รูปแบบฮาร์โมนิค 2025: Gartley, Crab, Bat และอีกมากมาย
Updated: 06.05.2025
รูปแบบฮาร์โมนิค: Gartley, Gartley Butterfly, Crab, Bat, Shark, Three Movements, ABCD และ Cipher (2025)
รูปแบบฮาร์โมนิค? ฮาร์ทลีย์? หรือว่ารูปแบบ Price Action ทั่วไปมันไม่พอสำหรับการเทรดให้ได้กำไรแล้วใช่ไหม? ทำไมต้องเข้าไปในป่าลึก เพื่อตามหา Butterfly, Crab, Bat และ Shark! ช่วงเวลาเทรดแบบสบายๆ อาจหมดลงแล้ว (หากบทเรียนก่อนๆ จะถือว่าเป็นช่วงที่ไม่ซับซ้อนนัก) เตรียมตัวกันให้ดี เพราะสิ่งที่เรากำลังจะศึกษาอาจทำให้คุณต้องใช้สมองอย่างจริงจัง!
ใครที่ยังเป็นมือใหม่ หรือยังไม่พร้อมรับรายละเอียดเชิงลึก อาจต้องถอยไปตั้งหลักก่อน แต่ถ้าคุณพร้อมแล้ว มาเริ่มทำความเข้าใจหัวข้อนี้ไปด้วยกัน เราจะเริ่มเข้าสู่บทที่อาจทำให้สมองของคุณทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแลร์รี่ เพซาเวนโตเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์รูปแบบฮาร์โมนิค ยังมีเทรดเดอร์หลายท่านที่ศึกษาและขยายความ หนึ่งในนั้นก็คือ สก็อต คาร์นีย์ (Scott Carney) ผู้เขียนหนังสือ “Harmonic Trading” ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มรูปแบบ Crab, Bat และ Shark อีกด้วย
โดยภาพรวมแล้ว รูปแบบฮาร์โมนิคคือการต่อยอดความคิดเรื่องรูปร่างเรขาคณิตที่ใช้ระดับ Fibonacci มาช่วยระบุจุดกลับตัวของราคาได้แม่นยำขึ้น เป้าหมายหลักของรูปแบบยังคงเหมือนกัน คือการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต แต่การเทรดได้รับการปรับปรุงเพราะรูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่แค่รูปทรงเรขาคณิตทั่วไป หากแต่เป็นรูปแบบที่ผ่านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ตามสัดส่วน “อัตราส่วนทองคำ” (Golden Ratio ที่ประมาณ 1.618) เพื่อใช้บ่งบอกถึงความสมมาตรของตลาด
รูปแบบฮาร์โมนิคต่างจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบทั่วไป ตรงที่เทรดเดอร์ต้องรอให้โครงสร้างรูปแบบสมบูรณ์พร้อมยืนยันด้วยระดับ Fibonacci หากรูปแบบใดไม่เข้าข่ายตามสัดส่วนที่ระบุ จะถูกมองข้ามทันที แต่ข้อดีของการรอรูปแบบที่ “เป๊ะ” คือ คุณภาพของสัญญาณที่ดีมากขึ้น
แน่นอนว่าการหาจุดเข้าที่เพอร์เฟกต์ไม่ได้ให้ผล 100% ในทุกๆ การเทรด แต่ในระยะยาว เมื่อคำนวนความเสี่ยงและการบริหารเงินทุนอย่างถูกต้อง การจัดการความเสี่ยง ที่ดี จะช่วยให้พอร์ตเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยรูปแบบฮาร์โมนิคใช้ได้ดีมากในตลาดฟอเร็กซ์ แต่ในตลาดออปชั่นไบนารีก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน (แม้ว่ากำไรโดยรวมอาจน้อยกว่าตลาดฟอเร็กซ์หากวัดเป็นระยะยาว)
ข้อดีอีกประการของรูปแบบฮาร์โมนิค คือสามารถใช้งานได้บนทุกกรอบเวลา (Time Frame) ยกตัวอย่างเช่น บนกรอบ M1 หรือ M5 อาจใช้เวลาตั้งแต่หลักสิบนาทีถึงหลายชั่วโมงกว่าจะเกิดรูปแบบครบ ส่วนบนกรอบรายวัน (D1) อาจใช้เวลาหลายเดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับแนวทางของเทรดเดอร์ว่าต้องการเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว อย่างไรก็ดี การเทรดบนกรอบเวลาที่สูงกว่ามักได้ความแม่นยำที่ดีกว่า แต่ก็มีสัญญาณเทรดน้อยกว่าเช่นกัน
รูปแบบฮาร์โมนิคส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายตัว M หรือ W โดยมีการสร้าง 5 จุด ดังนี้:
ตัวอย่างเช่น รูปแบบเทรด “Head and Shoulders กลับด้าน” ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Reversal Pattern) ก็สามารถเป็นรูปแบบฮาร์โมนิคได้เช่นกัน หากหัว (Head) อยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.618 นับจากไหล่ซ้าย (Left Shoulder) และไหล่ขวา (Right Shoulder) อยู่ที่ระดับ 0.618 นับจากระดับหัว การมองผ่านมุมฮาร์โมนิคจะช่วยกำหนดจุดเข้าเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น:
ก่อนเริ่มสแกนหารูปแบบฮาร์โมนิค เราต้องตั้งค่า Fibonacci ให้เหมาะสม โดยเพิ่มระดับต่อไปนี้:
รูปแบบ ABCD ถือเป็นรูปแบบกลับตัว (Reversal) ซึ่งเมื่อมันสมบูรณ์ ณ จุด D มักส่งสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มจะกลับทิศจากเดิม (ถ้าเป็น Bullish ABCD ก็อาจกลับจากขาขึ้นเป็นขาลง และถ้าเป็น Bearish ABCD ก็กลับจากขาลงเป็นขาขึ้น) จุด D จึงเป็นจุดที่น่าสนใจในการเปิดออเดอร์ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้า
จุดเด่นของ ABCD คือความสมมาตรตรงที่ AB ≈ CD ทั้งในแง่ระยะทางราคาและช่วงเวลา ทำให้มองเหมือนรูป “N” กลับหัว (หรือ “N” ปกติ ก็แล้วแต่การขึ้นหรือลงของราคา): เราจะแบ่ง ABCD ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ Bullish (คาดว่าจะกลับตัวลง) และ Bearish (คาดว่าจะกลับตัวขึ้น) โดย Bullish ABCD จะมีลักษณะทำจุดสูงสุดใหม่ 2 ครั้ง และ Bearish ABCD จะมีลักษณะทำจุดต่ำสุดใหม่ 2 ครั้ง
ขั้นตอนการเกิดรูปแบบ:
มาดูตัวอย่างการเทรดจริง: เราต้องหาคลื่น ABC ก่อน โดยดูการเคลื่อนไหวหลัก (AB) และการย่อ (BC) ที่ตรงเงื่อนไขตั้งแต่ 0.382 ถึง 0.886: จากภาพ BC ปรับฐานจบที่ระดับ Fibonacci 0.618 แล้วราคาก็เคลื่อนไหวลงต่อ เราต้องระบุจุด D ซึ่งควรอยู่ในช่วง 1.13 ถึง 2.618 จาก BC และถ้า BC จบที่ 0.618 เราจะคาดหวังให้ D ปรากฏที่ 1.618 เพื่อรักษาความสมมาตร (AB=CD): เมื่อ D มาหยุดที่ 1.618 ตามที่คาดไว้ รูปแบบ ABCD จึงสมบูรณ์ และเราพร้อมที่จะเปิดออเดอร์ Buy (ในตัวอย่างนี้เป็นสัญญาณกลับตัวขึ้น)
อย่างไรก็ตาม ถ้า BC ไปจบที่ระดับอื่น จะมีแนวทางจับคู่ดังนี้:
นี่คือเสน่ห์ของรูปแบบฮาร์โมนิค เรารอให้รูปแบบเรียบร้อยสมบูรณ์ตามสัดส่วน Fibonacci หากไม่ตรงตามเงื่อนไข ก็จะไม่เข้าเทรด ซึ่งทำให้ได้สัญญาณที่น่าเชื่อถือขึ้น
ลักษณะการมองเห็นคร่าวๆ ของรูปแบบ Gartley มักจะคล้ายตัว “M” ในกรณีเป็นขาขึ้น หรือคล้าย “W” ในกรณีเป็นขาลง หากเห็นโครงสร้างบนกราฟทำนองนี้ ให้จับตาดูความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรูปแบบ Gartley: เมื่อพบโครงสร้างคล้ายๆ M หรือ W ให้เช็คเพิ่มเติมเพราะรูปแบบ Gartley ต้องสอดคล้องกับ ABCD (AB=CD) และยังมีขา XA อีกหนึ่งขาที่เป็นคลื่นยาวสุด ทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก
เริ่มด้วยการลาก Fibonacci จาก X ไป A เพื่อดูว่าจุด B อยู่ที่ 0.618 หรือไม่ ถ้าใช่ ก็มีแนวโน้มว่าอาจเป็น Gartley หรือ Crab (ส่วนรูปแบบอื่นจะมีสัดส่วน B ไม่เท่ากับ 0.618) โดยจุด B ห้ามต่ำกว่าหรือสูงกว่าจุด X เป็นอันขาด: จากนั้นคำนวณต่อสำหรับจุด C และ D:
เริ่มจากขา XA เป็นคลื่นแรง (ใน Bullish คือราคาพุ่งขึ้น, ใน Bearish คือราคาดิ่งลง) จากนั้นราคาจะย้อนกลับมาตรงจุด B ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.786 ของ XA: ต่อมาคำนวณตำแหน่ง C และ D:
ต่อไปหาจุด C และ D:
โดยรูปแบบ Bullish จะมีลักษณะทำ Lower Low (ลงต่อเนื่อง) ส่วน Bearish จะทำ Higher High (ขึ้นต่อเนื่อง) เรียงไปจนกว่าจะครบ 3 ยอดหรือ 3 หลุม: หัวใจของรูปแบบนี้คือมองหา 3 ยอดหรือ 3 หลุมที่ช่วงที่ 2 กับ 3 ต้องอยู่ในระยะ Fibonacci 1.272 – 1.618 ของการปรับฐานก่อนหน้า และถ้าสองยอดหรือสองหลุมหลังอยู่ในระดับเดียวกันได้ จะยิ่งเป็นสัญญาณที่ดี: เนื่องจาก “Three Movements” เป็นรูปแบบกลับตัว เราจึงเปิดออเดอร์สวนเทรนด์เดิม สำหรับเป้าหมาย จะลาก Fibonacci จากจุดสูงสุดแรก (หรือจุดต่ำสุดแรก) มายังจุด 3:
ความสำคัญคือ จุด D ควรอยู่ในช่วง 0.886 – 1.13 ของ XA ขณะที่จุด C ต้องอยู่ในช่วง 1.13 – 1.618 ของ AB (คือยื่นเลยจุด A ขึ้นไป): เราจะตรวจสอบจุด C ได้ด้วยการวัด Fibonacci จาก A ไป B หาก C อยู่ประมาณ 1.13 – 1.618 ก็ถือว่าใช้ได้: หลังรูปแบบ Shark สมบูรณ์ที่จุด D เราจะเปิดออเดอร์ตามแนวโน้มหลัก (ขา XA) ส่วนเป้าหมายจะลาก Fibonacci จาก C ไป D:
เริ่มต้นเช็ค B ว่าต้องอยู่ระหว่าง 0.382 – 0.618 ของ XA จากนั้นดู C ควรอยู่ที่ 1.272 – 1.414 ของ AB: สุดท้าย จุด D จะสิ้นสุดแถว 0.786 ของ XA พอครบเงื่อนไข เราจึงเปิด Sell ต่อเนื่องตามแนวโน้ม โดยมีเป้าหมายเป็นระดับ A และ C:
ดาวน์โหลดอินดิเคเตอร์ได้ที่นี่: Download harmonic patterns indicator
อีกทั้งรูปแบบฮาร์โมนิคมักใช้เวลาพอสมควรในการรอให้สมบูรณ์ เทรดเดอร์ต้องอดทนมาก และต้องมีความเข้าใจทั้งเรื่อง Fibonacci การดูกราฟ และการวิเคราะห์ Price Action หากขาดประสบการณ์ก็อาจสับสนหรือมองข้ามรูปแบบบางช่วงได้
ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบฮาร์โมนิคแทบทั้งหมดพึ่งพาการรอจุด D ซึ่งเป็นจุดกลับทิศ (หรือจุดต่อเนื่อง) ดังนั้นเราต้องระบุจุดกลับตัวได้ค่อนข้างแม่น หากเข้าช้าหรือไม่แน่ใจ จุดเข้าอาจไม่สวย อาจพลาดช่วงราคาดีๆ ไป
เรื่องข้อมูลและกฎการสร้างรูปแบบที่ดูซับซ้อน (มีหลายสัดส่วนที่ต้องจำ) ก็อาจทำให้มือใหม่รู้สึกว่า “จะเยอะไปไหน” ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้เขียนเองก็เคยมีอาการ “งงเป็นไก่ตาแตก” ตอนเริ่มต้นศึกษารูปแบบฮาร์โมนิคครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาจนเข้าใจ การใช้รูปแบบฮาร์โมนิคจะเปิดมุมมองใหม่ว่าตลาดมีความสมมาตรในหลายๆ จุด ช่วยให้เราวางกลยุทธ์ได้แม่นขึ้น และหาจุดเข้าที่มีความเสี่ยงต่ำได้ เมื่อจับคู่กับ แนวรับ-แนวต้าน หรือ แท่งเทียนรูปแบบต่างๆ หรือ Price Action Candlestick Patterns ก็ช่วยยืนยันการกลับตัวได้ไวขึ้น
กฎการสร้างรูปแบบฮาร์โมนิคอาจดูเยอะ แต่หากรูปแบบใดไม่เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด ก็ควรปล่อยผ่านทันที ซึ่งวิธีนี้ช่วยคัดกรองสัญญาณหลอกได้ดีมาก
ข้อดีของรูปแบบฮาร์โมนิค:
ใครที่ยังเป็นมือใหม่ หรือยังไม่พร้อมรับรายละเอียดเชิงลึก อาจต้องถอยไปตั้งหลักก่อน แต่ถ้าคุณพร้อมแล้ว มาเริ่มทำความเข้าใจหัวข้อนี้ไปด้วยกัน เราจะเริ่มเข้าสู่บทที่อาจทำให้สมองของคุณทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอน
เนื้อหา
- รูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
- การระบุรูปแบบฮาร์โมนิค
- รูปแบบฮาร์โมนิค ABCD
- รูปแบบ Gartley – วิธีระบุและใช้งานรูปแบบฮาร์โมนิคอย่างถูกต้อง
- รูปแบบ Gartley Butterfly – วิธีระบุและใช้งานรูปแบบฮาร์โมนิคอย่างถูกต้อง
- รูปแบบ Crab – รูปแบบฮาร์โมนิคกลับตัว (Reversal)
- รูปแบบ “Bat” – รูปแบบฮาร์โมนิคที่ชี้ถึงการต่อเนื่องของเทรนด์
- รูปแบบ “Three Movements” – รูปแบบฮาร์โมนิคกลับตัว
- รูปแบบ Shark – รูปแบบฮาร์โมนิคที่ชี้ถึงการต่อเนื่องของเทรนด์
- รูปแบบ Cipher หรือรูปแบบฮาร์โมนิค “Reverse Butterfly”
- อินดิเคเตอร์สำหรับรูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
- ข้อเสียของรูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
- รูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด: บทสรุป
รูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
ฮาโรลด์ ฮาร์ทลีย์ (Harold Hartley) ได้วางรากฐานให้กับการวิเคราะห์รูปแบบฮาร์โมนิคในหนังสือ “Profiting in the Stock Market” ซึ่งในหนังสือเล่มนี้มีการอธิบายถึงรูปแบบ 5 จุดที่รู้จักกันในนาม “Gartley Pattern” ต่อมา แลร์รี่ เพซาเวนโต (Larry Pesavento) ได้นำรูปแบบนี้มาปรับใช้ด้วยการเพิ่ม ระดับ Fibonacci และอธิบายกฎพื้นฐานของการสร้างรูปแบบในหนังสือ “Fibonacci Ratios and Pattern Recognition”อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแลร์รี่ เพซาเวนโตเท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์รูปแบบฮาร์โมนิค ยังมีเทรดเดอร์หลายท่านที่ศึกษาและขยายความ หนึ่งในนั้นก็คือ สก็อต คาร์นีย์ (Scott Carney) ผู้เขียนหนังสือ “Harmonic Trading” ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มรูปแบบ Crab, Bat และ Shark อีกด้วย
โดยภาพรวมแล้ว รูปแบบฮาร์โมนิคคือการต่อยอดความคิดเรื่องรูปร่างเรขาคณิตที่ใช้ระดับ Fibonacci มาช่วยระบุจุดกลับตัวของราคาได้แม่นยำขึ้น เป้าหมายหลักของรูปแบบยังคงเหมือนกัน คือการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต แต่การเทรดได้รับการปรับปรุงเพราะรูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่แค่รูปทรงเรขาคณิตทั่วไป หากแต่เป็นรูปแบบที่ผ่านการคำนวณทางคณิตศาสตร์ตามสัดส่วน “อัตราส่วนทองคำ” (Golden Ratio ที่ประมาณ 1.618) เพื่อใช้บ่งบอกถึงความสมมาตรของตลาด
รูปแบบฮาร์โมนิคต่างจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบทั่วไป ตรงที่เทรดเดอร์ต้องรอให้โครงสร้างรูปแบบสมบูรณ์พร้อมยืนยันด้วยระดับ Fibonacci หากรูปแบบใดไม่เข้าข่ายตามสัดส่วนที่ระบุ จะถูกมองข้ามทันที แต่ข้อดีของการรอรูปแบบที่ “เป๊ะ” คือ คุณภาพของสัญญาณที่ดีมากขึ้น
แน่นอนว่าการหาจุดเข้าที่เพอร์เฟกต์ไม่ได้ให้ผล 100% ในทุกๆ การเทรด แต่ในระยะยาว เมื่อคำนวนความเสี่ยงและการบริหารเงินทุนอย่างถูกต้อง การจัดการความเสี่ยง ที่ดี จะช่วยให้พอร์ตเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยรูปแบบฮาร์โมนิคใช้ได้ดีมากในตลาดฟอเร็กซ์ แต่ในตลาดออปชั่นไบนารีก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน (แม้ว่ากำไรโดยรวมอาจน้อยกว่าตลาดฟอเร็กซ์หากวัดเป็นระยะยาว)
ข้อดีอีกประการของรูปแบบฮาร์โมนิค คือสามารถใช้งานได้บนทุกกรอบเวลา (Time Frame) ยกตัวอย่างเช่น บนกรอบ M1 หรือ M5 อาจใช้เวลาตั้งแต่หลักสิบนาทีถึงหลายชั่วโมงกว่าจะเกิดรูปแบบครบ ส่วนบนกรอบรายวัน (D1) อาจใช้เวลาหลายเดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับแนวทางของเทรดเดอร์ว่าต้องการเทรดระยะสั้นหรือระยะยาว อย่างไรก็ดี การเทรดบนกรอบเวลาที่สูงกว่ามักได้ความแม่นยำที่ดีกว่า แต่ก็มีสัญญาณเทรดน้อยกว่าเช่นกัน
การระบุรูปแบบฮาร์โมนิค
รูปแบบฮาร์โมนิคเป็นสิ่งที่ค่อนข้างซับซ้อน และไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็นได้ง่ายๆ ด้วยตาเปล่า รูปแบบฮาร์โมนิคพื้นฐาน (Butterfly, Crab, Bat, Shark, Cipher) มักประกอบด้วย 5 จุดสำคัญ มีโครงสร้างย่อยเป็น ABC หรือ ABCD อยู่ภายใน ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาระหว่างจุดเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับอัตราส่วนฮาร์โมนิคหลักๆ อย่างชัดเจนรูปแบบฮาร์โมนิคส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายตัว M หรือ W โดยมีการสร้าง 5 จุด ดังนี้:
- X – จุดเริ่มต้นของรูปแบบ
- XA – คลื่นลูกแรกที่เป็นขาเคลื่อนที่ (Impulse Wave)
- AB – คลื่นปรับฐาน (Correction) หลังคลื่นลูกแรก
- BC – คลื่นลูกที่สองไปในทิศทางเดียวกับ XA
- CD – คลื่นปรับฐานสุดท้ายก่อนรูปแบบสมบูรณ์
ตัวอย่างเช่น รูปแบบเทรด “Head and Shoulders กลับด้าน” ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Reversal Pattern) ก็สามารถเป็นรูปแบบฮาร์โมนิคได้เช่นกัน หากหัว (Head) อยู่ที่ระดับ Fibonacci 1.618 นับจากไหล่ซ้าย (Left Shoulder) และไหล่ขวา (Right Shoulder) อยู่ที่ระดับ 0.618 นับจากระดับหัว การมองผ่านมุมฮาร์โมนิคจะช่วยกำหนดจุดเข้าเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น:
ฮาร์โมนิคแพทเทิร์นและระดับ Fibonacci
ระดับ Fibonacci เป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุรูปแบบฮาร์โมนิคบนกราฟราคา ส่วนตัวผู้เขียนเองนิยมใช้โปรแกรม MetaTrader 4 (MT4) เพราะมีเครื่องมือ Fibonacci ครบและใช้งานได้สะดวกก่อนเริ่มสแกนหารูปแบบฮาร์โมนิค เราต้องตั้งค่า Fibonacci ให้เหมาะสม โดยเพิ่มระดับต่อไปนี้:
- 0.786
- 0.886
- 1.13
- 1.272
- 1.414
- 2.0
- 2.4
- 3.618
- 0.382 = 1 – 0.618
- 0.786 = ค่ารากที่สองของ 0.618
- 0.886 = ค่ารากที่สองของ 0.786 (หรือรากที่สี่ของ 0.618)
- 1.13 = รากที่สี่ของ 1.618 หรือรากที่สองของ 1.27
- 1.27 = ค่ารากที่สองของ 1.618
- 1.414 = ค่ารากที่สองของ 2
- 2 = 1 + 1
- 2.24 = ค่ารากของ 5 (Square Root of 5)
- 2.618 = (1.618)^2
- 3.618 = 1 + 2.618
รูปแบบฮาร์โมนิค ABCD
รูปแบบฮาร์โมนิค ABCD (หรือบางครั้งเรียกว่า AB=CD) ถือว่าเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายที่สุด แต่สำหรับผู้เริ่มต้นก็อาจจะเจอความสับสนเหมือนที่ผู้เขียนเคยเจอมา รูปแบบนี้มี 3 คลื่นหลัก ได้แก่ AB, BC, CD โดย AB และ CD จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ส่วน BC จะเป็นคลื่นปรับฐาน (Correction)รูปแบบ ABCD ถือเป็นรูปแบบกลับตัว (Reversal) ซึ่งเมื่อมันสมบูรณ์ ณ จุด D มักส่งสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มจะกลับทิศจากเดิม (ถ้าเป็น Bullish ABCD ก็อาจกลับจากขาขึ้นเป็นขาลง และถ้าเป็น Bearish ABCD ก็กลับจากขาลงเป็นขาขึ้น) จุด D จึงเป็นจุดที่น่าสนใจในการเปิดออเดอร์ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้า
จุดเด่นของ ABCD คือความสมมาตรตรงที่ AB ≈ CD ทั้งในแง่ระยะทางราคาและช่วงเวลา ทำให้มองเหมือนรูป “N” กลับหัว (หรือ “N” ปกติ ก็แล้วแต่การขึ้นหรือลงของราคา): เราจะแบ่ง ABCD ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ Bullish (คาดว่าจะกลับตัวลง) และ Bearish (คาดว่าจะกลับตัวขึ้น) โดย Bullish ABCD จะมีลักษณะทำจุดสูงสุดใหม่ 2 ครั้ง และ Bearish ABCD จะมีลักษณะทำจุดต่ำสุดใหม่ 2 ครั้ง
ขั้นตอนการเกิดรูปแบบ:
- เริ่มต้นจากขา AB
- เกิดคลื่นปรับฐาน BC โดยมักจะอยู่ในช่วง 0.382 ถึง 0.886 ของ AB (ค่าอุดมคติคือ 0.618)
- ราคากลับทิศอีกครั้งที่จุด C เคลื่อนที่ขนานกับ AB เพื่อลงมาที่จุด D โดยจุด D ควรอยู่ในช่วง 1.13 ถึง 2.618 ของ BC
มาดูตัวอย่างการเทรดจริง: เราต้องหาคลื่น ABC ก่อน โดยดูการเคลื่อนไหวหลัก (AB) และการย่อ (BC) ที่ตรงเงื่อนไขตั้งแต่ 0.382 ถึง 0.886: จากภาพ BC ปรับฐานจบที่ระดับ Fibonacci 0.618 แล้วราคาก็เคลื่อนไหวลงต่อ เราต้องระบุจุด D ซึ่งควรอยู่ในช่วง 1.13 ถึง 2.618 จาก BC และถ้า BC จบที่ 0.618 เราจะคาดหวังให้ D ปรากฏที่ 1.618 เพื่อรักษาความสมมาตร (AB=CD): เมื่อ D มาหยุดที่ 1.618 ตามที่คาดไว้ รูปแบบ ABCD จึงสมบูรณ์ และเราพร้อมที่จะเปิดออเดอร์ Buy (ในตัวอย่างนี้เป็นสัญญาณกลับตัวขึ้น)
อย่างไรก็ตาม ถ้า BC ไปจบที่ระดับอื่น จะมีแนวทางจับคู่ดังนี้:
- ถ้า BC = 0.786 ให้คาดว่า D อยู่ที่ 1.272
- ถ้า BC = 0.886 ให้คาดว่า D อยู่ที่ 1.13
- ถ้า BC = 0.382 ให้คาดว่า D อยู่ที่ 2.618
- ถ้า BC = 0.618 ให้คาดว่า D อยู่ที่ 1.618
นี่คือเสน่ห์ของรูปแบบฮาร์โมนิค เรารอให้รูปแบบเรียบร้อยสมบูรณ์ตามสัดส่วน Fibonacci หากไม่ตรงตามเงื่อนไข ก็จะไม่เข้าเทรด ซึ่งทำให้ได้สัญญาณที่น่าเชื่อถือขึ้น
วิธีเทรดรูปแบบฮาร์โมนิค ABCD อย่างถูกต้อง
ขอสรุปขั้นตอนการเทรดในรูปแบบ ABCD:- มองหาจุด A, B, C โดยเน้นดูว่า AB เป็นคลื่นหลัก ส่วน BC เป็นการย่อในช่วง 0.382 ถึง 0.886
- วัดขนาดการย่อ BC แล้วคำนวณตำแหน่ง D ตามคู่สัดส่วนที่กล่าวถึง (เช่น ถ้า BC = 0.618 จุด D จะอยู่แถว 1.618)
- หลังจากได้จุด D ให้ลาก Fibonacci จาก A มายัง D เพื่อประเมินแนวโน้มการดีดกลับ จุดกลับตัวขั้นต่ำมักอยู่ที่ 0.382 หรือ 0.618 โดยเป้าหมายสูงสุดอาจเป็นระดับเดียวกับจุด A หรือ C
- ตั้ง Pending Order (ถ้าเทรดฟอเร็กซ์) ที่จุด D ในทิศตรงข้ามกับขา CD
- Stop loss (สำหรับเทรดฟอเร็กซ์) ไว้ใต้หรือเหนือจุด D
รูปแบบ Gartley – วิธีระบุและใช้งานรูปแบบฮาร์โมนิคอย่างถูกต้อง
รูปแบบ Gartley เป็นรูปแบบต่อเนื่องของเทรนด์ (Trend Continuation) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่ราคากำลังปรับฐาน หากเป็นรูปแบบ Bullish จะต่อยอดเทรนด์ขาขึ้น ถ้าเป็น Bearish จะต่อยอดเทรนด์ขาลง โดย ABCD ภายในรูปแบบเป็นการย่อตัวสวนทางกับทิศหลัก ขณะที่จุดเข้าเทรดคือจุด Dลักษณะการมองเห็นคร่าวๆ ของรูปแบบ Gartley มักจะคล้ายตัว “M” ในกรณีเป็นขาขึ้น หรือคล้าย “W” ในกรณีเป็นขาลง หากเห็นโครงสร้างบนกราฟทำนองนี้ ให้จับตาดูความเป็นไปได้ว่าจะเป็นรูปแบบ Gartley: เมื่อพบโครงสร้างคล้ายๆ M หรือ W ให้เช็คเพิ่มเติมเพราะรูปแบบ Gartley ต้องสอดคล้องกับ ABCD (AB=CD) และยังมีขา XA อีกหนึ่งขาที่เป็นคลื่นยาวสุด ทิศทางเดียวกับเทรนด์หลัก
เริ่มด้วยการลาก Fibonacci จาก X ไป A เพื่อดูว่าจุด B อยู่ที่ 0.618 หรือไม่ ถ้าใช่ ก็มีแนวโน้มว่าอาจเป็น Gartley หรือ Crab (ส่วนรูปแบบอื่นจะมีสัดส่วน B ไม่เท่ากับ 0.618) โดยจุด B ห้ามต่ำกว่าหรือสูงกว่าจุด X เป็นอันขาด: จากนั้นคำนวณต่อสำหรับจุด C และ D:
- จุด C ต้องอยู่ระหว่าง 0.382 – 0.886 ของ AB เป็นจุดกลับตัวอีกครั้ง (ถ้าเป็น M ใน Bullish ราคาจะลงต่อ ถ้าเป็น W ใน Bearish ราคาจะขึ้นต่อ) โดยจุด C ที่ยอดเยี่ยมคือระดับ 0.618 – 0.786
- จุด D ควรอยู่ระหว่าง 1.272 – 1.618 ของ BC และต้องไม่เกิน 0.786 ของ XA (ถ้าเลยกว่านั้นไม่ถือเป็น Gartley) จุด B และ D ต้องไม่เกินจุด X
วิธีระบุและเทรดรูปแบบ Gartley อย่างถูกต้อง
สรุปเงื่อนไขและวิธีเทรดรูปแบบ Gartley:- มองหาโครงสร้างคล้ายตัว M (Bullish) หรือ W (Bearish)
- ลาก Fibonacci จาก X ไป A แล้วเช็คว่าจุด B อยู่แถว 0.618 หรือไม่
- ตรวจสอบจุด C ว่าอยู่ระหว่าง 0.382 – 0.886 ของ AB
- จุด D ควรอยู่ระหว่าง 1.272 – 1.414 (หรือสูงสุด 1.618) ของ BC
- ยืนยันอีกครั้งด้วยการลาก Fibonacci จาก X ไป A จุด D ต้องอยู่ราว 0.786 (หรือไม่เกินกว่านี้)
- เมื่อครบเงื่อนไข ให้เปิดออเดอร์ตามเทรนด์หลักที่เริ่มจาก XA
- สำหรับฟอเร็กซ์ ให้ตั้ง Stop loss ไว้เหนือ/ใต้จุด D
รูปแบบ Gartley Butterfly – วิธีระบุและใช้งานรูปแบบฮาร์โมนิคอย่างถูกต้อง
รูปแบบ “Gartley Butterfly” เป็นรูปแบบกลับตัว (Reversal Pattern) ที่ช่วยให้เราเข้าออเดอร์ได้ตั้งแต่เริ่มกลับแนวโน้ม โดยมีทั้งฝั่ง Bullish และ Bearish เช่นเดิม: Butterfly เป็นรูปแบบฮาร์โมนิคที่ค่อนข้างพบบ่อย และให้สัญญาณที่มีคุณภาพ จุดเด่นคือมีความใกล้เคียงกับ Gartley และ Bat แต่ต่างกันในสัดส่วนบางประการเริ่มจากขา XA เป็นคลื่นแรง (ใน Bullish คือราคาพุ่งขึ้น, ใน Bearish คือราคาดิ่งลง) จากนั้นราคาจะย้อนกลับมาตรงจุด B ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.786 ของ XA: ต่อมาคำนวณตำแหน่ง C และ D:
- C ควรอยู่ที่ 0.382 – 0.886 ของ AB
- D จะอยู่สูงกว่า (ถ้าเป็น Bearish) หรือต่ำกว่า (ถ้าเป็น Bullish) จุด X โดยมีระยะในช่วง 1.618 – 2.618 ของ BC และยังควรใกล้เคียง 1.272 ของ XA
- เป้าหมายใกล้ คือระดับจุด B
- เป้าหมายไกล คือระดับจุด A
วิธีระบุและเทรดรูปแบบฮาร์โมนิค Gartley Butterfly อย่างถูกต้อง
สรุปสั้นๆ กับรูปแบบ “Gartley Butterfly” ซึ่งเป็นรูปแบบกลับตัว:- มองหาขา XA ที่เด่นชัด (ราคาวิ่งแรงขึ้นหรือลง)
- จุด B ต้องอยู่ราวระดับ 0.786 ของ XA
- จุด C อยู่ระหว่าง 0.382 – 0.886 ของ AB
- จุด D อยู่ระหว่าง 1.618 – 2.618 ของ BC และควรอยู่ที่ประมาณ 1.272 ของ XA (ตำแหน่งจุด D ต้องสูงกว่าจุด X ถ้าเป็น Bearish หรือ ต่ำกว่าจุด X ถ้าเป็น Bullish)
- เมื่อรูปแบบสมบูรณ์ ณ จุด D ให้เปิดออเดอร์กลับทิศ (Reversal) ในทิศเดียวกับขา XA
- เป้าหมายใกล้คือจุด B เป้าหมายไกลคือจุด A
- สำหรับเทรดฟอเร็กซ์ วาง Stop loss ไว้แถวจุด D
รูปแบบ Crab – รูปแบบฮาร์โมนิคกลับตัว
“Crab” (ที่ได้ชื่อเพราะขา CD มันยาวคล้ายขาปู) เป็นรูปแบบที่คล้ายกับ “Gartley Butterfly” มาก โดยเป็นรูปแบบกลับตัวเช่นกัน มีทั้งขาขึ้นและขาลง แต่จุดเด่นคือขา CD ที่ยาวกว่าปกติ หากใน Butterfly จุด D จะอยู่ประมาณ 1.272 ของ XA แต่ใน Crab จุด D จะยาวไปได้ถึง 1.618 ของ XA: เริ่มต้นการค้นหารูปแบบจากขา XA เช่นเคย (ราคาวิ่งแรงขึ้นหรือลง) จากนั้นย้อนกลับมาเป็นจุด B ที่อยู่ในช่วง Fibonacci 0.382 ถึง 0.618ต่อไปหาจุด C และ D:
- จุด C อยู่ระหว่าง 0.382 ถึง 0.618 ของ AB
- จุด D อยู่ระหว่าง 2.24 ถึง 3.618 ของ BC และต้องไม่เกิน 1.618 ของ XA
- เป้าหมายใกล้ คือจุด B
- เป้าหมายไกล คือจุด A
วิธีระบุและเทรดรูปแบบฮาร์โมนิค “Crab” อย่างถูกต้อง
สรุปเงื่อนไข “Crab”:- เริ่มด้วยขา XA ที่เคลื่อนไหวแรง
- B อยู่ในช่วง 0.382 – 0.618 ของ XA
- C อยู่ในช่วง 0.382 – 0.886 ของ AB
- D อยู่ระหว่าง 2.24 – 3.618 ของ BC และต้องไม่เกิน 1.618 ของ XA
- เป้าหมายใกล้ที่จุด B และเป้าหมายไกลที่จุด A
- เปิดออเดอร์สวนทาง CD
- ถ้าเทรดฟอเร็กซ์ ให้ตั้ง Stop loss ไว้ที่จุด D
รูปแบบ “Bat” – รูปแบบฮาร์โมนิคที่ชี้ถึงการต่อเนื่องของเทรนด์
รูปแบบ “Bat” คล้ายกับ Gartley มาก แต่ต่างตรงที่จุด D ใน Bat จะอยู่ในระดับ 0.886 จาก XA (แทนที่จะเป็น 0.786 ใน Gartley) หมายความว่ามีการย่อลึกลงอีกหน่อย แต่ยังคงเป็นรูปแบบต่อเนื่องของเทรนด์เช่นเดียวกัน: การเกิด Bat เริ่มจากขา XA ที่ยาว จากนั้น B จะย่อในช่วง 0.382 – 0.5 และ D จะมาหยุดที่ 0.886 ของ XA: ในขณะที่ C จะเกิดขึ้นในช่วง 0.382 – 0.886 ของ AB และ D จะขยายจาก BC ในช่วง 1.618 ถึง 2.16: เป้าหมายของ Bat คือการลาก Fibonacci จาก A ไป D จุดใกล้สุดคือลำดับ 0.618 ส่วนเป้าหมายไกลคือลำดับจุด A:วิธีเทรดรูปแบบฮาร์โมนิค “Bat” อย่างถูกต้อง
สรุปเงื่อนไข Bat:- XA เป็นขาที่เด่นชัดและยาวที่สุด
- B อยู่ในช่วง 0.382 – 0.5 ของ XA
- C อยู่ในช่วง 0.382 – 0.886 ของ AB
- D อยู่ในช่วง 1.618 – 2.618 ของ BC และไม่เกิน 0.886 ของ XA
- เป้าหมายใกล้คือ 0.618 (วัดจาก A ถึง D) และเป้าหมายไกลคือระดับจุด A
- เปิดออเดอร์ตามทิศทางของ XA
- Stop loss ในฟอเร็กซ์ วางใกล้จุด A
รูปแบบ “Three Movements” – รูปแบบฮาร์โมนิคกลับตัว
“Three Movements” (สามขยับ) มีพื้นฐานมาจาก ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต (Elliott Wave) โดดเด่นตรงที่ไม่มีโครงสร้าง ABCD แต่จะมีจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดหลัก 3 จุด และประกอบด้วยขา 5 ช่วงย่อยโดยรูปแบบ Bullish จะมีลักษณะทำ Lower Low (ลงต่อเนื่อง) ส่วน Bearish จะทำ Higher High (ขึ้นต่อเนื่อง) เรียงไปจนกว่าจะครบ 3 ยอดหรือ 3 หลุม: หัวใจของรูปแบบนี้คือมองหา 3 ยอดหรือ 3 หลุมที่ช่วงที่ 2 กับ 3 ต้องอยู่ในระยะ Fibonacci 1.272 – 1.618 ของการปรับฐานก่อนหน้า และถ้าสองยอดหรือสองหลุมหลังอยู่ในระดับเดียวกันได้ จะยิ่งเป็นสัญญาณที่ดี: เนื่องจาก “Three Movements” เป็นรูปแบบกลับตัว เราจึงเปิดออเดอร์สวนเทรนด์เดิม สำหรับเป้าหมาย จะลาก Fibonacci จากจุดสูงสุดแรก (หรือจุดต่ำสุดแรก) มายังจุด 3:
- ถ้าเป็น Bullish ลากจากบนลงล่าง เป้าหมายแรกมักอยู่ที่ 0.618 และเป้าหมายไกลอยู่ที่ 1.0
- ถ้าเป็น Bearish ลากจากล่างขึ้นบน เป้าหมายแรกคือ 0.618 และเป้าหมายไกลคือ 1.0
วิธีเทรดรูปแบบฮาร์โมนิค “Three Movements” อย่างถูกต้อง
สรุป “Three Movements”:- Bullish: เกิดในขาลง ทำจุดต่ำสุดใหม่ 3 ครั้ง
- Bearish: เกิดในขาขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่ 3 ครั้ง
- จุดที่ 2 และ 3 ต้องอยู่ในช่วง Fibonacci 1.272 – 1.618
- เป้าหมาย: ลาก Fib จากจุดเริ่มต้นถึงจุดที่ 3 เป้าหมายใกล้คือ 0.618 เป้าหมายไกลคือ 1.0
- เปิดออเดอร์สวนเทรนด์หลัก
- Stop loss (ในฟอเร็กซ์) ตั้งเหนือ/ใต้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดสุดท้าย
รูปแบบ Shark – รูปแบบฮาร์โมนิคที่ชี้ถึงการต่อเนื่องของเทรนด์
Shark คือรูปแบบที่มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมขยาย (Expanding Triangle) บ่งบอกการต่อเนื่องของเทรนด์ จุดเข้าอยู่ที่จุด D อีกเช่นเคย จุดสังเกตคือ จุด C จะอยู่เหนือจุด A (ในกรณีรูปแบบ Bullish) และจุด D จะอยู่ต่ำกว่าจุด Xความสำคัญคือ จุด D ควรอยู่ในช่วง 0.886 – 1.13 ของ XA ขณะที่จุด C ต้องอยู่ในช่วง 1.13 – 1.618 ของ AB (คือยื่นเลยจุด A ขึ้นไป): เราจะตรวจสอบจุด C ได้ด้วยการวัด Fibonacci จาก A ไป B หาก C อยู่ประมาณ 1.13 – 1.618 ก็ถือว่าใช้ได้: หลังรูปแบบ Shark สมบูรณ์ที่จุด D เราจะเปิดออเดอร์ตามแนวโน้มหลัก (ขา XA) ส่วนเป้าหมายจะลาก Fibonacci จาก C ไป D:
- เป้าหมายใกล้ คือ 0.618
- เป้าหมายไกล คือระดับจุด C
วิธีเทรดรูปแบบ Shark อย่างถูกต้อง
สรุป Shark:- ลักษณะเป็นสามเหลี่ยมขยาย
- D อยู่ในช่วง 0.886 – 1.13 ของ XA
- C อยู่ในช่วง 1.13 – 1.618 ของ AB
- เป้าหมายใกล้คือ 0.618 (ลาก Fib จาก C ไป D) เป้าหมายไกลคือจุด C
- เปิดออเดอร์ที่จุด D ตามทิศทาง XA
- Stop loss (ฟอเร็กซ์) ไว้ที่จุด D
“Cipher” หรือรูปแบบฮาร์โมนิค “Reverse Butterfly”
รูปแบบ Cipher มักถูกเรียกว่า Reverse Butterfly เพราะจุดเปลี่ยนทิศทางหลักจะเกิดตรงจุด X ไม่ใช่จุด C ทั้งรูปแบบจึงลากยาวไปในเทรนด์เดียวกันตลอด ทำให้ “Cipher” เป็นรูปแบบต่อเนื่องของเทรนด์ (Trend Continuation) ที่เจอบ่อยในช่วงต้นของแนวโน้ม: โดยส่วนมาก Cipher จะโผล่มาตอนเทรนด์เพิ่งเริ่ม หากเราจับได้เร็ว ก็จะได้ออเดอร์ต้นน้ำเลย: ตัวอย่างด้านบนคือราคาเป็นขาลง (Bearish) ขา XA คือจุดที่ราคาวิ่งแรงครั้งแรกของเทรนด์นั้น เราจึงเตรียมเปิด Sell หลังจุด D หากรูปแบบ Cipher สมบูรณ์เริ่มต้นเช็ค B ว่าต้องอยู่ระหว่าง 0.382 – 0.618 ของ XA จากนั้นดู C ควรอยู่ที่ 1.272 – 1.414 ของ AB: สุดท้าย จุด D จะสิ้นสุดแถว 0.786 ของ XA พอครบเงื่อนไข เราจึงเปิด Sell ต่อเนื่องตามแนวโน้ม โดยมีเป้าหมายเป็นระดับ A และ C:
วิธีค้นหาและเทรดรูปแบบ “Cipher” อย่างถูกต้อง
สรุป Cipher:- มักเกิดช่วงเริ่มต้นเทรนด์
- XA เป็นขาที่ยาวที่สุด
- B อยู่ช่วง 0.382 – 0.618 ของ XA
- C อยู่ช่วง 1.272 – 1.414 ของ AB
- D อยู่ช่วง 0.786 ของ XA
- เป้าหมาย: ใกล้คือ A ไกลคือ C
- เปิดเทรดตามแนวโน้ม (เดียวกับ XA)
- Stop loss (ฟอเร็กซ์) ตั้งใกล้จุด X
อินดิเคเตอร์สำหรับรูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
เพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งคำนวณทุกจุดด้วยมืออย่างเดียว บางแพลตฟอร์มเทรดมีเครื่องมือช่วยวาดรูปแบบฮาร์โมนิคพร้อมคำนวณสัดส่วน Fibonacci ให้ เช่น บน TradingView หรือโปรแกรมอื่นๆ ที่มี Drawing Tools สำหรับรูปแบบเหล่านี้: นอกจากนี้ ยังมีอินดิเคเตอร์บน MetaTrader 4 ที่จะสแกนหารูปแบบฮาร์โมนิคให้อัตโนมัติ: ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสทดสอบอินดิเคเตอร์นี้อย่างละเอียด แต่จากรีวิวหลายๆ เสียงพบว่าทำงานได้ดีพอสมควร มันจะช่วยบอกตำแหน่งสิ้นสุดของรูปแบบ (จุด D) เพื่อให้เราตัดสินใจจุดเข้าเทรดเอง (อย่าลืมดูเป้าหมายกำไรด้วย)ดาวน์โหลดอินดิเคเตอร์ได้ที่นี่: Download harmonic patterns indicator
ข้อเสียของรูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด
แม้ว่ารูปแบบฮาร์โมนิคจะดูน่าสนใจ แต่ก็มีข้อเสียเล็กน้อย นั่นคือ หากเทรดเดอร์ยึดติดกับรูปแบบฮาร์โมนิคเพียงอย่างเดียว ก็อาจพลาดโอกาสจากการเคลื่อนไหวเทรนด์แรงๆ ที่ไม่ได้สร้างรูปแบบฮาร์โมนิคชัดเจน ซึ่งหมายถึงพลาดโอกาสทำกำไรอื่นๆอีกทั้งรูปแบบฮาร์โมนิคมักใช้เวลาพอสมควรในการรอให้สมบูรณ์ เทรดเดอร์ต้องอดทนมาก และต้องมีความเข้าใจทั้งเรื่อง Fibonacci การดูกราฟ และการวิเคราะห์ Price Action หากขาดประสบการณ์ก็อาจสับสนหรือมองข้ามรูปแบบบางช่วงได้
ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบฮาร์โมนิคแทบทั้งหมดพึ่งพาการรอจุด D ซึ่งเป็นจุดกลับทิศ (หรือจุดต่อเนื่อง) ดังนั้นเราต้องระบุจุดกลับตัวได้ค่อนข้างแม่น หากเข้าช้าหรือไม่แน่ใจ จุดเข้าอาจไม่สวย อาจพลาดช่วงราคาดีๆ ไป
เรื่องข้อมูลและกฎการสร้างรูปแบบที่ดูซับซ้อน (มีหลายสัดส่วนที่ต้องจำ) ก็อาจทำให้มือใหม่รู้สึกว่า “จะเยอะไปไหน” ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้เขียนเองก็เคยมีอาการ “งงเป็นไก่ตาแตก” ตอนเริ่มต้นศึกษารูปแบบฮาร์โมนิคครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม เมื่อศึกษาจนเข้าใจ การใช้รูปแบบฮาร์โมนิคจะเปิดมุมมองใหม่ว่าตลาดมีความสมมาตรในหลายๆ จุด ช่วยให้เราวางกลยุทธ์ได้แม่นขึ้น และหาจุดเข้าที่มีความเสี่ยงต่ำได้ เมื่อจับคู่กับ แนวรับ-แนวต้าน หรือ แท่งเทียนรูปแบบต่างๆ หรือ Price Action Candlestick Patterns ก็ช่วยยืนยันการกลับตัวได้ไวขึ้น
รูปแบบฮาร์โมนิคในการเทรด: บทสรุป
รูปแบบฮาร์โมนิคเป็นหลักฐานว่าราคามักเคลื่อนที่แบบสมมาตรตามอัตราส่วนต่างๆ นั่นหมายความว่า แม้ในความผันผวนที่ดูเหมือน “สุ่ม” ก็ยังมีจุดที่คาดเดาได้ผ่านสัดส่วนทางคณิตศาสตร์กฎการสร้างรูปแบบฮาร์โมนิคอาจดูเยอะ แต่หากรูปแบบใดไม่เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด ก็ควรปล่อยผ่านทันที ซึ่งวิธีนี้ช่วยคัดกรองสัญญาณหลอกได้ดีมาก
ข้อดีของรูปแบบฮาร์โมนิค:
- อัตราความแม่นยำของสัญญาณค่อนข้างสูง
- เกิดได้บนทุกกรอบเวลา
- หลังรูปแบบสมบูรณ์ มักมีเป้าหมายอย่างน้อยที่จุดใกล้สุด (เช่น 0.382 หรือ 0.618) ทำให้เทรดเดอร์วางแผนทำกำไรได้ง่าย
- ผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ ได้ดี
- ซับซ้อน ต้องใช้ความเข้าใจเรื่อง Fibonacci และการตีความกราฟ
- มือใหม่อาจหาตำแหน่งรูปแบบได้ยาก
- บางครั้งรูปแบบบนกรอบเวลาต่างกันอาจให้สัญญาณขัดแย้ง
- ต้องอาศัยความรู้เรื่อง แนวรับ-แนวต้าน และ Price Action Candlestick Patterns เพื่อช่วยยืนยันจุดกลับตัว
- ในออปชั่นไบนารี กว่าจะเกิดรูปแบบต้องรอนาน อาจพลาดโอกาสทำกำไรอื่น
บทวิจารณ์และความคิดเห็น