่สนใจการเร่งพอร์ต แต่ยึดกฎ Money Management อย่างเคร่งครัด ฝึกฝนกลยุทธ์ และสะสมกำไรอย่างค่อยเป็นค่อยไป
Money management ในการเทรด (trading) ออปชั่นไบนารี
มีข้อแนะนำสำคัญหลายข้อที่จะช่วยให้คุณบริหารเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร เราจะมาดูกันทีละข้อ“อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว” หรือ “เทรดกับหลายโบรกเกอร์”
“อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าเดียว ถ้าหล่นครั้งเดียวก็แตกหมด” ฉันใดก็ฉันนั้น คุณไม่ควรเทรดกับโบรกเกอร์รายเดียวถ้างบประมาณคุณเอื้อ ควรกระจายเงินไว้กับหลายแพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารี นอกจากกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังช่วยได้มากเมื่อระบบแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งมีปัญหาชั่วคราว เช่น ปิดปรับปรุง หรือมีข้อขัดข้องทางเทคนิค คุณก็ยังเทรดกับอีกโบรกเกอร์หนึ่งได้แต่ละพอร์ตต้อง คำนวณจำนวนเงิน ให้เหมาะสมตามกฎไม่เกิน 5% เสมอ ส่วนจะเลือกเทรดกับบริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลเจ้าไหน ลองดูในบทความ “เลือกโบรกเกอร์ออปชั่นไบนารียังไง” ได้
ใช้เครื่องมือที่หลากหลายเมื่อเทรดออปชั่นไบนารี
นักเทรดมืออาชีพสามารถเทรดด้วยวิธีหลากหลาย และใช้งานเครื่องมือวิเคราะห์ราคาต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้จักเพียงหนึ่งเทคนิคแบบ 200% เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอ คนที่ปรับตัวได้คือคนที่อยู่รอดการรู้หลายกลยุทธ์หรือหลายระบบการบริหารเงินเป็นข้อได้เปรียบมาก แม้อาจไม่เชี่ยวชาญ 100% ในทุกกลยุทธ์ แต่ก็พอทำกำไรได้สม่ำเสมอ จึงถือเป็นข้อสำคัญที่จะทำให้คุณอยู่รอดในระยะยาว
มีกลยุทธ์เทรดออปชั่นไบนารีหลายแบบที่ทำกำไรได้
เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงตลอด บางช่วงกลยุทธ์ A ใช้ได้ผลดี บางช่วงอาจต้องใช้กลยุทธ์ B คุณจึงควรมีกลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น- กลยุทธ์เทรดตามเทรนด์ (Trend Following)
- กลยุทธ์เทรดสวนเทรนด์ (Counter-Trend)
- กลยุทธ์เทรดข่าว (News Trading)
- กลยุทธ์เทรดในตลาดไซด์เวย์ (Flat)
ตั้งเป้าหมายก่อนการเทรดออปชั่นไบนารี
หลายคนไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร เทรดไปเรื่อย ๆ จนเกิดสองเหตุการณ์คือ:- เทรดจนหมดแรงแล้วหยุด
- หรือเงินหมดพอร์ต
ปล่อยให้กำไรเติบโตในการเทรดออปชั่นไบนารี
หมายถึง เมื่อเทรดไปแล้วตลาดเป็นใจ ทำกำไรได้ง่าย ก็จงเดินหน้าจนถึงเป้ากำไรที่วางไว้ แต่อย่าลืมว่าการเทรดที่มากเกินไปอาจนำไปสู่ความผิดพลาด จึงต้องมีวินัยบางคนได้กำไร 3–5 ไม้ติดแล้วหยุดทันที ข้อดีก็คือกำไรไม่หาย แต่ข้อเสียคืออาจพลาดโอกาสทำกำไรต่อหากตลาดยังเอื้อมากอยู่ ดังนั้นหาสมดุลที่เหมาะสม อาจตั้งเป้ากำไรตามความเป็นจริง เมื่อถึงแล้วให้หยุด
ควบคุมการขาดทุนให้ได้เสมอในการเทรดออปชั่นไบนารี
กฎ “ยิงสามครั้งแล้วหยุด!” คือวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมการขาดทุนในแง่อารมณ์ ถ้าคุณควบคุมตัวเองไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็อย่าเสี่ยงเกิน 5% ต่อออเดอร์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด Martingale หรือ “การเร่งพอร์ต” ล้วนเป็นสิ่งที่อันตรายเมื่อเงินคุณลดลงมากในเวลาอันสั้น คุณอาจหมดความมั่นใจ และอาจเผลอเปิดออเดอร์ก้อนใหญ่อีกครั้งเพราะอยาก “เอาคืน” สุดท้ายเป็นวงจรอันตราย แม้แต่มืออาชีพยังยากจะคุมอารมณ์ ดังนั้นหากเป็นมือใหม่ยิ่งต้องระวังกฎการจัดการเงินให้เคร่งครัด
Money management คือหัวใจสำคัญของการเทรด
Money management คือหนึ่งในสามเสาหลักของการเทรดที่ได้กำไร (อีกสองอย่างคือ วินัยการเทรด และ จิตวิทยาการเทรด) เปรียบเสมือน “ฐานราก” ของบ้านเมื่อเข้าใจการจัดการเงิน คุณจะหยุดเสียเงินโดยไม่จำเป็น และเริ่มทำกำไรได้อย่างมั่นคง แต่การอ่านอย่างเดียวไม่เพียงพอ คุณต้อง “ฝึกปฏิบัติ” จนเกิดความชำนาญ ยิ่งคุณฝึกเร็วเท่าไรก็จะยิ่งลดการสูญเสียได้มากขึ้น
เมื่อรากฐานแข็งแรงแล้ว คุณจะเลือกต่อยอดด้วยกลยุทธ์เทคนิคใด ๆ ในตลาดก็ได้ มีเรื่องเล่าในหนังสือบางเล่มว่า เคยมีคน “โยนเหรียญทายขึ้นลง” แต่ยังทำกำไรได้สม่ำเสมอเพราะใช้กฎ money management ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณใช้กฎบริหารเงินอย่างถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะเทรดด้วยวิธีไหนก็ยังพอทำกำไร แต่ถ้าคุณไม่มีหรือไม่ใช้กฎนี้ ต่อให้เป็น “สุดยอดกลยุทธ์” ก็ไม่อาจต้านการขาดทุนได้ในระยะยาว
บทวิจารณ์และความคิดเห็น