ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต: วิเคราะห์ รูปแบบ และกลยุทธ์ (2025)
Updated: 06.05.2025
คลื่นเอลเลียต: การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตและทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (2025)
ไม่ใช่ความลับเลยที่ราคาจะเคลื่อนไหวเป็นลักษณะคลื่น ในช่วงเวลานานที่ผ่านมา เทรดเดอร์พยายามหาวิธีวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและคาดการณ์ทิศทางในอนาคต โดยมีการนำแนวคิดการวิเคราะห์คลื่นมาเป็นพื้นฐาน จนเกิดเป็นทฤษฎีมากมาย แต่ทฤษฎีหลักที่ยังคงได้รับการยอมรับก็คือ “การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต”
Ralph Nelson Elliott เป็นนักบัญชีมืออาชีพผู้ซึ่งเข้าถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาย้อนหลังไปหลายทศวรรษ เขาสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของราคามีลักษณะเป็นคลื่น และเริ่มทำการวิเคราะห์กราฟราคาอย่างเจาะลึก เขาได้วิเคราะห์กราฟราคาของเครื่องมือทางการเงินจำนวนมาก ทั้งกราฟรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน รายชั่วโมง จนถึงกราฟนาที
ทฤษฎีของ Elliott ชี้ให้เห็นว่าทุกแนวโน้มจะประกอบด้วยการเคลื่อนไหวของราคาแบบกระตุ้น 3 ครั้ง และการดึงกลับสวนแนวโน้มอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 5 คลื่น หลังจากนั้นแนวโน้มจะสิ้นสุดลง แต่ละคลื่นกระตุ้นสามารถแตกย่อยเป็น 5 คลื่นย่อย และแต่ละคลื่นปรับฐานจะแตกย่อยได้อีก 3 คลื่น ซึ่งคลื่นย่อยเหล่านี้ก็สามารถซูมดูรายละเอียดได้ในกรอบเวลาที่เล็กลงไปอีก: Elliott ได้เผยแพร่ผลการศึกษาของเขาในหนังสือ “The Wave Principle” เมื่อปี ค.ศ.1938 อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการวิเคราะห์คลื่น (Wave Analysis) ยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดในยุคนั้น จนกระทั่ง 50 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Elliott จึงมีการสนใจทฤษฎีคลื่นอย่างจริงจัง โดยเป็นผลมาจากผลงานของ Robert Prechter ซึ่งได้ทำให้ “คลื่นเอลเลียต” เป็นที่รู้จักและปรับปรุงเพิ่มเติม
โดยทั่วไปคลื่นจะแบ่งเป็นหลาย “ระดับ” (Time Frames) ได้แก่:
หลังจากคลื่นที่ 2 (ซึ่งเป็นคลื่นปรับฐาน) ก่อตัวเสร็จ เราสามารถคาดการณ์รูปแบบของคลื่นที่ 4 ได้ ถ้าคลื่นที่ 2 ปรับฐานรุนแรง (สวนแนวโน้มเยอะ) คลื่นที่ 4 จะมีการปรับฐานน้อยลงและราบมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าคลื่นที่ 2 ปรับฐานไม่แรงนัก คลื่นที่ 4 ก็มักจะแรงขึ้นแทน
หากคลื่นที่ 3 เป็นคลื่นที่ยาวที่สุด คลื่นที่ 5 จะมีความยาวประมาณเท่ากับคลื่นที่ 1 โดยทั่วไป ถ้าคลื่นที่ 3 ยาวกว่าคลื่นที่ 1 มากกว่า 2 เท่า เราถือว่าคลื่นที่ 3 เป็นคลื่นที่ยาวที่สุด ซึ่งช่วยให้เราประเมินขนาดคลื่นที่ 5 ได้คร่าว ๆ หลังจากคลื่นที่ 4 สิ้นสุดลง
ส่วนการปรับฐาน ABC ที่ตามหลังคลื่นกระตุ้น (5 คลื่น) มักจะสิ้นสุดแถว ๆ จุดสิ้นสุดของคลื่นที่ 4 หรือละแวกนั้น เพราะในมุมของคลื่นระดับที่ใหญ่กว่า คลื่นกระตุ้นทั้ง 5 คลื่นนี้คือคลื่นลูกเดียวในระดับใหญ่ และ ABC คือคลื่นลูกที่สองในระดับเดียวกัน
มองเผิน ๆ ดูเหมือนมีเพียง 3 กฎหลักในการสร้างคลื่น และรูปแบบ 5 คลื่นกระตุ้น กับ 3 คลื่นปรับฐาน ซึ่งไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ปัญหาคือคลื่นเหล่านี้อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคลื่นระดับที่ใหญ่กว่า เราอาจเห็นว่าการเคลื่อนไหว 8 คลื่น (5 กระตุ้น + 3 ปรับฐาน) เป็นเพียง 2 คลื่นในระดับที่สูงขึ้น และการแตกย่อยคลื่นแต่ละระดับยังซับซ้อนไปอีก เช่น คลื่นกระตุ้นแต่ละลูกสามารถแตกเป็น 5 คลื่นย่อย และคลื่นปรับฐานแตกเป็น 3 คลื่นย่อย
ดังนั้น การตัดสินใจว่าแนวโน้มจบแล้วหรือยัง อาจต้องเจาะลึกการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์บางคนใช้เวลาศึกษา Elliott Wave เป็นปี ๆ
แล้วจะคุ้มค่าสำหรับเราหรือไม่? ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทฤษฎีเอลเลียตนั้นเพียงพอแล้วสำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี (Binary Options) เพราะแค่เข้าใจกลไกของราคา การเกิดแนวโน้ม และการเกิดคลื่นปรับฐาน ก็สามารถวางแผนเทรดได้
แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มองว่าออปชั่นไบนารีเป็นเพียงก้าวแรกเพื่อเข้าสู่ตลาด Forex การเจาะลึกทฤษฎีคลื่นเอลเลียตก็เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการเทรด Forex ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการหาคลื่นที่เป็นแนวโน้มหลัก (หรือที่เรียกว่า “Trend Wave”) และทฤษฎีนี้จะช่วยให้คุณระบุคลื่นราคาได้อย่างแม่นยำขึ้น ทั้งยังประเมินช่วงเวลาการเคลื่อนที่ของราคาในคลื่นต่าง ๆ ได้อีกด้วย พูดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่มีประโยชน์อย่างมาก
Ralph Nelson Elliott เป็นนักบัญชีมืออาชีพผู้ซึ่งเข้าถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาย้อนหลังไปหลายทศวรรษ เขาสังเกตว่าการเคลื่อนไหวของราคามีลักษณะเป็นคลื่น และเริ่มทำการวิเคราะห์กราฟราคาอย่างเจาะลึก เขาได้วิเคราะห์กราฟราคาของเครื่องมือทางการเงินจำนวนมาก ทั้งกราฟรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน รายชั่วโมง จนถึงกราฟนาที
ทฤษฎีของ Elliott ชี้ให้เห็นว่าทุกแนวโน้มจะประกอบด้วยการเคลื่อนไหวของราคาแบบกระตุ้น 3 ครั้ง และการดึงกลับสวนแนวโน้มอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 5 คลื่น หลังจากนั้นแนวโน้มจะสิ้นสุดลง แต่ละคลื่นกระตุ้นสามารถแตกย่อยเป็น 5 คลื่นย่อย และแต่ละคลื่นปรับฐานจะแตกย่อยได้อีก 3 คลื่น ซึ่งคลื่นย่อยเหล่านี้ก็สามารถซูมดูรายละเอียดได้ในกรอบเวลาที่เล็กลงไปอีก: Elliott ได้เผยแพร่ผลการศึกษาของเขาในหนังสือ “The Wave Principle” เมื่อปี ค.ศ.1938 อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการวิเคราะห์คลื่น (Wave Analysis) ยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดในยุคนั้น จนกระทั่ง 50 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Elliott จึงมีการสนใจทฤษฎีคลื่นอย่างจริงจัง โดยเป็นผลมาจากผลงานของ Robert Prechter ซึ่งได้ทำให้ “คลื่นเอลเลียต” เป็นที่รู้จักและปรับปรุงเพิ่มเติม
เนื้อหา
- ทฤษฎีการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต – รูปแบบคลื่นกระตุ้น (Impulse Wave Pattern)
- คลื่นปรับฐาน (Corrective Waves) ของ Elliott
- โครงสร้างฟรักทัลของคลื่นเอลเลียต
- 3 กฎหลักในการสร้างคลื่นเอลเลียต
- การใช้งานคลื่นเอลเลียตในทางปฏิบัติ
- การใช้งานคลื่นปรับฐานของ Elliott ในทางปฏิบัติ
- คลื่นเอลเลียตและการวิเคราะห์คลื่นในกราฟ: บทสรุป
ทฤษฎีการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต – รูปแบบคลื่นกระตุ้น (Impulse Wave Pattern)
หลักการของการวิเคราะห์คลื่นเอลเลียตระบุว่า ในทุกแนวโน้ม สามารถแบ่งโครงสร้างออกเป็น 5 คลื่น ได้แก่ 3 คลื่นกระตุ้น (ไปตามแนวโน้ม) และ 2 คลื่นปรับฐาน (สวนแนวโน้ม) และหลังจากจบ 5 คลื่นแล้ว จะมีคลื่นปรับฐานอีก 3 คลื่นตามมา แนวคิดหลักจึงประกอบด้วย:- 5 คลื่นแรกเป็นคลื่นกระตุ้น (Impulse Wave Pattern)
- 3 คลื่นหลังเป็นคลื่นปรับฐาน (Corrective Waves)
คลื่นที่ 1 ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
คลื่นกระตุ้นแรกจะเคลื่อนไปในทิศทางของแนวโน้ม แต่โดยทั่วไปจะระบุได้ยากในระหว่างที่คลื่นกำลังก่อตัว จนกว่าคลื่นนี้จะสิ้นสุดคลื่นที่ 2 ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
คลื่นที่ 2 เป็นคลื่นปรับฐานของคลื่นแรก โดยจะไม่ยาวเท่าคลื่นแรก หมายความว่า ในกรณีแนวโน้มขาขึ้น การปรับฐาน (คลื่นที่ 2) จะไม่ลงไปถึงจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 นอกจากนี้ คลื่นที่ 2 มักสิ้นสุดบริเวณระดับ Fibonacci ประมาณ 0.382 ถึง 0.5คลื่นที่ 3 ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
คลื่นที่ 3 เคลื่อนไปตามแนวโน้มหลัก (เป็นคลื่นกระตุ้น) และถือเป็นคลื่นที่น่าสนใจมากสำหรับเทรดเดอร์ Forex เพราะมักเป็นการเคลื่อนที่ของราคาอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้น และส่วนใหญ่จะยาวกว่าคลื่นที่ 1คลื่นที่ 4 ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
คลื่นที่ 4 เป็นคลื่นปรับฐาน เช่นเดียวกับคลื่นที่ 2 โดยระหว่างคลื่นที่ 4 ราคามักจะเคลื่อนไหวออกข้าง (sideways) หรือดึงกลับไม่มาก คลื่นที่ 4 จะไม่สามารถย้อนกลับไปทับยอดสูงสุดของคลื่นที่ 1 ได้ (ในกรณีแนวโน้มขาขึ้น)คลื่นที่ 5 ในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต
คลื่นที่ 5 ซึ่งเป็นคลื่นกระตุ้นสุดท้ายของแนวโน้ม จะจบการเคลื่อนไหวของเทรนด์ โดยทั่วไปถือเป็นคลื่นที่ยาวที่สุด แต่หลายครั้งอาจไม่มีแรงเคลื่อนที่มากนักคลื่นกระตุ้นที่ยืดออก (Advanced Impulse Waves)
โดยปกติใน 3 คลื่นกระตุ้น (1, 3, 5) จะมีอยู่คลื่นหนึ่งที่ “ยาวยืด” กว่าคลื่นอื่น ๆ Elliott เชื่อว่าคลื่นที่ 5 มักจะเป็นคลื่นที่ยืดออก แต่ปัจจุบันเชื่อกันว่าคลื่นที่ 3 ก็สามารถยืดออกได้ (ดังตัวอย่างชัดเจนข้างต้น) ซึ่งในทางปฏิบัติไม่ค่อยส่งผลมาก เพราะสิ่งที่สำคัญคือการเข้าใจภาพรวมและใช้งานทฤษฎีให้ถูกต้องคลื่นปรับฐาน (Corrective Waves) ของ Elliott
เมื่อคลื่นที่ 5 สิ้นสุดลง จะถือว่ารูปแบบคลื่นกระตุ้น (Impulse Wave) ครบสมบูรณ์ จากนั้นจึงตามด้วยคลื่นปรับฐานอีก 3 คลื่น ซึ่งจะถูกระบุเป็น a, b, c และอื่น ๆ: ในกรณีแนวโน้มขาลง คลื่นปรับฐานของ Elliott จะมีลักษณะเช่นนี้: คลื่นปรับฐานอาจมีได้หลายรูปแบบ รวมแล้ว Elliott จำแนกไว้ถึง 21 รูปแบบที่เกิดจากคลื่น a, b, c แต่ทั้งหมดสรุปเหลือ 3 รูปแบบหลัก ๆ ซึ่งจะอธิบายต่อไปประเภทของคลื่นปรับฐานใน Elliott
คลื่น ABC ในการปรับฐาน (Corrective Waves) สามารถเกิดเป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่- Zig Zag
- Sidewall (Flat)
- Triangle
Zig Zag
Zig Zag เป็นการเคลื่อนที่ของราคาสวนแนวโน้มหลักอย่างชัดเจน คลื่น A และ C มักยาวกว่าคลื่น B ซึ่งเป็นเพียงการปรับฐานจากคลื่น ASide
ตามชื่อคือการปรับฐานออกข้าง (Sideways) ซึ่งราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวราบ คลื่นอาจมีความยาวเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ แต่โดยรวมแล้วราคาไม่ทะลุกรอบระดับแนวนอนที่เกิดขึ้นTriangle
Triangle คือหนึ่งในรูปแบบของการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยตัวมันประกอบไปด้วย 5 คลื่นที่เคลื่อนภายในกรอบสามเหลี่ยมที่มีความชันลดลง (บีบตัวเข้าหากัน):โครงสร้างฟรักทัลของคลื่นเอลเลียต
คลื่นเอลเลียตทั้งหมดมีลักษณะเป็นฟรักทัล กล่าวคือในแต่ละคลื่นสามารถแตกย่อยเป็นคลื่นเล็ก ๆ ได้ หากเราย่อลงไปดูในกรอบเวลาที่เล็กลง (การวิเคราะห์หลายกรอบเวลา) คลื่นกระตุ้นแต่ละคลื่นอาจมี 5 คลื่นย่อย และคลื่นปรับฐานแต่ละคลื่นอาจมี 3 คลื่นย่อย: แต่ละคลื่นย่อยเหล่านี้ก็สามารถแบ่งต่อไปได้อีก: คลื่นกระตุ้นในระดับย่อยก็จะมี 5 คลื่น และคลื่นปรับฐานในระดับย่อยก็จะมี ABC ซ้อนอยู่เช่นเดียวกัน คลื่นใหญ่จะประกอบด้วยคลื่นย่อยหลายระดับซ้อนลงไปโดยทั่วไปคลื่นจะแบ่งเป็นหลาย “ระดับ” (Time Frames) ได้แก่:
- Main cycle (เป็นรอบศตวรรษ)
- Super cycle (40-70 ปี)
- Cycle (หลายปี)
- Primary level (หลายเดือนถึงหลายปี)
- Intermediate level (หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน)
- Secondary level (หลายสัปดาห์)
- Minute level (หลายวัน)
- Small level (กรอบชั่วโมง)
- Extra-low level (กรอบนาที)
การทำเครื่องหมายคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave Marking)
เพื่อไม่ให้สับสนระหว่างคลื่นในหลายกรอบเวลา จึงมีการกำหนดรูปแบบตัวอักษรสำหรับคลื่นในแต่ละระดับไว้ดังนี้:- Main cycle [I] [II] [III] [IV] [V], คลื่นปรับฐาน [A] [B] [C]
- Supercycle (I) (II) (III) (IV) (V), คลื่นปรับฐาน (A) (B) (C)
- Cycle I II III IV V, คลื่นปรับฐาน A B C
- Primary level I II III IV V, คลื่นปรับฐาน A B C
- Intermediate level [1] [2] [3] [4] [5], คลื่นปรับฐาน [a] [b] [c]
- Secondary level (1) (2) (3) (4) (5), คลื่นปรับฐาน (a) (b) (c)
- Minute level 1 2 3 4 5, คลื่นปรับฐาน a b c
- Small level 1 2 3 4 5, คลื่นปรับฐาน abc
3 กฎหลักในการสร้างคลื่นเอลเลียต
คลื่นเอลเลียตถูกกำหนดด้วยกฎสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่:- คลื่นปรับฐานที่ 2 ต้องไม่ปรับฐานเกิน 100% ของคลื่นที่ 1
- คลื่นที่ 3 ต้องไม่เป็นคลื่นที่สั้นที่สุดในสามคลื่นกระตุ้น
- คลื่นปรับฐานที่ 4 ต้องไม่ซ้อนทับกับระยะของคลื่นที่ 1
เคล็ดลับเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับคลื่นเอลเลียต
ในทางปฏิบัติ รูปแบบคลื่นเอลเลียตอาจปรากฏได้หลากหลายมาก นักวิเคราะห์บางคนศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี แต่ก็มีข้อสังเกตบางอย่างที่จะช่วยให้คาดการณ์ราคาได้ดีขึ้น:- คลื่นปรับฐานที่ 2 และ 4 มักเป็นภาพสะท้อนกัน หากคลื่นที่ 2 มีมุมปรับฐานชันมาก คลื่นที่ 4 มักจะปรับฐานราบและชันน้อยลง หรือกลับกัน
- ถ้าคลื่นที่ 3 เป็นคลื่นที่ยาวที่สุด คลื่นที่ 5 มักจะมีความยาวใกล้เคียงกับคลื่นที่ 1
- หลังสิ้นสุดคลื่นกระตุ้น 5 คลื่น (Impulse Wave) คลื่น ABC มักจะสิ้นสุดใกล้ ๆ ระดับสิ้นสุดของคลื่นที่ 4
หลังจากคลื่นที่ 2 (ซึ่งเป็นคลื่นปรับฐาน) ก่อตัวเสร็จ เราสามารถคาดการณ์รูปแบบของคลื่นที่ 4 ได้ ถ้าคลื่นที่ 2 ปรับฐานรุนแรง (สวนแนวโน้มเยอะ) คลื่นที่ 4 จะมีการปรับฐานน้อยลงและราบมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าคลื่นที่ 2 ปรับฐานไม่แรงนัก คลื่นที่ 4 ก็มักจะแรงขึ้นแทน
หากคลื่นที่ 3 เป็นคลื่นที่ยาวที่สุด คลื่นที่ 5 จะมีความยาวประมาณเท่ากับคลื่นที่ 1 โดยทั่วไป ถ้าคลื่นที่ 3 ยาวกว่าคลื่นที่ 1 มากกว่า 2 เท่า เราถือว่าคลื่นที่ 3 เป็นคลื่นที่ยาวที่สุด ซึ่งช่วยให้เราประเมินขนาดคลื่นที่ 5 ได้คร่าว ๆ หลังจากคลื่นที่ 4 สิ้นสุดลง
ส่วนการปรับฐาน ABC ที่ตามหลังคลื่นกระตุ้น (5 คลื่น) มักจะสิ้นสุดแถว ๆ จุดสิ้นสุดของคลื่นที่ 4 หรือละแวกนั้น เพราะในมุมของคลื่นระดับที่ใหญ่กว่า คลื่นกระตุ้นทั้ง 5 คลื่นนี้คือคลื่นลูกเดียวในระดับใหญ่ และ ABC คือคลื่นลูกที่สองในระดับเดียวกัน
การใช้งานคลื่นเอลเลียตในทางปฏิบัติ
ทฤษฎีเป็นสิ่งสำคัญ แต่จะใช้อย่างไรในทางปฏิบัติ? อย่างที่กล่าวไว้ คลื่นที่ 1 มักระบุได้ยาก เรามักรอให้คลื่นนี้จบและดูการปรับฐานเพื่อยืนยันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มจริงหรือไม่: เมื่อคลื่นที่ 1 ก่อตัวเสร็จ และมีการปรับฐานเกิดขึ้น เราจะหาจุดเข้าเพื่อเทรดขาขึ้น (ทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลัก) โดยจะมองหาจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 วิธีที่นิยมคือการใช้เครื่องมือ Fibonacci ร่วมกับ ระดับแนวรับและแนวต้าน หรือ รูปแบบแท่งเทียนจาก Price Action: เราวาง Fibonacci วัดจากคลื่นที่ 1 และจดจำว่าคลื่นที่ 2 จะไม่ยาวกว่า 100% ของคลื่นที่ 1 อีกทั้งคลื่นที่ 2 มักจะจบแถว ๆ ระดับ 0.382–0.5 โดยราคามาพักใกล้ ๆ Fibonacci 0.382 พอดี ซึ่งเป็นจุดที่เกิดแท่งเทียนรูปแบบ “Bullish Closing Price Reversal” (แท่งเทียนเขียวที่ Low ต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า แต่ปิดสูงกว่าราคาเปิดของแท่งเองอย่างชัดเจน) เป็นสัญญาณเข้าซื้อขาขึ้น: คลื่นที่ 3 ตามหลักต้องไม่สั้นที่สุด และขณะนี้มันยาวกว่าคลื่นที่ 1 แล้ว จึงถือว่าโอเค เราสังเกตคลื่นที่ 2 ซึ่งใช้เวลา 4 แท่งเทียน แสดงว่าการปรับฐานมีความชันค่อนข้างมาก จึงคาดว่าคลื่นที่ 4 จะปรับฐาน “นุ่ม” กว่านี้: แล้วคลื่นที่ 4 ก็ปรับฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่คาดไว้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะจบ? เราอาจใช้รูปแบบแท่งเทียน Price Action แบบ “1-2-3” ในการหาจุดเข้าเทรดตามแนวโน้ม โดยเฉพาะการเทรดต่อคลื่นที่ 5: สรุปวิธีการ: จุดที่ 1 ของแพทเทิร์นคือจุดเริ่มแนวโน้ม (สิ้นสุดคลื่นที่ 2) จุดที่ 2 คือยอดของแนวโน้ม (สิ้นสุดคลื่นที่ 3) จุดที่ 3 คือจุดต่ำสุดของคลื่นที่ 4 เราจะขีดเส้นแนวนอนผ่านจุดที่ 2 และเมื่อราคาทะลุเส้นนี้ขึ้นไป จึงเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) เพื่อคาดหวังคลื่นที่ 5: แล้วราคาก็เข้าสู่คลื่นที่ 5 ของ Elliott ตามคาด: นี่คือตัวอย่างการวิเคราะห์และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาด้วยคลื่นเอลเลียต ไม่ได้ซับซ้อนหากเราทำตามกฎและรู้จักใช้รูปแบบของ Price Action ประกอบการใช้งานคลื่นปรับฐานของ Elliott ในทางปฏิบัติ
กรณีต่อมา ถามว่าถ้าราคาเคลื่อนที่เป็นคลื่นปรับฐาน (ABC) ควรทำอย่างไร? สมมติเราพบสถานการณ์ดังนี้: จากคำแนะนำเชิงปฏิบัติ เราทราบว่าควรจับตาการ Pullback ให้เข้าใกล้จุดสิ้นสุดของคลื่นที่ 4 แต่จากรูปนี้ราคายังอีกไกลกว่าจะถึงระดับนั้น เราจึงดูคลื่นปรับฐาน ABC ซึ่งเคลื่อนไหวในกรอบแคบแบบไซด์เวย์ (Sideways) คำถามคือราคาจะทะลุไปทางไหนต่อ: แนวโน้มเดิมเป็นขาขึ้น จึงเป็นเหตุเป็นผลที่เราจะมองหาจังหวะซื้อ (Buy) จากขอบล่างของกรอบไซด์เวย์ เพราะมีโอกาสสูงที่ราคาจะทะลุขึ้นต่อ: แท่งเทียนถัดมาปิดเป็น Bullish Closing Price Reversal ยืนยันสัญญาณขึ้นต่อ ถ้าหากใครยังลังเลที่จะเข้าซื้อจากขอบล่าง พอเห็นแท่งเทียนกลับตัวเขียวนี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะไปต่อขาขึ้น ลองดูว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น: ปรากฏว่าราคาไปต่อและแนวโน้มขาขึ้นยังคงดำเนินต่อ! เหตุผลเพราะคลื่นกระตุ้น 5 คลื่นก่อนหน้านี้เป็นเพียง “คลื่นลูกเดียว” ในระดับคลื่นที่ใหญ่กว่า ส่วนคลื่น ABC เป็น “คลื่นลูกที่สอง” ในระดับนั้น ๆ เมื่อสิ้นสุดการปรับฐานแล้ว แนวโน้มใหญ่ก็เข้าสู่ “คลื่นลูกที่สาม” ต่อไป กล่าวคือแนวโน้มยังไม่จบคลื่นเอลเลียตและการวิเคราะห์คลื่นในกราฟ: บทสรุป
คลื่นเอลเลียตเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ไม่ง่ายเลย แม้แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ก็ยังมองว่าท้าทายมองเผิน ๆ ดูเหมือนมีเพียง 3 กฎหลักในการสร้างคลื่น และรูปแบบ 5 คลื่นกระตุ้น กับ 3 คลื่นปรับฐาน ซึ่งไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ปัญหาคือคลื่นเหล่านี้อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคลื่นระดับที่ใหญ่กว่า เราอาจเห็นว่าการเคลื่อนไหว 8 คลื่น (5 กระตุ้น + 3 ปรับฐาน) เป็นเพียง 2 คลื่นในระดับที่สูงขึ้น และการแตกย่อยคลื่นแต่ละระดับยังซับซ้อนไปอีก เช่น คลื่นกระตุ้นแต่ละลูกสามารถแตกเป็น 5 คลื่นย่อย และคลื่นปรับฐานแตกเป็น 3 คลื่นย่อย
ดังนั้น การตัดสินใจว่าแนวโน้มจบแล้วหรือยัง อาจต้องเจาะลึกการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์บางคนใช้เวลาศึกษา Elliott Wave เป็นปี ๆ
แล้วจะคุ้มค่าสำหรับเราหรือไม่? ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับทฤษฎีเอลเลียตนั้นเพียงพอแล้วสำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี (Binary Options) เพราะแค่เข้าใจกลไกของราคา การเกิดแนวโน้ม และการเกิดคลื่นปรับฐาน ก็สามารถวางแผนเทรดได้
แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มองว่าออปชั่นไบนารีเป็นเพียงก้าวแรกเพื่อเข้าสู่ตลาด Forex การเจาะลึกทฤษฎีคลื่นเอลเลียตก็เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะการเทรด Forex ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการหาคลื่นที่เป็นแนวโน้มหลัก (หรือที่เรียกว่า “Trend Wave”) และทฤษฎีนี้จะช่วยให้คุณระบุคลื่นราคาได้อย่างแม่นยำขึ้น ทั้งยังประเมินช่วงเวลาการเคลื่อนที่ของราคาในคลื่นต่าง ๆ ได้อีกด้วย พูดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่มีประโยชน์อย่างมาก
บทวิจารณ์และความคิดเห็น