หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาในออปชั่นไบนารี (2025)
Updated: 06.05.2025
ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาของเทรดเดอร์ออปชั่นไบนารี: ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาในการเทรดออปชั่นไบนารี (2025)
นักเทรดมือใหม่ มือเก่า และแม้แต่มืออาชีพล้วนเคยทำข้อผิดพลาดทางจิตวิทยา แต่สำหรับมืออาชีพ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก และสามารถแก้ไขได้ด้วย วินัยการเทรด อันแข็งแกร่งและ แผนการเทรด ที่ชัดเจน ในทางกลับกัน มือใหม่มักจะพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การสูญเสียเงินในบัญชีเทรดโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เราควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความผิดพลาดทางจิตวิทยาต่าง ๆ และเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมจะพูดถึงในวันนี้
สิ่งนี้ไม่ตรงกับภาพ “หาเงินง่าย ๆ” ใช่ไหม? ที่สำคัญ การเรียนรู้ยังยากมาก ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือหรือดูวิดีโอเท่านั้น แต่ยังต้องปรับตัวเองและนิสัยหลายอย่างเพื่อให้เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายคนคิดว่าตัวเอง “สมบูรณ์แบบ” อยู่แล้ว จึงไม่อยากปรับเปลี่ยนอะไร จึงมองว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องไร้สาระ คิดเพียงกดปุ่มเปิดออเดอร์ไปเรื่อย ๆ กินเบียร์ และคุยกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กันได้อยู่แล้ว การเทรดมันง่ายจะตาย! เมื่อนักเทรดมือใหม่เจอการเทรดจริง ๆ แล้วก็ไม่อยากเรียนรู้อย่างจริงจัง หลายคนมองว่าตนเองจะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพยายาม เพราะเห็นว่าคนอื่นขาดทุนกันถึง 95% แต่กลับคิดว่า “ฉันต้องเป็น 5% ที่รอดแน่ เพราะฉันไม่ใช่ ‘แกะ’ แบบคนอื่น!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนกลุ่มนี้เป็นลูกค้าชั้นดีของแพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารี—ไม่มีอะไรน่ายินดีมากไปกว่าคนที่ยินดีนำเงินมาเสี่ยง แต่ไม่พยายามปรับเปลี่ยนอะไรเลย! สำหรับผมซึ่งเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์ (ยังไม่ถึงขั้นมืออาชีพเต็มตัว แต่ก็หาเลี้ยงชีพจากการเทรดออปชั่นไบนารีได้) ผมไม่ได้เดือดร้อนว่าคุณจะเรียนหรือไม่เรียน ยังไงผมก็สร้างกำไรได้ แต่คุณเองต่างหากที่ควรสนใจการเรียนรู้ ถ้าคุณอยากทำกำไรในระยะยาว!
ตลาดไม่ได้แคร์ว่า RSI จะอยู่ในโซน Overbought/Oversold หรือผมตั้งแนวรับไว้ตรงไหน พอราคาพักตัวเล็กน้อยก็พุ่งต่อไปตามเทรนด์ ผมจึงขาดทุนอย่างหนัก และไม่ได้เปลี่ยนมุมมองว่า “ตอนนี้ตลาดเป็นเทรนด์แรง ควรเปลี่ยนไปเทรดตามเทรนด์ดีกว่า” กลับคิดว่า “เทรนด์มันคงไม่ยาวไปได้ตลอดหรอก เดี๋ยวต้องกลับตัวสักที!” สุดท้ายมันก็กลับตัวไม่ทัน เงินผมหมดก่อน
จึงเห็นได้ว่าการปรับตัวตามภาวะตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก บางครั้งคุณต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับเทรนด์ บางครั้งต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับตลาดแกว่ง (sideways) ไม่ใช่เปิดกราฟแล้วรีบกดออเดอร์ทันที
มือใหม่ส่วนใหญ่จะยึดติดกับกลยุทธ์เดียวและหวังว่าจะใช้ได้ทุกสภาพตลาด แทนที่จะปรับตัวตามจริง เขาจึงเจ็บซ้ำซาก วิธีแก้คือ “ดูตลาดก่อนแล้วค่อยเลือกวิธีเทรด” คุณไม่ควรยึดติดว่าสูตร A หรือ B เท่านั้นที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์
อีกอย่าง บางคนชอบว่า “กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้” แต่คนอื่นอาจเทรดกลยุทธ์เดียวกันแล้วได้กำไร นั่นเพราะเราเทรดกันคนละเวลา ตลาดคนละสภาพ และมีประสบการณ์ไม่เท่ากัน
ทั้งหมดนี้คือ “ประสบการณ์” ของนักเทรดที่รู้วิธีใช้เครื่องมือที่เรียกว่ากลยุทธ์อย่างรอบด้าน ประสบการณ์สอนให้คนเหล่านั้นรู้วิธีจัดการเงินทุน ควบคุมอารมณ์ และทำตามแผนการเทรดได้อย่างมีวินัย
หากคุณเป็นมือใหม่ที่คิดว่าแค่หากลยุทธ์เจ๋ง ๆ มาใช้ก็น่าจะพอ คุณอาจเหมือนคนได้พู่กันมาแล้วบอกว่า “ฉันคือจิตรกรระดับโลก” แต่ไม่มีสี ไม่มีผ้าใบ และไม่มีทักษะ สิ่งที่คุณวาดคงไม่ใช่งานระดับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แน่นอน เช่นเดียวกับการเทรดที่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่เป็นการผสมผสานองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านอื่น ๆ อีกมาก
นักเทรดบางคนยังคิดว่าต้องทำกำไรทุกวัน วันไหนปิดเทรดเป็นลบไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลให้ใช้มาร์ติงเกล เพราะเชื่อว่าจะได้คืนทุกครั้ง “คนโง่เท่านั้นที่เทรดแบบอัตราคงที่ ฉันจะเทรดเพิ่มทุนเรื่อย ๆ ละกัน!” แต่แทนที่จะยอมเสียเงินเล็กน้อยแล้วค่อยหาโอกาสคืน กรณีใช้มาร์ติงเกลอาจทำให้เสียเงินก้อนใหญ่ภายในเวลาไม่นาน จนไม่เหลืออะไรให้ “เอาคืน” เพราะหมดตัวไปแล้ว แม้ว่าฝันจะเป็นรูปสวยหรูว่าจะคูณเงินต้นได้อย่างรวดเร็วทุกวันก็ตาม
นักเทรดที่มีประสบการณ์เข้าใจดีว่า “ไม่มีทางที่เราจะเทรดชนะทุกครั้ง” การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรดที่ทำกำไรได้ นักเทรดเก่ง ๆ จะยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยและพร้อมเอาคืนในโอกาสต่อไป
ในทางกลับกัน มือใหม่คิดว่า “นี่เงินฉันนะ จะไม่ยอมให้ผู้ให้บริการเทรดออปชั่นไบนารีเอาไปง่าย ๆ ฉันจะเอาคืนทุกครั้งที่เสีย และจะทำกำไร 100-200% ทุกวัน!” …ผลลัพธ์ก็คือสุดท้ายมักหมดตัว ความโลภไม่เคยช่วยใครให้รวยในตลาดนี้ แต่กลับทำให้หลายคนสูญเงินมหาศาล
นั่นทำให้มือใหม่เพิ่มขนาดการเทรดและละทิ้ง กฎการจัดการความเสี่ยง เปิดออเดอร์แบบไม่มีแบบแผน หรือเปิดตามอารมณ์หวังจะได้เงินคืนไว ๆ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะตั้งใจเทรดตามกลยุทธ์แค่ไหนก็ตาม เมื่ออยู่ในสภาวะ “อยากเอาคืน” การวิเคราะห์เหตุการณ์อย่างเยือกเย็นก็ไม่มีเหลือแล้ว เหลือแค่ “ต้องได้คืน!” ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายว่าคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือความเสี่ยงได้อีกต่อไป
แม้แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็เคยตกหลุมนี้เหมือนกัน เมื่อขาดทุนมาก ๆ ก็เกิดความกลัวปนความอยากเอาทุนคืน และนั่นคือช่วงเวลาที่มักทำพลาดหนักขึ้นอีก เพราะไม่มีการเทรดแบบมีเหตุผล มีแต่การ “เสี่ยงเพิ่ม” อย่างไม่สนอะไร
มือใหม่มักไม่หยุดพักเมื่ออารมณ์พุ่งสูง กลับพยายามเทรดต่อไปหวัง “แก้มือ” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงดวง เพราะไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับออเดอร์
การขาดการควบคุมอารมณ์จึงถือเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด คุณต้องฝึกฝนอย่างยาวนานกว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีในสถานการณ์กดดัน หรือคุณจะมีวินัยเข้มแข็งพอที่จะรู้ตัวว่าต้อง “หยุดเทรด” เมื่อเริ่มหลุดโฟกัสไปกับอารมณ์
เราจะเจอคำบ่นลักษณะนี้ทั่วไปในฟอรั่มหรือกลุ่มต่าง ๆ:
อย่าคิดว่าใครอื่นเป็นต้นเหตุ คุณเทรดเอง ลงทุนเอง เลือกวิธีเอง คุณต้องยอมรับความผิดนั้นด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ก้าวหน้าในการเทรด
อย่าไปหลงเชื่อผู้ที่บอกว่ามีวิธี “มาร์ติงเกล” ให้รวยเร็ว หรือใครที่บอกว่าจะมาเทรดทำกำไรให้คุณ หรือ “สัญญาณ 100%” เพราะส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์แอบแฝง คุณควรพึ่งพาความรู้ของตัวเองเป็นหลัก ให้คุณใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลหลาย ๆ แหล่งก่อนตัดสินใจ คนส่วนใหญ่ในเน็ตจะโชว์แต่ด้านสวยงามของการเทรด ไม่ค่อยมีใครบอกว่าตัวเองพลาดแล้วเสียเงินอย่างไร
แม้แต่ผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด ผมก็เทรดของผมต่อไปได้ แต่คุณจะได้ประโยชน์ตรงที่ลดจำนวน “กูรู” ปลอม ๆ ที่อาจพาคุณหลงทาง
หากอยากเรียนรู้จริง ๆ แนะนำให้อ่านหนังสือ เพราะผู้เขียนไม่รู้ว่าคนอ่านจะเป็นใคร ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง แต่ถ้าค้นข้อมูลออนไลน์ ควรเช็กหลายแหล่ง ถ้าแหล่งใดแหล่งหนึ่งขัดแย้งกับหลาย ๆ ที่ แปลว่าอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เว็บส่วนใหญ่ 19 จาก 20 แห่งบอกว่า “มาร์ติงเกล” ทำกำไรได้ดี แต่ผมบอกว่ามันเสี่ยงมากและไม่เหมาะแก่การเทรดระยะยาว ซึ่งคุณสามารถทดสอบได้เองว่าความจริงเป็นอย่างไร
คุณเข้ามาเทรดเพื่อทำกำไร ถ้าเทรดแล้วผลรวมกำไรเป็นบวก แม้จะชนะเพียง 3 จาก 18 ครั้งก็ยังถือว่าเป็นกำไรได้ ยกตัวอย่าง คุณมีเงิน 10,000 ดอลลาร์ เปิดออเดอร์เล็ก ๆ 15 ครั้ง ครั้งละ 1 ดอลลาร์ ทุกครั้งขาดทุน (รวมขาดทุน 15 ดอลลาร์) แต่กลับมาเปิดออเดอร์ 3 ครั้ง ครั้งละ 100 ดอลลาร์แล้วชนะหมด สรุปแล้วกำไรก็อาจจะยังเป็นบวก แม้เปอร์เซ็นต์การชนะจะแค่ 16.7%
มีนักเทรดบางคนหมกมุ่นกับเปอร์เซ็นต์ชนะ พอเสียก็เปิดออเดอร์ซ้ำหลายเท่าตัวเพื่อดึงเปอร์เซ็นต์ชนะให้ดูสูงขึ้น สุดท้ายเจอไม่กี่ไม้ก็อาจหมดตัวได้
นี่คือนักเทรดประเภท “การทำเงินทบต้นทุกเดือนเป็นเรื่องง่าย” แต่ในตารางไม่เคยบอกเลยว่าคุณต้องเจอ
คุณมาที่นี่เพื่อเทรด ไม่ใช่ฝากเงินธนาคารที่ได้ดอกเบี้ยแน่นอน ตลาดไม่ได้การันตีอะไรทั้งนั้น และอย่าหลงคิดว่าตัวเองสามารถคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้าได้ทุกเดือน ถ้าเก่งจริงคงไม่เสียเวลาเขียนตารางแบบนี้แต่แรก
อย่างไรก็ดี การบันทึกผลเทรดเป็นเรื่องจำเป็น แต่นั่นคือการบันทึกย้อนหลัง “เดือนนี้ทำกำไรได้เท่าไร คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต” ไม่ใช่วาดฝันไว้ล่วงหน้าว่าต้องได้เท่าไรตลอดเวลา ส่วนใหญ่เทรดเดอร์มืออาชีพก็ทำกำไรเฉลี่ยราว 10-30% ต่อเดือน
ดังนั้น รายได้ในแต่ละเดือนจึงไม่แน่นอน บางเดือนอาจกำไรหลายเท่า บางเดือนอาจได้ไม่ถึง 2-3% หรืออาจขาดทุนด้วยซ้ำ
ถ้าคุณคิดจะลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มตัว ต้องเข้าใจว่า “ไม่มีเงินเดือนตายตัว” บางครั้งคุณอาจเทรดแล้วแทบไม่ได้กำไรหลายเดือนติดกัน เวลาที่ทุ่มเทไปในการเทรดก็ไม่ได้การันตีเม็ดเงินเลย
เนื้อหา
- นักเทรดมือใหม่ไม่อยากเรียนรู้ออปชั่นไบนารี
- การปรับตัวเข้ากับตลาดขณะเทรดออปชั่นไบนารี
- การตามหากลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ (Grail) สำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี
- ความโลภของนักเทรด—ศัตรูตัวร้ายที่สุดในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ความต้องการเอาคืน (Recoup) เมื่อต้องขาดทุนในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ขาดการควบคุมอารมณ์—ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่สำคัญที่สุดของนักเทรด
- เรียนรู้ที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองในการเทรดออปชั่นไบนารี
- อย่าเชื่อ “มือโปร” ออปชั่นไบนารีอย่างไม่มีวิจารณญาณ
- อย่าหลงไล่ล่าเปอร์เซ็นต์การเทรดชนะ
- อย่าสร้างตารางรายได้จากการเทรด
- ความฝันเรื่องรายได้ที่มั่นคงจากการเทรดออปชั่นไบนารี
นักเทรดมือใหม่ไม่อยากเรียนรู้ออปชั่นไบนารี
ผมเชื่อว่า 98% ของนักเทรดทุกคนเข้ามาเทรดออปชั่นไบนารีเพราะมีคนบอกว่าจะหาเงินได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงกดปุ่มสีแดงหรือเขียว แต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายแบบนั้น เพราะคุณต้องเรียนรู้การเทรด และต้องใช้เวลานานพอสมควร—ตั้งแต่ครึ่งปีจนถึงหลายปีสิ่งนี้ไม่ตรงกับภาพ “หาเงินง่าย ๆ” ใช่ไหม? ที่สำคัญ การเรียนรู้ยังยากมาก ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือหรือดูวิดีโอเท่านั้น แต่ยังต้องปรับตัวเองและนิสัยหลายอย่างเพื่อให้เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายคนคิดว่าตัวเอง “สมบูรณ์แบบ” อยู่แล้ว จึงไม่อยากปรับเปลี่ยนอะไร จึงมองว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องไร้สาระ คิดเพียงกดปุ่มเปิดออเดอร์ไปเรื่อย ๆ กินเบียร์ และคุยกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กันได้อยู่แล้ว การเทรดมันง่ายจะตาย! เมื่อนักเทรดมือใหม่เจอการเทรดจริง ๆ แล้วก็ไม่อยากเรียนรู้อย่างจริงจัง หลายคนมองว่าตนเองจะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพยายาม เพราะเห็นว่าคนอื่นขาดทุนกันถึง 95% แต่กลับคิดว่า “ฉันต้องเป็น 5% ที่รอดแน่ เพราะฉันไม่ใช่ ‘แกะ’ แบบคนอื่น!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนกลุ่มนี้เป็นลูกค้าชั้นดีของแพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารี—ไม่มีอะไรน่ายินดีมากไปกว่าคนที่ยินดีนำเงินมาเสี่ยง แต่ไม่พยายามปรับเปลี่ยนอะไรเลย! สำหรับผมซึ่งเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์ (ยังไม่ถึงขั้นมืออาชีพเต็มตัว แต่ก็หาเลี้ยงชีพจากการเทรดออปชั่นไบนารีได้) ผมไม่ได้เดือดร้อนว่าคุณจะเรียนหรือไม่เรียน ยังไงผมก็สร้างกำไรได้ แต่คุณเองต่างหากที่ควรสนใจการเรียนรู้ ถ้าคุณอยากทำกำไรในระยะยาว!
การปรับตัวเข้ากับตลาดขณะเทรดออปชั่นไบนารี
สมมุติว่าคุณไม่ได้เป็นนักเทรดที่ “ไม่รู้ตัว” และเข้าใจดีว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องสำคัญ ข้อผิดพลาดถัดมาที่มือใหม่มักเจอก็คือ “ไม่รู้จักปรับตัวตามตลาด” และไม่พิจารณาว่าตลาดตอนนี้เป็นอย่างไร ตัวอย่างหนึ่งคือ ผมเองเคยเทรดโดยใช้ วิธีมาร์ติงเกล (สมัยก่อนผมบ้าระห่ำมาก!) นี่เป็นข้อผิดพลาดทั้งด้านจิตวิทยาและการจัดการความเสี่ยง แต่เนื้อหาในบทนี้เราพูดถึงเรื่องจิตวิทยา ผมเลยยกเป็นตัวอย่าง ผมมีแผนการเทรดแบบง่าย ๆ คือ- ดูเส้น RSI ว่าอยู่ในเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
- มองหาระดับแนวรับหรือแนวต้าน (Support/Resistance)
- เปิดออเดอร์สวนทางกับทิศทางราคาที่วิ่งมาชนระดับนั้น
ตลาดไม่ได้แคร์ว่า RSI จะอยู่ในโซน Overbought/Oversold หรือผมตั้งแนวรับไว้ตรงไหน พอราคาพักตัวเล็กน้อยก็พุ่งต่อไปตามเทรนด์ ผมจึงขาดทุนอย่างหนัก และไม่ได้เปลี่ยนมุมมองว่า “ตอนนี้ตลาดเป็นเทรนด์แรง ควรเปลี่ยนไปเทรดตามเทรนด์ดีกว่า” กลับคิดว่า “เทรนด์มันคงไม่ยาวไปได้ตลอดหรอก เดี๋ยวต้องกลับตัวสักที!” สุดท้ายมันก็กลับตัวไม่ทัน เงินผมหมดก่อน
จึงเห็นได้ว่าการปรับตัวตามภาวะตลาดเป็นสิ่งสำคัญมาก บางครั้งคุณต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับเทรนด์ บางครั้งต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับตลาดแกว่ง (sideways) ไม่ใช่เปิดกราฟแล้วรีบกดออเดอร์ทันที
มือใหม่ส่วนใหญ่จะยึดติดกับกลยุทธ์เดียวและหวังว่าจะใช้ได้ทุกสภาพตลาด แทนที่จะปรับตัวตามจริง เขาจึงเจ็บซ้ำซาก วิธีแก้คือ “ดูตลาดก่อนแล้วค่อยเลือกวิธีเทรด” คุณไม่ควรยึดติดว่าสูตร A หรือ B เท่านั้นที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์
อีกอย่าง บางคนชอบว่า “กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้” แต่คนอื่นอาจเทรดกลยุทธ์เดียวกันแล้วได้กำไร นั่นเพราะเราเทรดกันคนละเวลา ตลาดคนละสภาพ และมีประสบการณ์ไม่เท่ากัน
การตามหากลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ (Grail) สำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี
ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่พบบ่อยอีกอย่างก็คือ การตามหาสูตรลับ (Grail) แล้วคิดว่า “เทรดเดอร์มือเก่าเขาต้องใช้เวลากันหลายปีเพื่อให้เทรดได้กำไร ฉันจะฉลาดกว่า โดยหากลยุทธ์ขั้นเทพแล้วรวยให้ได้เท่าพวกเขา!” ฟังดูเป็นเหตุผลที่ดูเข้าท่า แต่ในความจริงแล้ว กลยุทธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมด ในการเทรดอย่างประสบความสำเร็จยังมีเรื่องอื่น ๆ ประกอบอีก เช่น- แผนการเทรด ที่นักเทรดมืออาชีพยึดถือตาม
- กฎการจัดการความเสี่ยง และ กฎการบริหารเงินทุน
- ไดอารี่การเทรด ที่บันทึกประวัติการเทรดทั้งหมด
- บันทึกเกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ (Emotional Diary) เพื่อติดตามและควบคุมอารมณ์
- ความรู้ด้าน จิตวิทยาการเทรด และการควบคุมอารมณ์
- การฝึกฝน วินัยการเทรด อย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้คือ “ประสบการณ์” ของนักเทรดที่รู้วิธีใช้เครื่องมือที่เรียกว่ากลยุทธ์อย่างรอบด้าน ประสบการณ์สอนให้คนเหล่านั้นรู้วิธีจัดการเงินทุน ควบคุมอารมณ์ และทำตามแผนการเทรดได้อย่างมีวินัย
หากคุณเป็นมือใหม่ที่คิดว่าแค่หากลยุทธ์เจ๋ง ๆ มาใช้ก็น่าจะพอ คุณอาจเหมือนคนได้พู่กันมาแล้วบอกว่า “ฉันคือจิตรกรระดับโลก” แต่ไม่มีสี ไม่มีผ้าใบ และไม่มีทักษะ สิ่งที่คุณวาดคงไม่ใช่งานระดับพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์แน่นอน เช่นเดียวกับการเทรดที่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่เป็นการผสมผสานองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านอื่น ๆ อีกมาก
ความโลภของนักเทรด—ศัตรูตัวร้ายที่สุดในการเทรดออปชั่นไบนารี
ความโลภเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวนักเทรดทุกคน แต่อยู่ที่ว่าใครจะควบคุมมันได้มากหรือน้อยแค่ไหน ไม่มีใครชอบเสียเงินให้เว็บไซต์ซื้อขายออปชั่นไบนารี ความโลภจึงผลักให้คนไปใช้ “มาร์ติงเกล” เพื่อเอาเงินที่เสียไปคืนมา พร้อมหวังผลกำไรต่อนักเทรดบางคนยังคิดว่าต้องทำกำไรทุกวัน วันไหนปิดเทรดเป็นลบไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลให้ใช้มาร์ติงเกล เพราะเชื่อว่าจะได้คืนทุกครั้ง “คนโง่เท่านั้นที่เทรดแบบอัตราคงที่ ฉันจะเทรดเพิ่มทุนเรื่อย ๆ ละกัน!” แต่แทนที่จะยอมเสียเงินเล็กน้อยแล้วค่อยหาโอกาสคืน กรณีใช้มาร์ติงเกลอาจทำให้เสียเงินก้อนใหญ่ภายในเวลาไม่นาน จนไม่เหลืออะไรให้ “เอาคืน” เพราะหมดตัวไปแล้ว แม้ว่าฝันจะเป็นรูปสวยหรูว่าจะคูณเงินต้นได้อย่างรวดเร็วทุกวันก็ตาม
นักเทรดที่มีประสบการณ์เข้าใจดีว่า “ไม่มีทางที่เราจะเทรดชนะทุกครั้ง” การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรดที่ทำกำไรได้ นักเทรดเก่ง ๆ จะยอมรับการขาดทุนเล็กน้อยและพร้อมเอาคืนในโอกาสต่อไป
ในทางกลับกัน มือใหม่คิดว่า “นี่เงินฉันนะ จะไม่ยอมให้ผู้ให้บริการเทรดออปชั่นไบนารีเอาไปง่าย ๆ ฉันจะเอาคืนทุกครั้งที่เสีย และจะทำกำไร 100-200% ทุกวัน!” …ผลลัพธ์ก็คือสุดท้ายมักหมดตัว ความโลภไม่เคยช่วยใครให้รวยในตลาดนี้ แต่กลับทำให้หลายคนสูญเงินมหาศาล
ความต้องการเอาคืน (Recoup) เมื่อต้องขาดทุนในการเทรดออปชั่นไบนารี
ความโลภยังนำพาไปสู่ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาร้ายแรงอีกอย่าง คือ “อยากเอาคืน” การขาดทุนเล็กน้อยหรือเสียแค่ 1 ออเดอร์ก็อยากได้คืนทันทีนั่นทำให้มือใหม่เพิ่มขนาดการเทรดและละทิ้ง กฎการจัดการความเสี่ยง เปิดออเดอร์แบบไม่มีแบบแผน หรือเปิดตามอารมณ์หวังจะได้เงินคืนไว ๆ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะตั้งใจเทรดตามกลยุทธ์แค่ไหนก็ตาม เมื่ออยู่ในสภาวะ “อยากเอาคืน” การวิเคราะห์เหตุการณ์อย่างเยือกเย็นก็ไม่มีเหลือแล้ว เหลือแค่ “ต้องได้คืน!” ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายว่าคุณไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือความเสี่ยงได้อีกต่อไป
แม้แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์ก็เคยตกหลุมนี้เหมือนกัน เมื่อขาดทุนมาก ๆ ก็เกิดความกลัวปนความอยากเอาทุนคืน และนั่นคือช่วงเวลาที่มักทำพลาดหนักขึ้นอีก เพราะไม่มีการเทรดแบบมีเหตุผล มีแต่การ “เสี่ยงเพิ่ม” อย่างไม่สนอะไร
ขาดการควบคุมอารมณ์—ข้อผิดพลาดทางจิตวิทยาที่สำคัญที่สุดของนักเทรด
ถ้าคุณเคยดูนักเทรดที่มีประสบการณ์ทำงาน คุณจะสังเกตได้ว่าเขาเทรดกันอย่างสงบ แม้ในวันที่ขาดทุน เพราะพวกเขารู้ดีว่าการควบคุมอารมณ์เป็นกุญแจสำคัญของการเทรดที่ได้กำไร ยิ่งมีอารมณ์น้อยเท่าไร ยิ่งตัดสินใจได้ดีเท่านั้น นักเทรดที่มีวินัยจะโฟกัสไปที่:- การวิเคราะห์ตลาดและหาโอกาสเปิดออเดอร์
- การควบคุมความเสี่ยง
- การปฏิบัติตามกฎของกลยุทธ์
- การทำตามแผนการเทรด
- อยากได้กำไรเพิ่ม
- กลัวขาดทุน
- ลังเลว่ากลยุทธ์เราถูกไหม
- ดีใจจนลืมตัวเมื่อได้กำไร
- เสียใจหนักเมื่อขาดทุน
มือใหม่มักไม่หยุดพักเมื่ออารมณ์พุ่งสูง กลับพยายามเทรดต่อไปหวัง “แก้มือ” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเสี่ยงดวง เพราะไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมารองรับออเดอร์
การขาดการควบคุมอารมณ์จึงถือเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด คุณต้องฝึกฝนอย่างยาวนานกว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีในสถานการณ์กดดัน หรือคุณจะมีวินัยเข้มแข็งพอที่จะรู้ตัวว่าต้อง “หยุดเทรด” เมื่อเริ่มหลุดโฟกัสไปกับอารมณ์
เรียนรู้ที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของตนเองในการเทรดออปชั่นไบนารี
ทุกคนมักคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดในเรื่องต่าง ๆ แต่การเป็นคนไม่แคร์ความเห็นใคร กับการคิดว่าตัวเองเก่งไปหมดเป็นคนละเรื่องกัน ผมเจอนักเทรดมากมายที่ถามผมว่า- คุณทำสำเร็จได้อย่างไร?
- มีกลยุทธ์ไหนแนะนำบ้าง?
- ต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ?
- ผมเลิกใช้ มาร์ติงเกล เพราะมันไม่ยั่งยืนในระยะยาว หันมาเทรดแบบอัตราคงที่ตาม กฎการจัดการความเสี่ยง ทำงานหนักกับจิตวิทยาตัวเองเพราะผมเคยมีปัญหาเรื่องนี้มาก
- มีกลยุทธ์หลายแบบที่ผมเคยลองและได้ผลดี แต่หากคุณไม่มีความรู้ด้านการบริหารเงินทุนและไม่ฝึกจิตวิทยา กลยุทธ์ไหนก็ไม่ช่วย
- ให้ศึกษาพื้นฐานการเทรด ไม่ว่าจะเป็น การจัดการความเสี่ยง, การบริหารเงินทุน, จิตวิทยาการเทรด, และ วินัยการเทรด
เราจะเจอคำบ่นลักษณะนี้ทั่วไปในฟอรั่มหรือกลุ่มต่าง ๆ:
- “กลยุทธ์ใช้ไม่ได้ ฉันเสียหมด!” ผู้เขียนกลยุทธ์ผิด!
- “อินดิเคเตอร์หลอก” อินดิเคเตอร์ผิด!
- “ฉันถูกหลอก สัญญาณเทรดไม่แม่น” คนขายสัญญาณผิด!
- “บล็อกเกอร์เทรดพลาดจนฉันเสียเงิน” บล็อกเกอร์ผิด!
- “บริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลตั้งใจให้ฉันเสีย” โบรกเกอร์ผิด!
- “ราคาไม่วิ่งไปตามที่คิด!” ตลาดผิด!
- “มาร์ติงเกลไม่ดี แต่ถ้าดีลสุดท้ายชนะ ฉันจะรวย!” โทษวิธีการ!
- “โฆษณาหลอก!” ออปชั่นไบนารีคือตัวหลอก!
- “พวกคุณมันโง่กันหมด!”
- ผิดที่ใช้กลยุทธ์โดยไม่บริหารความเสี่ยง
- ผิดที่ไม่ทดสอบอินดิเคเตอร์ก่อนใช้เงินจริง
- ผิดที่ไปเชื่อ “สัญญาณ 100%”
- ผิดที่โทษโบรกเกอร์ แทนที่จะดูว่าเราพลาดตรงไหน
- ผิดที่ไม่มีความรู้พอจะวิเคราะห์ราคา
- ผิดที่ยังใช้มาร์ติงเกล
- ผิดที่เชื่อโฆษณา
- ผิดที่เอาเงินไปเสี่ยงเอง!
อย่าคิดว่าใครอื่นเป็นต้นเหตุ คุณเทรดเอง ลงทุนเอง เลือกวิธีเอง คุณต้องยอมรับความผิดนั้นด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ก้าวหน้าในการเทรด
อย่าเชื่อ “มือโปร” ออปชั่นไบนารีอย่างไม่มีวิจารณญาณ
จำไว้ว่า คนที่อยากให้คุณได้กำไรจริง ๆ มีแค่ “ตัวคุณเอง” เท่านั้น!อย่าไปหลงเชื่อผู้ที่บอกว่ามีวิธี “มาร์ติงเกล” ให้รวยเร็ว หรือใครที่บอกว่าจะมาเทรดทำกำไรให้คุณ หรือ “สัญญาณ 100%” เพราะส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์แอบแฝง คุณควรพึ่งพาความรู้ของตัวเองเป็นหลัก ให้คุณใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลหลาย ๆ แหล่งก่อนตัดสินใจ คนส่วนใหญ่ในเน็ตจะโชว์แต่ด้านสวยงามของการเทรด ไม่ค่อยมีใครบอกว่าตัวเองพลาดแล้วเสียเงินอย่างไร
แม้แต่ผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด ผมก็เทรดของผมต่อไปได้ แต่คุณจะได้ประโยชน์ตรงที่ลดจำนวน “กูรู” ปลอม ๆ ที่อาจพาคุณหลงทาง
หากอยากเรียนรู้จริง ๆ แนะนำให้อ่านหนังสือ เพราะผู้เขียนไม่รู้ว่าคนอ่านจะเป็นใคร ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง แต่ถ้าค้นข้อมูลออนไลน์ ควรเช็กหลายแหล่ง ถ้าแหล่งใดแหล่งหนึ่งขัดแย้งกับหลาย ๆ ที่ แปลว่าอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เว็บส่วนใหญ่ 19 จาก 20 แห่งบอกว่า “มาร์ติงเกล” ทำกำไรได้ดี แต่ผมบอกว่ามันเสี่ยงมากและไม่เหมาะแก่การเทรดระยะยาว ซึ่งคุณสามารถทดสอบได้เองว่าความจริงเป็นอย่างไร
อย่าหลงไล่ล่าเปอร์เซ็นต์การเทรดชนะ
มือใหม่หลายคนพยายามตั้งเป้าจะได้เปอร์เซ็นต์ชนะสูง ๆ เช่น 70-80% หรือ 90% ขึ้นไปตลอดเวลา แต่ความจริง “เปอร์เซ็นต์ชนะ” ไม่ได้สะท้อนกำไรรวมเสมอไปคุณเข้ามาเทรดเพื่อทำกำไร ถ้าเทรดแล้วผลรวมกำไรเป็นบวก แม้จะชนะเพียง 3 จาก 18 ครั้งก็ยังถือว่าเป็นกำไรได้ ยกตัวอย่าง คุณมีเงิน 10,000 ดอลลาร์ เปิดออเดอร์เล็ก ๆ 15 ครั้ง ครั้งละ 1 ดอลลาร์ ทุกครั้งขาดทุน (รวมขาดทุน 15 ดอลลาร์) แต่กลับมาเปิดออเดอร์ 3 ครั้ง ครั้งละ 100 ดอลลาร์แล้วชนะหมด สรุปแล้วกำไรก็อาจจะยังเป็นบวก แม้เปอร์เซ็นต์การชนะจะแค่ 16.7%
มีนักเทรดบางคนหมกมุ่นกับเปอร์เซ็นต์ชนะ พอเสียก็เปิดออเดอร์ซ้ำหลายเท่าตัวเพื่อดึงเปอร์เซ็นต์ชนะให้ดูสูงขึ้น สุดท้ายเจอไม่กี่ไม้ก็อาจหมดตัวได้
อย่าสร้างตารางรายได้จากการเทรด
มือใหม่หลายคนเป็นนักฝัน รู้จักออปชั่นไบนารีไม่ทันไรก็ทำตารางว่าเดือนหน้าจะมีรายได้เพิ่มเป็นกี่เท่าของเงินต้น แล้ววางแผนรวยเป็นเศรษฐี
|
เปอร์เซ็นต์การชนะ |
จำนวนเทรด |
ความเสี่ยง |
ความเสี่ยงต่อเดือน ($) |
ออเดอร์ที่ชนะ |
เปอร์เซ็นต์จ่ายเมื่อคาดการณ์ถูก |
เปอร์เซ็นต์คืนเมื่อคาดการณ์ผิด |
ยอดเงินคงเหลือ (เริ่มต้น $1000) |
กำไรต่อเดือน |
1 |
75% |
60 |
5% |
50 |
45 |
76% |
0% |
1960 |
960 |
2 |
75% |
60 |
5% |
98 |
45 |
76% |
0% |
3842 |
1882 |
3 |
75% |
60 |
5% |
192,08 |
45 |
76% |
0% |
7530 |
3688 |
4 |
75% |
60 |
5% |
376,4768 |
45 |
76% |
0% |
14758 |
7228 |
5 |
75% |
60 |
5% |
737,89453 |
45 |
76% |
0% |
28925 |
14168 |
6 |
75% |
60 |
5% |
1446,2733 |
45 |
76% |
0% |
56694 |
27768 |
7 |
75% |
60 |
5% |
2834,6956 |
45 |
76% |
0% |
111120 |
54426 |
8 |
75% |
60 |
5% |
5556,0034 |
45 |
76% |
0% |
217795 |
106675 |
9 |
75% |
60 |
5% |
10889,767 |
45 |
76% |
0% |
426879 |
209084 |
10 |
75% |
60 |
5% |
21343,943 |
45 |
76% |
0% |
836683 |
409804 |
11 |
75% |
60 |
5% |
41834,128 |
45 |
76% |
0% |
1639898 |
803215 |
12 |
75% |
60 |
5% |
81994,89 |
45 |
76% |
0% |
3214200 |
1574302 |
- ความกลัว
- ความไม่รู้
- ความโลภ
- ความเครียดเมื่อต้องเสียเงิน
- การฝ่าฝืนกฎการบริหารความเสี่ยง
คุณมาที่นี่เพื่อเทรด ไม่ใช่ฝากเงินธนาคารที่ได้ดอกเบี้ยแน่นอน ตลาดไม่ได้การันตีอะไรทั้งนั้น และอย่าหลงคิดว่าตัวเองสามารถคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้าได้ทุกเดือน ถ้าเก่งจริงคงไม่เสียเวลาเขียนตารางแบบนี้แต่แรก
อย่างไรก็ดี การบันทึกผลเทรดเป็นเรื่องจำเป็น แต่นั่นคือการบันทึกย้อนหลัง “เดือนนี้ทำกำไรได้เท่าไร คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต” ไม่ใช่วาดฝันไว้ล่วงหน้าว่าต้องได้เท่าไรตลอดเวลา ส่วนใหญ่เทรดเดอร์มืออาชีพก็ทำกำไรเฉลี่ยราว 10-30% ต่อเดือน
ความฝันเรื่องรายได้ที่มั่นคงจากการเทรดออปชั่นไบนารี
นอกจากตารางรายได้แล้ว บางคนยังฝันต่อว่าจะมีรายได้ “สม่ำเสมอ” จากออปชั่นไบนารีทุกเดือน เหมือนเงินเดือนประจำ สำหรับนักเทรดที่พูดว่าการเทรดมีความ “สม่ำเสมอ” เขาหมายความแค่ว่า “โอกาสเสียทั้งพอร์ตน้อยมาก” ไม่ได้หมายความว่าจะได้เท่าไรทุกเดือน เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาดังนั้น รายได้ในแต่ละเดือนจึงไม่แน่นอน บางเดือนอาจกำไรหลายเท่า บางเดือนอาจได้ไม่ถึง 2-3% หรืออาจขาดทุนด้วยซ้ำ
ถ้าคุณคิดจะลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มตัว ต้องเข้าใจว่า “ไม่มีเงินเดือนตายตัว” บางครั้งคุณอาจเทรดแล้วแทบไม่ได้กำไรหลายเดือนติดกัน เวลาที่ทุ่มเทไปในการเทรดก็ไม่ได้การันตีเม็ดเงินเลย
บทวิจารณ์และความคิดเห็น