กลยุทธ์มาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี: เคล็ดลับสำคัญ (2025)
Updated: 29.05.2025
กลยุทธ์มาร์ติงเกล ตาราง และวิธีมาร์ติงเกล: การเพิ่มมูลค่าการเทรดในออปชั่นไบนารี (2025)
ระบบมาร์ติงเกล (Martingale system) คือระบบการจัดการเงินลงทุนที่ใช้กันในเกมเสี่ยงโชค และได้ถูกนำมาใช้ในออปชั่นไบนารี (Binary Options) ด้วยเช่นกัน แต่ระบบนี้ดีหรือแย่แค่ไหน? จะมีความเสี่ยงอย่างไร? และควรค่าแก่การใช้งานหรือไม่? บทความนี้มีคำตอบให้คุณ
ในกรณีนี้ ตารางและอัตราการลงเงินของระบบมาร์ติงเกลคำนวณเพื่อให้เพิ่มกำไรสุทธิต่อสเต็ปเพียง $0.8
จะเห็นจากตารางว่ากำไรที่ได้รับจากการใช้ระบบมาร์ติงเกลค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่สูงมาก การใช้ระบบมาร์ติงเกล นักเทรดหวังว่าการเทรดครั้งใดครั้งหนึ่งในซีรีส์จะปิดกำไรและชดเชยการขาดทุนทั้งหมด
แต่กำไรที่ได้เทียบกับความเสี่ยงถือว่ายังไม่คุ้มค่า อย่างตอนที่ 1 เสี่ยงเพียง $1 และได้กำไร $0.8 ซึ่งก็ดูไม่แย่ แต่พอถึงดีลที่ 3 ความเสี่ยงเพิ่มเป็น $12.56 แต่กำไรสุทธิที่ได้เพียง $3.2 พอดีลที่ 5 ความเสี่ยงเป็น $77.59 แต่กำไรสุทธิแค่ $4 ดีลที่ 7 ต้องเสี่ยงถึง $413.33 เพื่อหวังผลกำไรแค่ $5.6 ขณะที่ดีลที่ 9 เสี่ยง $2119.5 แต่ได้กำไรสุทธิ $7.2
ทั้งนี้ การมองกลยุทธ์มาร์ติงเกลควรมองเป็นภาพรวมของซีรีส์ทั้งหมด ไม่ใช่แยกทีละดีล
อย่างที่เห็น ระบบหรือตัววิธีมาร์ติงเกลต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมากสำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี ไม่ใช่แค่ $10 หรือแม้แต่ $500 ก็อาจไม่พอ — อาจต้องมีเงินทุนสูงถึงหลักหมื่นดอลลาร์ขึ้นไป และถึงแม้จะมีทุนมากขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกำไรได้สม่ำเสมอ
แต่ละสเต็ปของกลยุทธ์มาร์ติงเกลอาจทำกำไรได้ (แม้จะไม่มาก) แต่ก็ต้องแลกกับการที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหวังคืนทุนที่เสียไปทั้งหมด
โอกาสทางคณิตศาสตร์ของระบบมาร์ติงเกลในเกมเสี่ยงโชค ทำให้ความเป็นไปได้ในการชนะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเพิ่มจำนวนรอบเดิมพัน ยิ่งลงหลายครั้ง โอกาสที่จะแพ้ติดต่อกันนาน ๆ ก็ยิ่งลดลง
ตารางข้างต้นเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นในเกมเสี่ยงโชคหรือคาสิโนเท่านั้น เช่น รูเล็ตที่มีแค่สีแดง-สีดำ โดยไม่รวมช่องศูนย์ (0) และให้ผลตอบแทน 100% ของเงินเดิมพัน
สมมติผู้เล่นลงเดิมพันด้วยมาร์ติงเกลกับสีดำ และค่อย ๆ เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่ทายผิด (ออกสีแดง) โอกาสที่จะทายผิดติดกันยาว ๆ นั้นมีอยู่แต่เกิดได้ยากมาก ทำให้ผู้เล่นสามารถคืนทุนพร้อมกำไรได้ในท้ายที่สุดหากทายถูกในรอบใดรอบหนึ่ง คาสิโนหลายแห่งจึงห้ามใช้กลยุทธ์นี้ เนื่องจากอัตราคณิตศาสตร์เอื้อให้ผู้เล่นได้เปรียบ แม้โอกาสเกิดแพ้ยาว 10 ครั้งติดจะมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เราเห็นได้จากตารางเหล่านี้คือ ยิ่งเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนของออปชั่นสูง ความเสี่ยงของเทรดเดอร์ที่ใช้ระบบมาร์ติงเกลยิ่งต่ำลง เช่น ถ้าได้ผลตอบแทน 50% ในดีลที่ 10 ของมาร์ติงเกล เราต้องเสี่ยงสูงถึง $19,683 (รวมยอดเสี่ยงทั้งหมดเกือบ $29,544) แต่ถ้าได้ผลตอบแทน 70% ดีลที่ 10 จะเสี่ยงประมาณ $2,938 (รวมทั้งหมดเกือบ $5,000) และถ้าได้ผลตอบแทน 95% ในดีลที่ 10 จะเสี่ยงราว $647 (รวมเกือบ $1,260)
แต่ถึงอย่างนั้น ความเสี่ยงยังสูงมากอยู่ดี: การยอมเสี่ยง $1,260 เพื่อหวังกำไรแค่ $0.95 อาจไม่คุ้ม และถ้าดีลที่ 10 ก็ยังขาดทุนอีกจะทำอย่างไร?
สูตรคำนวณมาร์ติงเกลคือ:
S = X + Y / K
S – จำนวนเงินสำหรับไม้ถัดไปในระบบมาร์ติงเกล
X – จำนวนเงินไม้แรกที่ใช้เมื่อเริ่มใช้ระบบมาร์ติงเกล
Y – ผลรวมของการลงเงินทั้งหมดในไม้ก่อนหน้า
K – เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน (ในรูปทศนิยม) จากการทำนายที่ถูกต้อง
ดังนั้น หากลงทุนครั้งแรกที่ $1000 และผลตอบแทนของสินทรัพย์อยู่ที่ 80% เราจะได้แต่ละสเต็ปของมาร์ติงเกล (การเพิ่มอัตรา) ดังนี้:
อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์หลายคนมักไม่คำนึงถึงสูตรนี้ กลับใช้สูตรง่าย ๆ แบบ:
S = X * K
โดยที่:
S – จำนวนเงินสำหรับไม้ถัดไปของมาร์ติงเกล
X – จำนวนเงินในไม้ก่อนหน้าของมาร์ติงเกล
K – ค่าตัวคูณ (coefficient) ที่ใช้คูณไม้ก่อนหน้า
ซึ่งค่า K จะถูกกำหนดตามเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน แต่ละคนอาจกำหนดค่าส่วนนี้เอง ตารางด้านล่างคือตัวอย่างค่า K ในเงื่อนไขผลตอบแทนต่าง ๆ (เช่น 50%, 70%, 80%, 95% เป็นต้น):
จะเห็นได้ว่า เมื่อใช้สูตรนี้ ทุกครั้งที่เพิ่มไม้ (หรือเพิ่มเงินเดิมพัน) กำไรสุทธิที่ได้ต่อออปชั่นจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนเงินที่ใช้ในแต่ละไม้นั้นก็เพิ่มขึ้นเร็วมากเช่นกัน ในดีลที่ 10 ด้วยวิธีนี้ (สมมติผลตอบแทน 75%) คุณอาจต้องใช้เงินกว่า $2,000 (และรวมทั้งหมดราว $3,800) ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะมียอดในบัญชีเทรดมากพอที่จะรับความเสี่ยงขนาดนั้น
บ่อยครั้ง มือใหม่จะจับเอาระบบมาร์ติงเกลไปใส่ในทุกแบบของการเทรด:
หากขาดความรู้ก็เหมือนพิการทางความคิด! น่าเสียดายที่มือใหม่ส่วนใหญ่ยังมีสมอง แต่เดี๋ยวผมจะอธิบายในส่วนท้ายของบทความ ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญที่ควรอธิบายแบบละเอียด ๆ
แล้วสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร: มือใหม่ที่มีทุน $10-50 คิดว่าตัวเองเป็น “ราชาแห่งตลาด” มักเทรดด้วยมาร์ติงเกลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนนักเทรดที่มีประสบการณ์จะเทรดด้วยจำนวนคงที่ (fixed rate) และกวาดเงินบางส่วน (เน้นว่าบางส่วน) จากมือใหม่ ทำไมนักเทรดเก่ง ๆ ถึงไม่ได้เอาเงินทั้งหมดไป? ก็เพราะมือใหม่มีจำนวนมาก และคนที่มีประสบการณ์มีน้อย สุดท้ายแล้วเงินส่วนใหญ่ที่มือใหม่เสียไปก็ตกเป็นของเว็บไซต์ซื้อขายออปชั่นไบนารีอยู่ดี คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ยากเกินจะเข้าใจ
กลับมาที่มือใหม่ (ซึ่งยังใหม่กับการเทรดออปชั่นไบนารี) สมัยก่อนผมเองก็เคยเชื่อว่าระบบมาร์ติงเกลนี่แหละคือ “ถ้วยทองคำ” ที่จะเล่นงานโบรกเกอร์ออปชั่นไบนารีได้อย่างง่ายดาย ผมพร้อมจะเถียงหัวชนฝาเพื่อปกป้องความเชื่อนี้ (ตอนนั้นโง่มาก พูดตรง ๆ เลย) ทำไมถึงคิดแบบนั้นน่ะเหรอ?
ในช่วงเวลานั้น ผมเองเหมือนนักเทรดมือใหม่คนอื่น ๆ อีกหลายคน ที่คอยคิดภาพสวยหรูอยู่ระหว่างสองอย่าง:
ไม่ใช่ว่าผมเป็นบ้าหรือเป็นคนไม่ดี แต่ความกลัวที่จะขาดทุนจาก “ร่องรอย” ที่ระบบมาร์ติงเกลสร้างขึ้นนั้น ทำให้ผมแทบไม่อยากเทรดอีกเลย ผมต้องใช้เวลานานมาก แถมต้องข่มใจตัวเองอย่างหนัก เพื่อกลับมาเทรดอีกครั้ง แต่นั่นคือเรื่องของผม สำหรับบางคนอาจง่ายหรือยากกว่านี้
สภาพ “ฉันคือเศรษฐี” พบได้ในตัวนักเทรดมือใหม่ทุกคน เพราะมันเทรดง่ายกว่าถ้าคุณหลอกตัวเองว่าทุกเมื่อ เมื่อใดที่เทรดชนะ คุณจะได้เงินที่เสียไปทั้งหมดกลับมา ไหน ๆ เราก็มาเทรดออปชั่นไบนารีเพื่ออะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อ “เงิน”!
“หาเงิน!” “เอากำไร!” ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ผลักดันเราในช่วงแรก ๆ และระบบมาร์ติงเกลก็เหมือนเปิดทางให้ถึงเป้าหมายนั้นได้ แม้จะเป็นแค่ทฤษฎีก็ตาม แต่ความจริงการเทรดไม่ใช่แค่นั้น
สมัยหนึ่ง ผมเองก็ติดใจระบบมาร์ติงเกลมาก ผมเรียนด้าน Programming และมีวิชาสถิติความน่าจะเป็น (Probability Theory) ซึ่งตามทฤษฎีนี้ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีไม่มาก หากเทียบในภาวะเงื่อนไขเท่ากัน เช่น ถ้าคุณโยนเหรียญ โอกาสที่จะออกหัวติด ๆ กันจะหยุดลงสักครั้ง ยิ่งโยนนาน โอกาสที่ครั้งถัดไปจะออกก้อยก็ยิ่งมากขึ้น
ระบบมาร์ติงเกลก็ทำงานแบบเดียวกัน ตารางความน่าจะเป็นที่ผมแสดงก่อนหน้านี้ก็แสดงโอกาสในฝั่งเรา แต่ระบบนี้ใช้ได้ดีในเกมเสี่ยงโชค ขณะที่การเทรดมีปัจจัยซับซ้อนกว่านั้นมาก
George Soros เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่สำคัญว่าคุณจะทายถูกหรือผิดสำคัญที่คุณจะเสียเงินเท่าไหร่ตอนที่ผิด และได้เท่าไหร่ตอนที่ถูก!” ในการเพิ่มอัตรา เวลาคุณทายถูก คุณได้กำไรไม่มาก แต่พอทายผิด คุณเสี่ยงที่จะเสียหมด
คุณจะผิดบ่อยแค่ไหน? สำหรับการใช้ระบบเพิ่มอัตรา – ก็ผิดบ่อยแหละ! นักเทรดจะทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อยังมีทุนเหลือให้เทรดในวันพรุ่งนี้ ถ้าทุนหมดในบัญชีก็จบกัน
ไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ให้สัญญาณถูกต้อง 100% ในการคาดการณ์ทิศทางราคา – ย่อมมีโอกาสผิดพลาดเสมอ คุณอาจคิดว่าโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่อย่าลืมว่าที่พอร์ตร่วงตอนใช้มาร์ติงเกลก็มาจากโอกาสเหล่านี้ทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าคุณใช้กลยุทธ์การเทรดที่มีสถิติ 10 ปีว่าใน 100 ครั้ง ชนะ 80 ครั้ง ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีช่วงแพ้รวด 20 ครั้งติด ก่อนที่จะชนะ 80 ครั้งถัดมา สถิติยังคงเดิม คุณยังคงบอกได้ว่ากลยุทธ์ให้ผล 80% แต่ไม่มีใครรู้ลำดับเวลาของการแพ้-ชนะ หากดันแพ้รวดช่วงแรก ก็จบสิ้นกันอยู่ดี มันสามารถล้างพอร์ตของคุณได้ง่าย ๆ
นักเทรดมือใหม่คิดแค่ “ฉันจะเปิดดีลด้วยเงิน 82,000 แล้วรับกำไร 75,000 ชดเชยที่ขาดทุนไปวันนี้” ส่วนนักเทรดมีประสบการณ์จะคิดแบบอื่น: “ฉันขาดทุนวันนี้ ถ้าอีกดีลแพ้อีกล่ะ? หรือควรหยุดก่อนดี?” เห็นความต่างไหม? มือใหม่เมามันกับเงินที่ยังไม่ได้รับ ส่วนนักเทรดมีประสบการณ์ห่วงเงินที่เหลืออยู่จริง ๆ
ก่อนเปิดดีลด้วยมาร์ติงเกล ถามตัวเอง:
เชื่อว่าคนที่เทรดด้วยมาร์ติงเกลคงคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้:
คิดหรือว่าถ้าเทรดตามเทรนด์แล้วจะไม่ล้างพอร์ตด้วยมาร์ติงเกล? เปล่าเลย
ก็เพราะในหัวพวกเขาว่างเปล่า (ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเทรด) และพยายามหาอะไรมาเติมเต็ม เปิดยูทูบช่องแรก ๆ ที่โผล่มา “กูรูนักเทรด” บางคนก็จะเริ่มสอนให้คุณเทรดด้วยมาร์ติงเกล
นักเทรด “กูรู” เหล่านั้นจะบรรยายสรรพคุณของระบบเพิ่มอัตรา เน้นว่าคุณจะ “ได้กำไรเสมอถ้าใช้ระบบนี้” มือใหม่ซึ่งไม่มีฐานความรู้ ก็เชื่อไปเต็ม ๆ อันที่จริงมันเถียงได้ยาก เพราะเหตุผลแบบ:
ที่น่าขำคือ ถ้าคุณเปิดดีลตามสีแท่งเทียน มันก็พอทำเงินได้อยู่หรอก — ถ้าคุณเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์พอที่จะไม่ลงหมดหน้าตักเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย!
แต่บรรดานักเทรดมือใหม่ผู้รักมาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตรา อาจโดนซีรีส์ขาดทุนติดกันได้ไม่ยาก: ในตัวอย่างนี้ แพ้ติดกัน 8 ครั้ง ครั้งที่ 9 จึงชนะ ผมหาตัวอย่างนี้มาได้ใน 15 วินาที ลองถามตัวเองว่า บัญชีเทรดคุณทนมาร์ติงเกล 9 ไม้ได้ไหม? เริ่มต้นที่ $1 พอถึงไม้ที่ 9 คุณต้องใช้เงิน $878 และต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย $3600 เพื่อเอาอยู่ ทั้งหมดนี้เพื่อหวังจะได้กำไร “หนึ่งดอลลาร์” ซึ่งปัจจุบันแทบซื้อหมากฝรั่งไม่ได้
แล้วถ้าเริ่มที่ $5 หรือ $10 ล่ะ? ผมค่อนข้างมั่นใจว่าบัญชีคุณคงไปไม่ถึงไม้ที่ 9 ด้วยซ้ำ ส่วนมากก็คงล้างที่ไม้ 5 หรือ 6 เสียก่อน แล้วคนแบบไหนที่มักใช้มาร์ติงเกลกันล่ะ? แน่นอน คนที่ “โลภ” จัด ไม่อยากยอมเสียอะไรให้โบรกเกอร์เลย ผมเข้าใจเพราะเคยเป็นเหมือนกัน — ใครจะอยากให้เงินคนอื่นง่าย ๆ แต่เราควรกลับมาประเด็นหลักของบทนี้ต่อดีกว่า
เพราะกิจกรรมส่วนตัว ผมเจอนักเทรดที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ่อย แต่บ่อยกว่านั้นคือผมเจอคนที่ไม่มีประสบการณ์เป็นของตัวเอง เลยต้องพึ่งประสบการณ์คนอื่น “ขอสัญญาณเทรดหน่อยเถอะ คุณเก่งนี่ ไงก็ส่งสัญญาณเทรดมาให้บ้างสิ จะได้เลิกตามตื๊อ ง่าย ๆ แค่นี้เอง เป็นพระคุณมาก”
ผมไม่ค่อยชอบแนวคิดสัญญาณ (signals) เพราะผมมองว่านักเทรดควรลงมือเทรดเอง เพื่อรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น แต่ช่างเถอะ ประเด็นคือมีคนให้สัญญาณเยอะมากในตอนนี้ ถุยน้ำลายข้างเดียวก็อาจโดน “signal providers” เป็นโหล และคนเหล่านี้ก็จะสอนให้คุณใช้มาร์ติงเกลอีกด้วย แต่เขาจะให้ใช้ “แบบมีเทคนิค” คือต้องระวังให้ดี!
- นี่ไง Olymp Trade – โบรกเกอร์ใหม่ของคุณ!
- ลิงก์นี้แหละที่คุณต้องสมัคร ไม่งั้นไม่ได้เข้ากลุ่มสัญญาณ!
- เอ้า ตอนนี้ไปเติมเงินในบัญชีให้ยอดสวย ๆ หน่อย!
- เตรียมพร้อมรับสัญญาณเลย!
- สัญญาณแพ้? ก็ให้เข้าสูตรมาร์ติงเกลถึงไม้ 9 ไง!
- อ้าว เงินไม่พอเหรอ? ก็ปัญหาของคุณนะ เอาเงินมาเพิ่มสิ!
- บ่นว่าสัญญาณไม่ดีเหรอ? ได้ งั้นบล็อกคุณเลย อย่ามาทำให้คนอื่นรู้สิว่ามันไม่ดี! ถ้าใครตามไม่ทัน แต่นี่คือกระบวนการหลอกล่อให้คุณเอาเงินไปแบ่งระหว่างโบรกเกอร์กับคนให้สัญญาณ ไม่มีใครสนใจว่าคุณจะกำไรหรือไม่ คุณมาหาเขาเองนี่ อย่าแปลกใจว่าทำไมเงินคุณถึงหายไป คนสองฝ่ายกอดคอกันเอาเงินคุณ แต่ไม่แบ่งให้คุณเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเข้ากลุ่มสัญญาณแล้วบ่อยครั้งคุณก็ต้องใช้มาร์ติงเกล เพราะสัญญาณถูกส่งมามั่วนิ่มจนคุณไม่รู้จะทำยังไงนอกจาก “ทบ” ไปเรื่อย ๆ : - นี่สัญญาณตัวแรกนะ จัดเลย!
- ราคาเคลื่อนสวนทางอีกแล้ว เพิ่มอัตราซะ!
- นี่ไม้ที่ 3 กับสัญญาณเดิม!
- สัญญาณก่อนหน้าไม่เข้า งั้นเปิดดีลใหม่ที่ไม้ 4 ของมาร์ติงเกลเลย!
ทำแบบนี้ไปไม่รู้จบ ตราบใดที่เงินในพอร์ตยังไม่หมด แต่กลับมาที่พวก “กูรูเทรด” กับคลิปที่พวกเขาทำ
คุณจะสังเกตเห็นว่าทุกคลิปของคนพวกนี้จะดูสวยหรู ทำกำไรได้ง่ายดาย แถมบางคนยังพูดเย้ยคุณอีกว่า “เห็นไหม เทรดด้วยมาร์ติงเกล แค่ 10 นาทีก็ได้เงินเท่าทั้งปี! ถ้านายไม่กล้า ก็ไปกวาดถนนหรือไปเก็บขี้หมาเถอะ ฉันจะกอบโกยเงินตอนที่แกยังจน!” ผมเคยทำวิดีโอเกี่ยวกับ “กูรู” แนวนี้เหมือนกัน โดยในคลิปนั้นคุณกูรูเกือบล้างพอร์ตไปต่อหน้าด้วยซ้ำ
แล้วถ้าดีลมันไม่เข้า จนพอร์ตแตกจะเป็นไง? นั่นก็คงไม่ใช่วิดีโอโปรโมตสินะ เพราะใครอยากโชว์ว่าตัวเองเสียเงิน 100,000 ดอลลาร์ในไม่กี่นาทีล่ะ? แน่นอนว่าพวก “กูรู” จะไม่เอาเทปนั้นมาออกสื่อหรอก — เขาต้องการโชว์ว่าการเทรดนั้นง่ายและได้กำไร ขอแค่ใช้มาร์ติงเกลแล้วคุณก็จะไม่เห็นหน้าบัญชีตัวเองอีกเลย! ถ้าพวกเขาโชว์แต่การเทรดที่กำไร นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาปกปิดบางอย่างอยู่! ในการเทรดจริงไม่มีใครกำไรตลอด ย่อมมีวันที่ขาดทุนบ้าง ทุกคนล้วนเจอ ไม่ว่าจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน — ตลาดมันไม่ปรานีใคร
แล้วใครกันที่ได้ประโยชน์จากการสอนให้คุณใช้ระบบบริหารเงินแบบมาร์ติงเกล? พอเราล้มลุกคลุกคลานผ่านประสบการณ์ เราก็ได้รู้มากขึ้นเทียบกับช่วงแรก ๆ ที่วงการออปชั่นไบนารียังปั่นป่วน โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็หาทางเรียกลูกค้าหลายวิธี ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีโบรกเกอร์บางเจ้าที่จ่ายเงินให้ “กูรู” เพื่อสร้างคอนเทนต์มาหลอกคุณ ด้วยการโชว์ “ความน่าอัศจรรย์” ของมาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตรา ในการเทรดออปชั่นไบนารี แถมยังโปรโมตกันเต็มที่จนคุณแทบไม่มีโอกาสเจอ “นักเทรดตัวจริง” เลย
แต่มาร์ติงเกลไม่ใช่สิ่งเดียวที่เผยให้เห็น “กูรูรับจ้าง” เหล่านี้ เพราะพวกเขายังปิดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่าง หากใครสงสัยและตั้งคำถาม จะถูกบล็อกทันที เพราะต้องการให้คอมเมนต์เป็นเชิงบวก เพื่อให้นักเทรดมือใหม่ยังคงเชื่อในเทพนิยายที่พวกเขาสร้าง
สรุปง่าย ๆ ว่าการใช้ระบบมาร์ติงเกลนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากกับบริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลและผู้ที่ทำงานให้กับพวกเขา คนกลุ่มนี้จะพยายามทุกทางเพื่อให้คุณเชื่อว่านี่คือ “แนวทาง” การเทรดที่ถูกต้อง สุดท้ายคุณก็จะไม่เหลืออะไรเลย
แต่ยังมีคนอีกกลุ่มที่เป็นบล็อกเกอร์และใช้การเพิ่มอัตราเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโบรกเกอร์ ปัญหาคือคนเหล่านี้อาจ “อ่อนประสบการณ์” จนสอนคนอื่นแบบผิด ๆ เพราะพวกเขายังไม่รู้จริง แต่ก็อยากแสดงความเห็นของตัวเอง ถามว่าดีหรือไม่ก็สุดแล้วแต่มุมมอง ผมมองว่าคนที่ไม่เข้าใจการเทรดดีพอ ไม่น่าจะสอนให้คนอื่นหาเงินได้ มันเหมือนกับ “ถ้าอาจารย์เศรษฐศาสตร์ของคุณยังไม่รวยล้าน จะมาสอนให้คุณรวยได้ยังไง?” และนี่แหละ ทำให้เราต้องฟังคนที่มีความรู้จริง ๆ และเรียนรู้จากประสบการณ์เขา ไม่ใช่ฟังพวกที่ปากเก่ง แต่ไม่รู้จริง ปัญหาคือโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่หวังจะหาประโยชน์จากคุณ ทั้งพวก “กูรู” และนักหลอกลวงสารพัดรูปแบบ!
การขาดทุน 3-5 ดีลติดกันบอกเราว่าอาจมีความผิดปกติในตลาด ควรรอดูสถานการณ์เพื่อไม่ให้เพิ่มการขาดทุน วันพรุ่งนี้ยังมีโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการทำกำไร
การใช้เงินจำนวนคงที่สอนให้เรา “ทำในสิ่งที่ควรทำ” เสมอ นอกจากนี้ ยังทำให้การล้างพอร์ตเกิดได้ยาก และลดแรงกดดันทางจิตใจ เพราะไม่มีการไล่เพิ่มเงินทุกครั้งที่ขาดทุน
การกำหนดขีดจำกัดการขาดทุน (loss limit) สำคัญมาก เมื่อผลการเทรดไม่แน่นอน สลับกันแพ้-ชนะ จนยอดเงินค่อย ๆ ลดลง ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้เสียมากเกินไปเมื่อสภาวะตลาดไม่อำนวย
การกำหนดเป้าหมายกำไร (profit limit) ช่วยป้องกัน “overtrading” และลดอารมณ์ที่ไม่จำเป็น การกำหนดจำนวนเทรดต่อวันก็มีประโยชน์เช่นกัน จำกัดจำนวนครั้งในการเทรด และส่งผลดีต่อบัญชีเทรดของคุณ
จะเห็นได้ว่ากฎทั้งหมดนี้ทั้งสมเหตุสมผลและมีประโยชน์ แล้วมาดูกันว่าเมื่อเรานำระบบมาร์ติงเกลมาวิเคราะห์ในมุมของการบริหารเงินทุนที่ถูกต้องจะเป็นอย่างไร:
กฎของการบริหารความเสี่ยงเหล่านี้เองที่เป็นตัวตัดสินว่านักเทรดจะทำกำไรได้ หรือจะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ใครที่บริหารเงินทุนไม่ได้ ก็ไม่เหมาะจะอยู่ในวงการเทรด!
จิตวิทยาการเทรดคือส่วนที่ช่วยให้นักเทรดควบคุมอารมณ์ได้ หรืออาจเรียกว่า “ตัดอารมณ์ออกไปจากการเทรด” ให้ได้มากที่สุด ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้การเทรดไม่มีสิ่งรบกวนที่ไม่จำเป็น
ผมค้นพบว่าศัตรูตัวฉกาจของผมคือ “ตัวผมเอง” เราคือที่มาของปัญหาส่วนใหญ่ในการเทรด เคยคิดไหมว่า “ถ้าวันนั้นฉันไม่หัวร้อน ก็คงไม่ขาดทุนแบบนี้” หรือ “ฉันเปิดดีลด้วยอารมณ์โกรธ ถ้าฉันใจเย็นก่อนก็ดีกว่า” คนที่โมโหแล้วพูดอะไรไม่คิดก็ไม่ต่างจากนักเทรดที่ลงมือเทรดแบบไร้การวิเคราะห์เพราะอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
จิตวิทยาการเทรดจึงมีหน้าที่ทำให้นักเทรดเรียนรู้วิธีสลัดอารมณ์ทิ้ง และโฟกัสที่การเทรดและสัญญาณ 100%
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของนักเทรดคือ “ความกลัว” คือกลัวเสียเงิน เพราะเราคาดหวังกับมันมาก ความกลัวจะบิดเบือนมุมมองให้เราทำอะไรไม่คิด แต่ความกลัวจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ก็เมื่อเราตกใจกับสิ่งที่เกิด หรือพูดอีกแบบ ในการเทรดเราจะกลัวเฉพาะเมื่อเงินที่เราเสี่ยงลงไป “มากเกินกว่าที่เรายอมรับได้”
ถ้าเทรดบัญชีเดโมที่ไม่ใช่เงินเราจริง ๆ เราไม่เคยกลัว แต่พอเป็นเงินเราเอง แม้ $1 เราอาจไม่ค่อยกลัวเพราะมันน้อยกว่าสิ่งที่เราใช้จ่ายประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเปิดดีล 10,000 ดอลลาร์ คุณจะเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของราคาด้วยความกังวล
ก็เท่ากับว่า เรื่องมันอยู่ที่ “จำนวนเงิน” ที่เราเปิดดีล แล้วระบบมาร์ติงเกลให้เราเจออะไรบ้าง?
ระบบมาร์ติงเกลไม่ให้คุณเทรดด้วยจำนวนคงที่ ทำให้คุณไม่สามารถอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบเดิมได้ทุกดีล บางดีลได้กำไรก็ฟิน บางครั้งขาดทุนติดกันก็อาจสูญเงินทั้งหมด สุดท้ายถ้าล้างพอร์ต คุณต้องโทษตัวเอง เพราะคุณเป็นคนอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น!
บางคนอาจเถียงว่า ระบบมาร์ติงเกลก็ทำให้มี “วินัย” เช่นกัน เพราะพอขาดทุน ดีลถัดไปก็ต้องเปิดเป็นสองเท่า ผมบอกเลยว่า นั่นไม่ใช่วินัย แต่มันเป็น “ความอยากเอาคืน”
วินัยมีไว้เพื่อให้คุณทำกำไรได้สม่ำเสมอ แต่จะเรียกว่ามีวินัยได้อย่างไร ถ้าวันนี้เทรดด้วยมาร์ติงเกลได้กำไร พรุ่งนี้ล้างพอร์ตหมด? การทำสิ่งที่ถูกต้องจะไม่พาคุณไปถึงจุดที่เสียทั้งบัญชี
ตรงกันข้าม ระบบมาร์ติงเกลยิ่งทำให้วินัยพัง:
มีนักเทรดจำนวนหนึ่งที่มั่นใจเกิน 10,000% ว่า “ใช้มาร์ติงเกลได้ แต่ไม่เกินไม้ที่ 3” มันจริงไหม? มาดูกัน
นี่คือตารางการขาดทุนของสามดีลเมื่อคุณเทรดด้วยจำนวนเงินคงที่ (ผลตอบแทนเมื่อทายถูกคือ 75% และใช้เงินเทรด $1 ต่อดีล):
ต่อไปคือตารางขาดทุนเมื่อเทรดด้วยการเพิ่มอัตรา เริ่มที่ $1 เหมือนกัน และผลตอบแทนของออปชั่นเท่ากัน (75%):
ผลลัพธ์คือ:
เราไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล แค่ใช้ Excel สร้างการเทรดของนักเทรดสมมุติขึ้นมา ตั้งเงื่อนไขดังนี้:
ในภาพมี 3 ช่วงที่ขาดทุน 3 ดีลติดกัน ลองมาคำนวณ:
ดีลทั้งหมด 100 ดีล หักดีลที่ขาดทุน 9 ดีล เหลือ 91 ดีลที่ “ต้อง” เอามาใช้คืนทุน จากกฎข้างบน เราต้องชนะ 36 ดีลเพื่อชดเชยการขาดทุนที่เกิดขึ้น ในตัวอย่างนี้ เรามี 30 ดีลแรกที่ชนะทันที และอีก 25 ดีลที่ชนะในไม้ 2 และไม้ 3 ของมาร์ติงเกล สรุปกำไรสุทธิเทียบเท่าดีลชนะ 19 ดีล ดูเหมือนไม่แย่นัก ไปต่อกัน
สภาวะเดียวกัน คราวนี้มีแถวที่แพ้ติดกัน 6 ช่วง:
ขาดทุนรวม 18 ดีล เหลือ 82 ดีลจาก 100 ดีล ต้องคูณ 6 ด้วย 12 = 72 ดีลที่ต้องชนะเพื่อพลิกเป็นกำไร แต่เรามีแค่ 36 ดีลที่ชนะรวม ๆ ทั้งไม้ 1, 2, และ 3 สรุปเหลือแค่ครึ่งที่ชดเชยได้ เราขาดทุนเทียบเท่าการเสีย 36 ดีล ลองอีกรอบ
คราวนี้มีทั้งหมด 100 ดีล แพ้ 42 ดีล ในจำนวนนั้นมีแถวที่แพ้ติดกันเกิน 3 ดีลอยู่ 4 ชุด:
100 - 42 = 58 ดีลที่ชนะ ซึ่งเราต้องใช้ 48 ดีลมาชดเชยการแพ้ติดต่อกัน สรุปกำไรสุทธิเทียบเท่าการชนะ 10 ดีล
ผลลัพธ์รวมคือ:
ปัญหาอีกอย่างคือ ไม่ใช่ทุกคนจะหยุดที่ 3 ไม้ โดยเฉพาะถ้า “อยากเอาคืน” แล้วลามไปไม้ 4 ไม้ 5 ไม้ 7... ไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด
กลยุทธ์การเทรดใด ๆ ที่ชนะเกิน 60% ก็น่าจะสร้างกำไรได้ถ้าใช้จำนวนคงที่ แต่ไม่รับประกันว่าใช้มาร์ติงเกลจะกำไร ผมแนะนำอย่างหนักแน่นว่าอย่า “เล่นกับไฟ” ทั้งแบบ “3 ไม้” หรือ “ครั้งสุดท้าย” อะไรก็แล้วแต่
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมาร์ติงเกลมีความเสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของผมคือเตือนคุณ คุณมีสมองของตัวเอง เลือกเองว่าจะทำหรือไม่ทำ
เหตุผลหลักที่ผมคัดค้านการใช้มาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตราในการเทรด:
จัดการเทรดสัก 100-200 ดีล ครั้งละ 1 ดอลลาร์ และจดบันทึกผลลงในไดอารี่ จำกัดไม่เกิน 30 ดีลต่อวัน คุณจะพบว่า:
ผู้ช่วยหลักในการเปลี่ยนผ่านจากมาร์ติงเกลไปสู่การเทรดจำนวนคงที่คือตัวคุณเอง และความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และปรับปรุง ยิ่งคุณอยากก้าวหน้าเร็วเท่าไร คุณก็ปรับตัวได้เร็วเท่านั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ ลงมือทำเลย!
เนื้อหา
- ระบบและวิธีมาร์ติงเกลคืออะไร?
- มาร์ติงเกลในเกมเสี่ยงโชคและคาสิโน
- ตารางวิธีมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ระบบมาร์ติงเกลและเครื่องคำนวณการเพิ่มอัตราออนไลน์สำหรับออปชั่นไบนารี
- สูตรคำนวณมาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
- วิธีใช้ระบบมาร์ติงเกลและระบบเพิ่มอัตราในออปชั่นไบนารี
- เหตุผลที่มาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตราไม่เวิร์คในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ใครได้ประโยชน์จากระบบเดิมพันและกลยุทธ์มาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
- ทำไมนักเทรดถึงสูญเงินฝากเมื่อเทรดด้วยระบบเพิ่มอัตราและมาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
- ข้อดีของกลยุทธ์มาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
- ข้อเสียของการเพิ่มอัตราและกลยุทธ์มาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
- ควรใช้ระบบมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารีหรือไม่
- วิธีเลิกใช้มาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
- สรุปเกี่ยวกับมาร์ติงเกล
ระบบและวิธีมาร์ติงเกลคืออะไร?
ระบบและวิธี (กลยุทธ์) มาร์ติงเกล เป็นแนวทางบริหารเงินที่นักเทรดออปชั่นไบนารีหลายคนนิยมใช้ หลักการคือ เมื่อคุณเทรดแพ้ การเทรดครั้งถัดไปจะเปิดด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น เพื่อให้กำไรจากการเทรดชนะครั้งนั้นครอบคลุมการขาดทุนที่ผ่านมาทั้งหมด และเมื่อการเทรดที่ได้กำไรเกิดขึ้น ซีรีส์การเทรดจะ “รีเซ็ต” กลับไปเริ่มจากจำนวนลงทุนขั้นต่ำอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถเปิดหลายดีลโดยใช้ระบบมาร์ติงเกล สมมติว่าคุณกำลังเทรดกับแพลตฟอร์มเทรดออปชั่นไบนารีที่ให้ผลตอบแทน 80% และเริ่มด้วยการลงทุน $1:- ดีลที่ 1: $1
- ดีลที่ 2: $3.25
- ดีลที่ 3: $8.31
- ดีลที่ 4: $19.7
- ดีลที่ 5: $45.33
- ดีลที่ 6: $103
- ดีลที่ 7: $232.74
- ดีลที่ 8: $524.67
- ดีลที่ 9: $1181.51
จำนวนครั้ง | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
จำนวนเงินที่ลง | 1$ | 3.25$ | 8.31$ | 19.7$ | 45.33$ | 103$ | 232.74$ | 524.67$ | 1181.51$ |
ขาดทุนเมื่อทายผิด | 1$ | 4.25$ | 12.56$ | 32.26$ | 77.59$ | 180.59$ | 413.33$ | 938$ | 2119.5$ |
กำไรต่อการทำนายถูก | 0.8$ | 2.6$ | 6.648$ | 15.76$ | 36.264$ | 82.4$ | 186.192$ | 419.736$ | 945.208$ |
กำไรสุทธิ | 0.8$ | 1.6$ | 2.398$ | 3.2$ | 4.004$ | 4.81$ | 5.602$ | 6.406$ | 7.208$ |
ในกรณีนี้ ตารางและอัตราการลงเงินของระบบมาร์ติงเกลคำนวณเพื่อให้เพิ่มกำไรสุทธิต่อสเต็ปเพียง $0.8
จะเห็นจากตารางว่ากำไรที่ได้รับจากการใช้ระบบมาร์ติงเกลค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่สูงมาก การใช้ระบบมาร์ติงเกล นักเทรดหวังว่าการเทรดครั้งใดครั้งหนึ่งในซีรีส์จะปิดกำไรและชดเชยการขาดทุนทั้งหมด
แต่กำไรที่ได้เทียบกับความเสี่ยงถือว่ายังไม่คุ้มค่า อย่างตอนที่ 1 เสี่ยงเพียง $1 และได้กำไร $0.8 ซึ่งก็ดูไม่แย่ แต่พอถึงดีลที่ 3 ความเสี่ยงเพิ่มเป็น $12.56 แต่กำไรสุทธิที่ได้เพียง $3.2 พอดีลที่ 5 ความเสี่ยงเป็น $77.59 แต่กำไรสุทธิแค่ $4 ดีลที่ 7 ต้องเสี่ยงถึง $413.33 เพื่อหวังผลกำไรแค่ $5.6 ขณะที่ดีลที่ 9 เสี่ยง $2119.5 แต่ได้กำไรสุทธิ $7.2
ทั้งนี้ การมองกลยุทธ์มาร์ติงเกลควรมองเป็นภาพรวมของซีรีส์ทั้งหมด ไม่ใช่แยกทีละดีล
อย่างที่เห็น ระบบหรือตัววิธีมาร์ติงเกลต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมากสำหรับการเทรดออปชั่นไบนารี ไม่ใช่แค่ $10 หรือแม้แต่ $500 ก็อาจไม่พอ — อาจต้องมีเงินทุนสูงถึงหลักหมื่นดอลลาร์ขึ้นไป และถึงแม้จะมีทุนมากขนาดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกำไรได้สม่ำเสมอ
แต่ละสเต็ปของกลยุทธ์มาร์ติงเกลอาจทำกำไรได้ (แม้จะไม่มาก) แต่ก็ต้องแลกกับการที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหวังคืนทุนที่เสียไปทั้งหมด
มาร์ติงเกลในเกมเสี่ยงโชคและคาสิโน
ระบบมาร์ติงเกล (Marnegale system) และวิธีมาร์ติงเกล ถูกคิดค้นขึ้นมาแรกเริ่มเพื่อใช้ในเกมเสี่ยงโชคและคาสิโน จุดประสงค์คือเพื่อสร้างระบบเดิมพันที่ให้อัตราความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์เอื้อประโยชน์แก่ผู้เล่น แทนที่จะเป็นฝั่งเจ้ามือ ในสถานการณ์ที่มีโอกาสออกผลถูกหรือผิดเกือบ 50/50 ระบบนี้จะทำให้อัตราการชนะของผู้เล่นเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งที่ลงเดิมพันลำดับการลงทุน | จำนวนเงินที่ลงทุน | ยอดการลงทุนรวม | ความน่าจะเป็นของการทำนายที่ได้กำไร | ความน่าจะเป็นของการทำนายที่ขาดทุน |
1 | 1 | 1 | 48,6% | 51,4% |
2 | 2 | 3 | 72,9% | 27,1% |
3 | 4 | 7 | 85,7% | 14,3% |
4 | 8 | 15 | 92,5% | 7,5% |
5 | 16 | 31 | 96,0% | 4% |
6 | 32 | 63 | 97,9% | 2,1% |
7 | 64 | 127 | 98,9% | 1,1% |
8 | 128 | 255 | 99,4% | 0,6% |
9 | 256 | 511 | 99,7% | 0,3% |
10 | 512 | 1023 | 99,8% | 0,2% |
โอกาสทางคณิตศาสตร์ของระบบมาร์ติงเกลในเกมเสี่ยงโชค ทำให้ความเป็นไปได้ในการชนะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเพิ่มจำนวนรอบเดิมพัน ยิ่งลงหลายครั้ง โอกาสที่จะแพ้ติดต่อกันนาน ๆ ก็ยิ่งลดลง
ตารางข้างต้นเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นในเกมเสี่ยงโชคหรือคาสิโนเท่านั้น เช่น รูเล็ตที่มีแค่สีแดง-สีดำ โดยไม่รวมช่องศูนย์ (0) และให้ผลตอบแทน 100% ของเงินเดิมพัน
สมมติผู้เล่นลงเดิมพันด้วยมาร์ติงเกลกับสีดำ และค่อย ๆ เพิ่มเงินเดิมพันเป็นสองเท่าทุกครั้งที่ทายผิด (ออกสีแดง) โอกาสที่จะทายผิดติดกันยาว ๆ นั้นมีอยู่แต่เกิดได้ยากมาก ทำให้ผู้เล่นสามารถคืนทุนพร้อมกำไรได้ในท้ายที่สุดหากทายถูกในรอบใดรอบหนึ่ง คาสิโนหลายแห่งจึงห้ามใช้กลยุทธ์นี้ เนื่องจากอัตราคณิตศาสตร์เอื้อให้ผู้เล่นได้เปรียบ แม้โอกาสเกิดแพ้ยาว 10 ครั้งติดจะมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ตารางมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
ในออปชั่นไบนารี เราไม่ค่อยเห็นเปอร์เซ็นต์การจ่ายผลตอบแทน 100% ส่วนใหญ่เว็บไซต์ซื้อขายออปชั่นไบนารีจะให้กำไรตั้งแต่ 65% ถึง 95% การใช้ระบบมาร์ติงเกลหรือ “การเพิ่มอัตรา” จะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนด้วย ตารางมาร์ติงเกลสำหรับออปชั่นที่ให้ผลตอบแทน 75%:จำนวนครั้ง | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
จำนวนเงินที่ลง | 1 | 2,33 | 5,44 | 12,70 | 29,64 | 69,16 | 161,38 | 376,56 | 878,65 | 2050,18 |
ยอดรวมเงินที่ลง | 1,00 | 3,33 | 8,78 | 21,48 | 51,12 | 120,29 | 281,67 | 658,24 | 3587,06 | 3587,06 |
กำไรต่อการทำนายถูก | 0,75 | 1,75 | 4,08 | 9,53 | 22,23 | 51,87 | 121,04 | 282,42 | 658,99 | 1537,63 |
กำไรสุทธิ | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 | 0,75 |
สิ่งที่เราเห็นได้จากตารางเหล่านี้คือ ยิ่งเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนของออปชั่นสูง ความเสี่ยงของเทรดเดอร์ที่ใช้ระบบมาร์ติงเกลยิ่งต่ำลง เช่น ถ้าได้ผลตอบแทน 50% ในดีลที่ 10 ของมาร์ติงเกล เราต้องเสี่ยงสูงถึง $19,683 (รวมยอดเสี่ยงทั้งหมดเกือบ $29,544) แต่ถ้าได้ผลตอบแทน 70% ดีลที่ 10 จะเสี่ยงประมาณ $2,938 (รวมทั้งหมดเกือบ $5,000) และถ้าได้ผลตอบแทน 95% ในดีลที่ 10 จะเสี่ยงราว $647 (รวมเกือบ $1,260)
แต่ถึงอย่างนั้น ความเสี่ยงยังสูงมากอยู่ดี: การยอมเสี่ยง $1,260 เพื่อหวังกำไรแค่ $0.95 อาจไม่คุ้ม และถ้าดีลที่ 10 ก็ยังขาดทุนอีกจะทำอย่างไร?
ระบบมาร์ติงเกลและเครื่องคำนวณการเพิ่มอัตราออนไลน์สำหรับออปชั่นไบนารี
หากคุณคำนวณการลงเงินตามวิธีมาร์ติงเกลด้วยตัวเองแล้วยากเกินไป คุณสามารถใช้เครื่องคำนวณต่อไปนี้ได้:สูตรคำนวณมาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
ระบบมาร์ติงเกลเป็นระบบบริหารเงินลงทุน ซึ่งจำนวนการลงเงินแต่ละไม้ถูกคำนวณล่วงหน้าทั้งหมด จึงมีสูตรสำหรับคำนวณการลงเงินในวิธีมาร์ติงเกล ซึ่งเราจะอธิบายดังต่อไปนี้สูตรคำนวณมาร์ติงเกลคือ:
S = X + Y / K
S – จำนวนเงินสำหรับไม้ถัดไปในระบบมาร์ติงเกล
X – จำนวนเงินไม้แรกที่ใช้เมื่อเริ่มใช้ระบบมาร์ติงเกล
Y – ผลรวมของการลงเงินทั้งหมดในไม้ก่อนหน้า
K – เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน (ในรูปทศนิยม) จากการทำนายที่ถูกต้อง
ดังนั้น หากลงทุนครั้งแรกที่ $1000 และผลตอบแทนของสินทรัพย์อยู่ที่ 80% เราจะได้แต่ละสเต็ปของมาร์ติงเกล (การเพิ่มอัตรา) ดังนี้:
- ไม้ที่ 1 = $1000
- ไม้ที่ 2 = 1000 + 1000 / 0.8 = $2250
- ไม้ที่ 3 = 1000 + 3250 / 0.8 = $5062.50
- ไม้ที่ 4 = 1000 + 8312.50 / 0.8 = $11390.63
- ไม้ที่ 5 = 1000 + 19703.13 / 0.8 = $25628.91
- ไม้ที่ 6 = 1000 + 45332.03 / 0.8 = $57665.04
- ไม้ที่ 7 = 1000 + 102997.07 / 0.8 = $129746.34
- ไม้ที่ 8 = 1000 + 232743.41 / 0.8 = $291929.26
- ไม้ที่ 9 = 1000 + 524672.67 / 0.8 = $656840.84
- ไม้ที่ 10 = 1000 + 1181513.50 / 0.8 = $1477891.88
อย่างไรก็ดี เทรดเดอร์หลายคนมักไม่คำนึงถึงสูตรนี้ กลับใช้สูตรง่าย ๆ แบบ:
S = X * K
โดยที่:
S – จำนวนเงินสำหรับไม้ถัดไปของมาร์ติงเกล
X – จำนวนเงินในไม้ก่อนหน้าของมาร์ติงเกล
K – ค่าตัวคูณ (coefficient) ที่ใช้คูณไม้ก่อนหน้า
ซึ่งค่า K จะถูกกำหนดตามเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน แต่ละคนอาจกำหนดค่าส่วนนี้เอง ตารางด้านล่างคือตัวอย่างค่า K ในเงื่อนไขผลตอบแทนต่าง ๆ (เช่น 50%, 70%, 80%, 95% เป็นต้น):
เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนเมื่อทำนายถูก (%) | 0,5 | 0,55 | 0,6 | 0,65 | 0,7 | 0,75 | 0,8 | 0,85 | 0,9 | 0,95 |
ค่าสัมประสิทธิ์ที่ต้องการ | 3,01 | 2,9 | 2,7 | 2,6 | 2,5 | 2,35 | 2,26 | 2,19 | 2,12 | 2,06 |
จะเห็นได้ว่า เมื่อใช้สูตรนี้ ทุกครั้งที่เพิ่มไม้ (หรือเพิ่มเงินเดิมพัน) กำไรสุทธิที่ได้ต่อออปชั่นจะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนเงินที่ใช้ในแต่ละไม้นั้นก็เพิ่มขึ้นเร็วมากเช่นกัน ในดีลที่ 10 ด้วยวิธีนี้ (สมมติผลตอบแทน 75%) คุณอาจต้องใช้เงินกว่า $2,000 (และรวมทั้งหมดราว $3,800) ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะมียอดในบัญชีเทรดมากพอที่จะรับความเสี่ยงขนาดนั้น
วิธีใช้ระบบมาร์ติงเกลและระบบเพิ่มอัตราในออปชั่นไบนารี
โดยส่วนมากแล้ว ระบบการเพิ่มอัตรา (หรือระบบมาร์ติงเกล) จะถูกใช้โดยนักเทรดมือใหม่ เพราะนักเทรดเหล่านี้มองว่าการเทรดถูกเพียงครั้งเดียวจะสามารถคืนทุนทั้งหมดที่เสียไปได้ อย่างน้อยพวกเขาก็คิดแบบนั้น แต่ความจริงแล้วใน 99.999% ของกรณี นักเทรดจะไม่มีเงินในบัญชีเทรดมากพอที่จะเปิดดีลใหม่ด้วยระบบเพิ่มอัตรา ก็ใช่น่ะสิ – คุณได้เห็นตัวเลขแล้วใช่ไหมว่าต้องใช้เงินขนาดไหน? บัญชีเทรดของผมเองก็ทนการขาดทุนหนัก ๆ ติดต่อกันแบบนั้นไม่ได้เหมือนกันบ่อยครั้ง มือใหม่จะจับเอาระบบมาร์ติงเกลไปใส่ในทุกแบบของการเทรด:
- เทรดมั่ว ๆ (เผื่อฟลุก!)
- เทรดแบบมีเหตุผล (สักวันจะชนะและกลับมาได้กำไร! เอาเถอะ โชคดีละกัน…)
- ประยุกต์กับกลยุทธ์การเทรด
- เทรดตามข่าว
- โยนเหรียญเสี่ยงทาย
หากขาดความรู้ก็เหมือนพิการทางความคิด! น่าเสียดายที่มือใหม่ส่วนใหญ่ยังมีสมอง แต่เดี๋ยวผมจะอธิบายในส่วนท้ายของบทความ ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญที่ควรอธิบายแบบละเอียด ๆ
แล้วสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร: มือใหม่ที่มีทุน $10-50 คิดว่าตัวเองเป็น “ราชาแห่งตลาด” มักเทรดด้วยมาร์ติงเกลอย่างสม่ำเสมอ ส่วนนักเทรดที่มีประสบการณ์จะเทรดด้วยจำนวนคงที่ (fixed rate) และกวาดเงินบางส่วน (เน้นว่าบางส่วน) จากมือใหม่ ทำไมนักเทรดเก่ง ๆ ถึงไม่ได้เอาเงินทั้งหมดไป? ก็เพราะมือใหม่มีจำนวนมาก และคนที่มีประสบการณ์มีน้อย สุดท้ายแล้วเงินส่วนใหญ่ที่มือใหม่เสียไปก็ตกเป็นของเว็บไซต์ซื้อขายออปชั่นไบนารีอยู่ดี คิดว่าเรื่องนี้คงไม่ยากเกินจะเข้าใจ
กลับมาที่มือใหม่ (ซึ่งยังใหม่กับการเทรดออปชั่นไบนารี) สมัยก่อนผมเองก็เคยเชื่อว่าระบบมาร์ติงเกลนี่แหละคือ “ถ้วยทองคำ” ที่จะเล่นงานโบรกเกอร์ออปชั่นไบนารีได้อย่างง่ายดาย ผมพร้อมจะเถียงหัวชนฝาเพื่อปกป้องความเชื่อนี้ (ตอนนั้นโง่มาก พูดตรง ๆ เลย) ทำไมถึงคิดแบบนั้นน่ะเหรอ?
ในช่วงเวลานั้น ผมเองเหมือนนักเทรดมือใหม่คนอื่น ๆ อีกหลายคน ที่คอยคิดภาพสวยหรูอยู่ระหว่างสองอย่าง:
- “ฉันเป็นเศรษฐี”
- “ฉันคือคนที่หมดตัวในโลกของออปชั่นไบนารี”
ไม่ใช่ว่าผมเป็นบ้าหรือเป็นคนไม่ดี แต่ความกลัวที่จะขาดทุนจาก “ร่องรอย” ที่ระบบมาร์ติงเกลสร้างขึ้นนั้น ทำให้ผมแทบไม่อยากเทรดอีกเลย ผมต้องใช้เวลานานมาก แถมต้องข่มใจตัวเองอย่างหนัก เพื่อกลับมาเทรดอีกครั้ง แต่นั่นคือเรื่องของผม สำหรับบางคนอาจง่ายหรือยากกว่านี้
สภาพ “ฉันคือเศรษฐี” พบได้ในตัวนักเทรดมือใหม่ทุกคน เพราะมันเทรดง่ายกว่าถ้าคุณหลอกตัวเองว่าทุกเมื่อ เมื่อใดที่เทรดชนะ คุณจะได้เงินที่เสียไปทั้งหมดกลับมา ไหน ๆ เราก็มาเทรดออปชั่นไบนารีเพื่ออะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพื่อ “เงิน”!
“หาเงิน!” “เอากำไร!” ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่ผลักดันเราในช่วงแรก ๆ และระบบมาร์ติงเกลก็เหมือนเปิดทางให้ถึงเป้าหมายนั้นได้ แม้จะเป็นแค่ทฤษฎีก็ตาม แต่ความจริงการเทรดไม่ใช่แค่นั้น
สมัยหนึ่ง ผมเองก็ติดใจระบบมาร์ติงเกลมาก ผมเรียนด้าน Programming และมีวิชาสถิติความน่าจะเป็น (Probability Theory) ซึ่งตามทฤษฎีนี้ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมซ้ำ ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีไม่มาก หากเทียบในภาวะเงื่อนไขเท่ากัน เช่น ถ้าคุณโยนเหรียญ โอกาสที่จะออกหัวติด ๆ กันจะหยุดลงสักครั้ง ยิ่งโยนนาน โอกาสที่ครั้งถัดไปจะออกก้อยก็ยิ่งมากขึ้น
ระบบมาร์ติงเกลก็ทำงานแบบเดียวกัน ตารางความน่าจะเป็นที่ผมแสดงก่อนหน้านี้ก็แสดงโอกาสในฝั่งเรา แต่ระบบนี้ใช้ได้ดีในเกมเสี่ยงโชค ขณะที่การเทรดมีปัจจัยซับซ้อนกว่านั้นมาก
เหตุผลที่ระบบมาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตราใช้ไม่ได้ผลในการเทรดออปชั่นไบนารี
“ตลาดสามารถเคลื่อนไหวตรงข้ามคุณได้นานกว่าที่คุณจะมีเงินมารองรับ” — นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมการเพิ่มอัตราถึงใช้ไม่ได้ผลในการเทรดออปชั่นไบนารี มาลองดูกัน ตลาด (การเคลื่อนของราคา) เกิดจากตัวแปรมากมายมหาศาล:- ธนาคารซื้อหรือขายสินทรัพย์
- ผู้เล่นรายใหญ่ตัดสินใจลงทุนหรือถอนเงินทุนออกจากหุ้น
- “Smart money” ไล่เก็บ stop orders
- ฝูงชนขยับราคาเพราะข่าวที่ไม่ได้คาดคิด
George Soros เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่สำคัญว่าคุณจะทายถูกหรือผิดสำคัญที่คุณจะเสียเงินเท่าไหร่ตอนที่ผิด และได้เท่าไหร่ตอนที่ถูก!” ในการเพิ่มอัตรา เวลาคุณทายถูก คุณได้กำไรไม่มาก แต่พอทายผิด คุณเสี่ยงที่จะเสียหมด
คุณจะผิดบ่อยแค่ไหน? สำหรับการใช้ระบบเพิ่มอัตรา – ก็ผิดบ่อยแหละ! นักเทรดจะทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อยังมีทุนเหลือให้เทรดในวันพรุ่งนี้ ถ้าทุนหมดในบัญชีก็จบกัน
ไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ให้สัญญาณถูกต้อง 100% ในการคาดการณ์ทิศทางราคา – ย่อมมีโอกาสผิดพลาดเสมอ คุณอาจคิดว่าโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่อย่าลืมว่าที่พอร์ตร่วงตอนใช้มาร์ติงเกลก็มาจากโอกาสเหล่านี้ทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าคุณใช้กลยุทธ์การเทรดที่มีสถิติ 10 ปีว่าใน 100 ครั้ง ชนะ 80 ครั้ง ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีช่วงแพ้รวด 20 ครั้งติด ก่อนที่จะชนะ 80 ครั้งถัดมา สถิติยังคงเดิม คุณยังคงบอกได้ว่ากลยุทธ์ให้ผล 80% แต่ไม่มีใครรู้ลำดับเวลาของการแพ้-ชนะ หากดันแพ้รวดช่วงแรก ก็จบสิ้นกันอยู่ดี มันสามารถล้างพอร์ตของคุณได้ง่าย ๆ
นักเทรดมือใหม่คิดแค่ “ฉันจะเปิดดีลด้วยเงิน 82,000 แล้วรับกำไร 75,000 ชดเชยที่ขาดทุนไปวันนี้” ส่วนนักเทรดมีประสบการณ์จะคิดแบบอื่น: “ฉันขาดทุนวันนี้ ถ้าอีกดีลแพ้อีกล่ะ? หรือควรหยุดก่อนดี?” เห็นความต่างไหม? มือใหม่เมามันกับเงินที่ยังไม่ได้รับ ส่วนนักเทรดมีประสบการณ์ห่วงเงินที่เหลืออยู่จริง ๆ
ก่อนเปิดดีลด้วยมาร์ติงเกล ถามตัวเอง:
- ถ้าดีลนี้ขาดทุน คุณจะทำอย่างไร?
- ถ้าเงินในบัญชีไม่พอเปิดดีลถัดไปล่ะ?
เชื่อว่าคนที่เทรดด้วยมาร์ติงเกลคงคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้:
- 1. เทรนด์ขาขึ้นสวยมาก เปิดดีลเลย!
- 2. ราคาย่อลงนิดหน่อย ไม่เป็นไร เรามีมาร์ติงเกลพยุงไว้
- 3. ราคาจะไปชนระดับซัพพอร์ตแล้วเด้งกลับแน่ ๆ ระหว่างนี้ขอเปิดดีลขึ้นอีกสักไม้!
- 4. โอ้โห เทรนด์กลับทาง เปิดไม้มาร์ติงเกลรอบที่ 4!
- 5. เทรนด์จะวิ่งไม่ได้ตลอดหรอก เดี๋ยวต้องกลับแน่!
- 6. นั่นไง มันกลับทิศแล้วจริง ๆ เสียดายดีลของฉันมันยังไกล แต่เอาเถอะ เปิดอีกไม้แล้วกัน!
- 7. ใกล้ละ อีกนิดเดียวราคาต้องกลับแน่ ๆ งั้นฉันเปิดรอบที่ 7 ด้วยมาร์ติงเกล จะได้กำไรเยอะ ๆ เวลาเด้งกลับ!
- 8. ไม่มีทางลงไปมากกว่านี้แล้วล่ะ งั้นใส่สุดตัวเลย! เดี๋ยวได้กำไรเป็นเดือนใน 15 นาที!
คิดหรือว่าถ้าเทรดตามเทรนด์แล้วจะไม่ล้างพอร์ตด้วยมาร์ติงเกล? เปล่าเลย
- 1. มีข่าวออก ราคาทะยานขึ้น ผมเปิดดีลตามขึ้น หวังว่าจะเก็บกำไรบางส่วน
- 2. ราคาย่อ? ก็ปกติแหละ ได้เวลามาร์ติงเกล เปิดดีลลงสิ ใครจะไปรู้ว่าข่าวมันรีแอคเร็วขนาดนี้! ทุกคนก็คงเจอแหละ
- 3. เห้ย ราคาขึ้นอีกแล้ว แสดงว่าตอนแรกเป็นสัญญาณหลอก! ทำไมไม่ทันสังเกตนะ? เปิดดีลขึ้นละกัน ราคาน่าจะไปต่อ
- 4. ย่อลงอีก? เอาล่ะ ครั้งนี้ต้องลงจริงแล้ว ราคาน่าจะหมดแรงไม่ไปต่อ
- 5. ราคาทะลุแนวต้าน (resistance) เดิม! แบบนี้ก็ไม่มีอะไรหยุดมันไปต่อข้างบน เปิดไม้เพิ่มอัตราอีก!
- 6. ไหงย่ออีกล่ะ? หรือทะลุหลอก? ราคายืนเหนือแนวรับแนวต้านไม่ได้? โอเค อย่างน้อยก็อาจได้กำไรตอนราคาลง…
- 7. ผมบอกแล้วว่ามันจะขึ้น! บอกแล้ว!! ทำไมไม่เชื่อตัวเอง? ช่างเถอะ เปิดมาร์ติงเกลตามขึ้นแล้วกัน เดี๋ยวเอาคืนหมด!
- 8. โธ่ ทำไมมันย่อลงอีก!!! หรือว่ามันกำลังเป็นเทรนด์ขาลง? ราคาทะลุจุดสูงก่อนหน้ามาแล้วนี่หว่า! โอเค ฉันต้องทำเงินจากนี่ได้แน่ ๆ มีคนหาว่าฉันเทรดไม่เป็นได้ไง!
- 9. อ๊ากกกกก เงินฉันไปไหน!!! แบบนี้เป็นไปไม่ได้!!! ราคาบ้าบออะไรกัน!!! ฉันทำทุกอย่างถูกต้องนะ!!!
ใครได้ประโยชน์จากระบบเดิมพันและกลยุทธ์มาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
ปรากฏว่า 95% ของนักเทรดเสียเงิน 5% เท่านั้นที่ได้กำไร เป็นสถานการณ์ที่เรารู้กันมานานแล้ว และอย่างที่บอก มือใหม่จำนวนมากชอบใช้ระบบมาร์ติงเกล ทำไมพวกเขาถึงใช้?ก็เพราะในหัวพวกเขาว่างเปล่า (ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเทรด) และพยายามหาอะไรมาเติมเต็ม เปิดยูทูบช่องแรก ๆ ที่โผล่มา “กูรูนักเทรด” บางคนก็จะเริ่มสอนให้คุณเทรดด้วยมาร์ติงเกล
นักเทรด “กูรู” เหล่านั้นจะบรรยายสรรพคุณของระบบเพิ่มอัตรา เน้นว่าคุณจะ “ได้กำไรเสมอถ้าใช้ระบบนี้” มือใหม่ซึ่งไม่มีฐานความรู้ ก็เชื่อไปเต็ม ๆ อันที่จริงมันเถียงได้ยาก เพราะเหตุผลแบบ:
- การแพ้ติดกันตลอดไปเป็นไปไม่ได้
- แค่ครั้งเดียวที่ชนะก็นำเงินที่เสียไปกลับมาได้
- ความเสี่ยงมันสูงมากจนไม่คุ้มกำไร
- แม้การแพ้ติดต่อกันตลอดไปจะเป็นไปไม่ได้จริง แต่ถ้ามันแพ้ยาวกว่าทุนที่คุณมีล่ะ คุณจะหมดสิทธิ์เปิดดีลต่อ
- การเทรดที่ชนะครั้งเดียวจะคืนทุนทุกอย่างก็ต่อเมื่อคุณชนะได้จริง ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น คุณก็ไม่เห็นเงินที่เสียไปอีก
ที่น่าขำคือ ถ้าคุณเปิดดีลตามสีแท่งเทียน มันก็พอทำเงินได้อยู่หรอก — ถ้าคุณเป็นนักเทรดที่มีประสบการณ์พอที่จะไม่ลงหมดหน้าตักเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย!
แต่บรรดานักเทรดมือใหม่ผู้รักมาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตรา อาจโดนซีรีส์ขาดทุนติดกันได้ไม่ยาก: ในตัวอย่างนี้ แพ้ติดกัน 8 ครั้ง ครั้งที่ 9 จึงชนะ ผมหาตัวอย่างนี้มาได้ใน 15 วินาที ลองถามตัวเองว่า บัญชีเทรดคุณทนมาร์ติงเกล 9 ไม้ได้ไหม? เริ่มต้นที่ $1 พอถึงไม้ที่ 9 คุณต้องใช้เงิน $878 และต้องมีเงินในบัญชีอย่างน้อย $3600 เพื่อเอาอยู่ ทั้งหมดนี้เพื่อหวังจะได้กำไร “หนึ่งดอลลาร์” ซึ่งปัจจุบันแทบซื้อหมากฝรั่งไม่ได้
แล้วถ้าเริ่มที่ $5 หรือ $10 ล่ะ? ผมค่อนข้างมั่นใจว่าบัญชีคุณคงไปไม่ถึงไม้ที่ 9 ด้วยซ้ำ ส่วนมากก็คงล้างที่ไม้ 5 หรือ 6 เสียก่อน แล้วคนแบบไหนที่มักใช้มาร์ติงเกลกันล่ะ? แน่นอน คนที่ “โลภ” จัด ไม่อยากยอมเสียอะไรให้โบรกเกอร์เลย ผมเข้าใจเพราะเคยเป็นเหมือนกัน — ใครจะอยากให้เงินคนอื่นง่าย ๆ แต่เราควรกลับมาประเด็นหลักของบทนี้ต่อดีกว่า
เพราะกิจกรรมส่วนตัว ผมเจอนักเทรดที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบ่อย แต่บ่อยกว่านั้นคือผมเจอคนที่ไม่มีประสบการณ์เป็นของตัวเอง เลยต้องพึ่งประสบการณ์คนอื่น “ขอสัญญาณเทรดหน่อยเถอะ คุณเก่งนี่ ไงก็ส่งสัญญาณเทรดมาให้บ้างสิ จะได้เลิกตามตื๊อ ง่าย ๆ แค่นี้เอง เป็นพระคุณมาก”
ผมไม่ค่อยชอบแนวคิดสัญญาณ (signals) เพราะผมมองว่านักเทรดควรลงมือเทรดเอง เพื่อรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น แต่ช่างเถอะ ประเด็นคือมีคนให้สัญญาณเยอะมากในตอนนี้ ถุยน้ำลายข้างเดียวก็อาจโดน “signal providers” เป็นโหล และคนเหล่านี้ก็จะสอนให้คุณใช้มาร์ติงเกลอีกด้วย แต่เขาจะให้ใช้ “แบบมีเทคนิค” คือต้องระวังให้ดี!
- นี่ไง Olymp Trade – โบรกเกอร์ใหม่ของคุณ!
- ลิงก์นี้แหละที่คุณต้องสมัคร ไม่งั้นไม่ได้เข้ากลุ่มสัญญาณ!
- เอ้า ตอนนี้ไปเติมเงินในบัญชีให้ยอดสวย ๆ หน่อย!
- เตรียมพร้อมรับสัญญาณเลย!
- สัญญาณแพ้? ก็ให้เข้าสูตรมาร์ติงเกลถึงไม้ 9 ไง!
- อ้าว เงินไม่พอเหรอ? ก็ปัญหาของคุณนะ เอาเงินมาเพิ่มสิ!
- บ่นว่าสัญญาณไม่ดีเหรอ? ได้ งั้นบล็อกคุณเลย อย่ามาทำให้คนอื่นรู้สิว่ามันไม่ดี! ถ้าใครตามไม่ทัน แต่นี่คือกระบวนการหลอกล่อให้คุณเอาเงินไปแบ่งระหว่างโบรกเกอร์กับคนให้สัญญาณ ไม่มีใครสนใจว่าคุณจะกำไรหรือไม่ คุณมาหาเขาเองนี่ อย่าแปลกใจว่าทำไมเงินคุณถึงหายไป คนสองฝ่ายกอดคอกันเอาเงินคุณ แต่ไม่แบ่งให้คุณเลยแม้แต่นิดเดียว
พอเข้ากลุ่มสัญญาณแล้วบ่อยครั้งคุณก็ต้องใช้มาร์ติงเกล เพราะสัญญาณถูกส่งมามั่วนิ่มจนคุณไม่รู้จะทำยังไงนอกจาก “ทบ” ไปเรื่อย ๆ : - นี่สัญญาณตัวแรกนะ จัดเลย!
- ราคาเคลื่อนสวนทางอีกแล้ว เพิ่มอัตราซะ!
- นี่ไม้ที่ 3 กับสัญญาณเดิม!
- สัญญาณก่อนหน้าไม่เข้า งั้นเปิดดีลใหม่ที่ไม้ 4 ของมาร์ติงเกลเลย!
ทำแบบนี้ไปไม่รู้จบ ตราบใดที่เงินในพอร์ตยังไม่หมด แต่กลับมาที่พวก “กูรูเทรด” กับคลิปที่พวกเขาทำ
คุณจะสังเกตเห็นว่าทุกคลิปของคนพวกนี้จะดูสวยหรู ทำกำไรได้ง่ายดาย แถมบางคนยังพูดเย้ยคุณอีกว่า “เห็นไหม เทรดด้วยมาร์ติงเกล แค่ 10 นาทีก็ได้เงินเท่าทั้งปี! ถ้านายไม่กล้า ก็ไปกวาดถนนหรือไปเก็บขี้หมาเถอะ ฉันจะกอบโกยเงินตอนที่แกยังจน!” ผมเคยทำวิดีโอเกี่ยวกับ “กูรู” แนวนี้เหมือนกัน โดยในคลิปนั้นคุณกูรูเกือบล้างพอร์ตไปต่อหน้าด้วยซ้ำ
แล้วถ้าดีลมันไม่เข้า จนพอร์ตแตกจะเป็นไง? นั่นก็คงไม่ใช่วิดีโอโปรโมตสินะ เพราะใครอยากโชว์ว่าตัวเองเสียเงิน 100,000 ดอลลาร์ในไม่กี่นาทีล่ะ? แน่นอนว่าพวก “กูรู” จะไม่เอาเทปนั้นมาออกสื่อหรอก — เขาต้องการโชว์ว่าการเทรดนั้นง่ายและได้กำไร ขอแค่ใช้มาร์ติงเกลแล้วคุณก็จะไม่เห็นหน้าบัญชีตัวเองอีกเลย! ถ้าพวกเขาโชว์แต่การเทรดที่กำไร นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาปกปิดบางอย่างอยู่! ในการเทรดจริงไม่มีใครกำไรตลอด ย่อมมีวันที่ขาดทุนบ้าง ทุกคนล้วนเจอ ไม่ว่าจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน — ตลาดมันไม่ปรานีใคร
แล้วใครกันที่ได้ประโยชน์จากการสอนให้คุณใช้ระบบบริหารเงินแบบมาร์ติงเกล? พอเราล้มลุกคลุกคลานผ่านประสบการณ์ เราก็ได้รู้มากขึ้นเทียบกับช่วงแรก ๆ ที่วงการออปชั่นไบนารียังปั่นป่วน โบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็หาทางเรียกลูกค้าหลายวิธี ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีโบรกเกอร์บางเจ้าที่จ่ายเงินให้ “กูรู” เพื่อสร้างคอนเทนต์มาหลอกคุณ ด้วยการโชว์ “ความน่าอัศจรรย์” ของมาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตรา ในการเทรดออปชั่นไบนารี แถมยังโปรโมตกันเต็มที่จนคุณแทบไม่มีโอกาสเจอ “นักเทรดตัวจริง” เลย
แต่มาร์ติงเกลไม่ใช่สิ่งเดียวที่เผยให้เห็น “กูรูรับจ้าง” เหล่านี้ เพราะพวกเขายังปิดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่าง หากใครสงสัยและตั้งคำถาม จะถูกบล็อกทันที เพราะต้องการให้คอมเมนต์เป็นเชิงบวก เพื่อให้นักเทรดมือใหม่ยังคงเชื่อในเทพนิยายที่พวกเขาสร้าง
สรุปง่าย ๆ ว่าการใช้ระบบมาร์ติงเกลนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากกับบริษัทลงทุนออปชั่นดิจิทัลและผู้ที่ทำงานให้กับพวกเขา คนกลุ่มนี้จะพยายามทุกทางเพื่อให้คุณเชื่อว่านี่คือ “แนวทาง” การเทรดที่ถูกต้อง สุดท้ายคุณก็จะไม่เหลืออะไรเลย
แต่ยังมีคนอีกกลุ่มที่เป็นบล็อกเกอร์และใช้การเพิ่มอัตราเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโบรกเกอร์ ปัญหาคือคนเหล่านี้อาจ “อ่อนประสบการณ์” จนสอนคนอื่นแบบผิด ๆ เพราะพวกเขายังไม่รู้จริง แต่ก็อยากแสดงความเห็นของตัวเอง ถามว่าดีหรือไม่ก็สุดแล้วแต่มุมมอง ผมมองว่าคนที่ไม่เข้าใจการเทรดดีพอ ไม่น่าจะสอนให้คนอื่นหาเงินได้ มันเหมือนกับ “ถ้าอาจารย์เศรษฐศาสตร์ของคุณยังไม่รวยล้าน จะมาสอนให้คุณรวยได้ยังไง?” และนี่แหละ ทำให้เราต้องฟังคนที่มีความรู้จริง ๆ และเรียนรู้จากประสบการณ์เขา ไม่ใช่ฟังพวกที่ปากเก่ง แต่ไม่รู้จริง ปัญหาคือโลกนี้เต็มไปด้วยคนที่หวังจะหาประโยชน์จากคุณ ทั้งพวก “กูรู” และนักหลอกลวงสารพัดรูปแบบ!
ทำไมนักเทรดถึงล้างพอร์ตเมื่อเทรดด้วยการเพิ่มอัตราและมาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
การเทรดมี 4 องค์ประกอบสำคัญอย่างมาก:- การจัดการความเสี่ยงหรือการบริหารเงินทุน – คิดเป็นประมาณ 30% ของความสำเร็จในการเทรด
- จิตวิทยาการเทรด – คิดเป็นประมาณ 30% ของความสำเร็จในการเทรด
- วินัยในการเทรด – คิดเป็นประมาณ 30% ของความสำเร็จในการเทรด
- กลยุทธ์ในการเทรด – คิดเป็นประมาณ 10% ของความสำเร็จในการเทรด
ระบบมาร์ติงเกลและกฎการจัดการความเสี่ยงในการเทรดออปชั่นไบนารี
การจัดการความเสี่ยงหรือการบริหารเงินทุนคืออะไร? คือระบบการบริหารเงินในบัญชีเทรดของคุณ ที่มีเป้าหมายจำกัดการขาดทุนและเพิ่มโอกาสการทำกำไร กฎเหล่านี้ไม่ได้คิดขึ้นมาลอย ๆ แต่ผ่านการพิสูจน์มาเป็นเวลานาน โดยนักเทรดจำนวนมากที่ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ พื้นฐานของการจัดการความเสี่ยงคือวลีที่ว่า “ขาดทุนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้! ทำกำไรให้มากที่สุดเมื่อสภาวะตลาดเอื้อ!” กฎพื้นฐานมีดังนี้ แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจากนักเทรด:- ลงเงินเทรดในแต่ละดีลประมาณ 1-2% ของยอดเงินเทรดทั้งหมด สูงสุดไม่เกิน 5% ของบัญชี
- ถ้าขาดทุนติดกัน 3-5 ดีล ควรหยุดเทรดในวันนั้น แล้วค่อยเริ่มใหม่วันรุ่งขึ้น
- ให้เทรดด้วยจำนวนคงที่ (fixed rate) เท่านั้น
- ควรกำหนดจุดหยุดขาดทุน (loss limit)
- ตั้งเป้าหมายกำไร (profit limit) ให้ตัวเองด้วย
การขาดทุน 3-5 ดีลติดกันบอกเราว่าอาจมีความผิดปกติในตลาด ควรรอดูสถานการณ์เพื่อไม่ให้เพิ่มการขาดทุน วันพรุ่งนี้ยังมีโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการทำกำไร
การใช้เงินจำนวนคงที่สอนให้เรา “ทำในสิ่งที่ควรทำ” เสมอ นอกจากนี้ ยังทำให้การล้างพอร์ตเกิดได้ยาก และลดแรงกดดันทางจิตใจ เพราะไม่มีการไล่เพิ่มเงินทุกครั้งที่ขาดทุน
การกำหนดขีดจำกัดการขาดทุน (loss limit) สำคัญมาก เมื่อผลการเทรดไม่แน่นอน สลับกันแพ้-ชนะ จนยอดเงินค่อย ๆ ลดลง ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้เสียมากเกินไปเมื่อสภาวะตลาดไม่อำนวย
การกำหนดเป้าหมายกำไร (profit limit) ช่วยป้องกัน “overtrading” และลดอารมณ์ที่ไม่จำเป็น การกำหนดจำนวนเทรดต่อวันก็มีประโยชน์เช่นกัน จำกัดจำนวนครั้งในการเทรด และส่งผลดีต่อบัญชีเทรดของคุณ
จะเห็นได้ว่ากฎทั้งหมดนี้ทั้งสมเหตุสมผลและมีประโยชน์ แล้วมาดูกันว่าเมื่อเรานำระบบมาร์ติงเกลมาวิเคราะห์ในมุมของการบริหารเงินทุนที่ถูกต้องจะเป็นอย่างไร:
- เริ่มเทรดด้วยจำนวนเงินต่ำสุด แต่สุดท้ายอาจเสี่ยงจนหมดบัญชีของนักเทรดออปชั่นไบนารี
- เมื่อขาดทุนติดกันหลายดีล ก็จะเทรดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนะ หรือจนกว่าจะหมดเงินเปิดดีลใหม่ (ล้างพอร์ต)
- ไม่เคยมีการใช้จำนวนคงที่ (fixed rate) เลย
- ขีดจำกัดการขาดทุน = เงินทั้งหมดในบัญชี
- เป้าหมายกำไร = ขอให้ได้อะไรก็เอา
- จำนวนดีลส่วนใหญ่วัดจากจำนวนเงินที่เหลือในบัญชีเทรด
กฎของการบริหารความเสี่ยงเหล่านี้เองที่เป็นตัวตัดสินว่านักเทรดจะทำกำไรได้ หรือจะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ใครที่บริหารเงินทุนไม่ได้ ก็ไม่เหมาะจะอยู่ในวงการเทรด!
ระบบเพิ่มอัตรา (มาร์ติงเกล) และจิตวิทยาการเทรดในออปชั่นไบนารี
จำได้ไหมว่าผมเคยบอกว่าการเทรดมาร์ติงเกลทิ้ง “ร่องรอย” อย่างแรงในความสามารถการเทรดของผม? ใช่เลย มันเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเทรดโดยตรงจิตวิทยาการเทรดคือส่วนที่ช่วยให้นักเทรดควบคุมอารมณ์ได้ หรืออาจเรียกว่า “ตัดอารมณ์ออกไปจากการเทรด” ให้ได้มากที่สุด ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้การเทรดไม่มีสิ่งรบกวนที่ไม่จำเป็น
ผมค้นพบว่าศัตรูตัวฉกาจของผมคือ “ตัวผมเอง” เราคือที่มาของปัญหาส่วนใหญ่ในการเทรด เคยคิดไหมว่า “ถ้าวันนั้นฉันไม่หัวร้อน ก็คงไม่ขาดทุนแบบนี้” หรือ “ฉันเปิดดีลด้วยอารมณ์โกรธ ถ้าฉันใจเย็นก่อนก็ดีกว่า” คนที่โมโหแล้วพูดอะไรไม่คิดก็ไม่ต่างจากนักเทรดที่ลงมือเทรดแบบไร้การวิเคราะห์เพราะอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
จิตวิทยาการเทรดจึงมีหน้าที่ทำให้นักเทรดเรียนรู้วิธีสลัดอารมณ์ทิ้ง และโฟกัสที่การเทรดและสัญญาณ 100%
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของนักเทรดคือ “ความกลัว” คือกลัวเสียเงิน เพราะเราคาดหวังกับมันมาก ความกลัวจะบิดเบือนมุมมองให้เราทำอะไรไม่คิด แต่ความกลัวจะเกิดขึ้นเมื่อไร? ก็เมื่อเราตกใจกับสิ่งที่เกิด หรือพูดอีกแบบ ในการเทรดเราจะกลัวเฉพาะเมื่อเงินที่เราเสี่ยงลงไป “มากเกินกว่าที่เรายอมรับได้”
ถ้าเทรดบัญชีเดโมที่ไม่ใช่เงินเราจริง ๆ เราไม่เคยกลัว แต่พอเป็นเงินเราเอง แม้ $1 เราอาจไม่ค่อยกลัวเพราะมันน้อยกว่าสิ่งที่เราใช้จ่ายประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเปิดดีล 10,000 ดอลลาร์ คุณจะเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของราคาด้วยความกังวล
ก็เท่ากับว่า เรื่องมันอยู่ที่ “จำนวนเงิน” ที่เราเปิดดีล แล้วระบบมาร์ติงเกลให้เราเจออะไรบ้าง?
- เดิมพันครั้งที่ 1 - เสียนิดหน่อย พอรับได้
- ครั้งที่ 2 - โอเค ยังพอทน
- ครั้งที่ 3 - เอาละ เริ่มต้องระวัง!
- ครั้งที่ 4 - สูดหายใจลึก ๆ ลุย!
- ครั้งที่ 5 - ไม่ขำแล้วนะ!
- ครั้งที่ 6 - จะขึ้นหรือลงดี? ราคาจะไปทางไหน!
- ครั้งที่ 7 - ชนะเถอะ ขอร้อง!
- ครั้งที่ 8 - ขออีกนิดเดียว! อะไรนะ แพ้อีกเหรอ? ทำไมเป็นงี้!!!
- ครั้งที่ 9 - เงินไม่เหลือให้ลงแล้ว...
ระบบมาร์ติงเกลไม่ให้คุณเทรดด้วยจำนวนคงที่ ทำให้คุณไม่สามารถอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบเดิมได้ทุกดีล บางดีลได้กำไรก็ฟิน บางครั้งขาดทุนติดกันก็อาจสูญเงินทั้งหมด สุดท้ายถ้าล้างพอร์ต คุณต้องโทษตัวเอง เพราะคุณเป็นคนอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น!
ระบบมาร์ติงเกลกับวินัยในการเทรดออปชั่นไบนารี
วินัยในการเทรดเป็นทักษะที่สำคัญมาก ช่วยให้คุณยึดแผนการเทรดอย่างเคร่งครัด:- ไม่ละเมิดกฎของกลยุทธ์
- ไม่ละเมิดกฎบริหารความเสี่ยง
- ไม่เปิดดีลตามใจชอบ
- ควบคุมตัวเองให้ได้ตลอดเวลาที่เทรด
บางคนอาจเถียงว่า ระบบมาร์ติงเกลก็ทำให้มี “วินัย” เช่นกัน เพราะพอขาดทุน ดีลถัดไปก็ต้องเปิดเป็นสองเท่า ผมบอกเลยว่า นั่นไม่ใช่วินัย แต่มันเป็น “ความอยากเอาคืน”
วินัยมีไว้เพื่อให้คุณทำกำไรได้สม่ำเสมอ แต่จะเรียกว่ามีวินัยได้อย่างไร ถ้าวันนี้เทรดด้วยมาร์ติงเกลได้กำไร พรุ่งนี้ล้างพอร์ตหมด? การทำสิ่งที่ถูกต้องจะไม่พาคุณไปถึงจุดที่เสียทั้งบัญชี
ตรงกันข้าม ระบบมาร์ติงเกลยิ่งทำให้วินัยพัง:
- คุณอาจฝืนกฎของกลยุทธ์เพราะอารมณ์
- คุณอาจละเมิดกฎบริหารความเสี่ยงเพราะต้องการ “เอาคืน”
ระบบมาร์ติงเกลกับกลยุทธ์การเทรดสำหรับออปชั่นไบนารี
นี่เป็นหัวข้อที่น่าสนุก มีการถกเถียงกันมากมายว่าควรใช้ระบบเพิ่มอัตราในรูปแบบไหน บางครั้งก็ตลกจนเกินจริงมีนักเทรดจำนวนหนึ่งที่มั่นใจเกิน 10,000% ว่า “ใช้มาร์ติงเกลได้ แต่ไม่เกินไม้ที่ 3” มันจริงไหม? มาดูกัน
นี่คือตารางการขาดทุนของสามดีลเมื่อคุณเทรดด้วยจำนวนเงินคงที่ (ผลตอบแทนเมื่อทายถูกคือ 75% และใช้เงินเทรด $1 ต่อดีล):
ดีล | 1 | 2 | 3 |
ขาดทุนรวม: -3$ | 1$ | 1$ | 1$ |
ต่อไปคือตารางขาดทุนเมื่อเทรดด้วยการเพิ่มอัตรา เริ่มที่ $1 เหมือนกัน และผลตอบแทนของออปชั่นเท่ากัน (75%):
ดีล | 1 | 2 | 3 |
ขาดทุนรวม: -8.87$ | 1$ | $2.35 | $5.52 |
ผลลัพธ์คือ:
- ถ้าคุณขาดทุน 3 ดีลติดที่ลงครั้งละ 1 ดอลลาร์ คุณต้องการดีลที่ชนะ 4 ครั้ง (ได้กำไร 75% ต่อดีล) เพื่อคืนทุน
- ถ้าคุณขาดทุนแบบทบอัตรา 3 ดีลติด คุณต้องการดีลที่ชนะ 12 ครั้ง (ได้กำไร 75%) เพื่อคืนทุน
เราไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล แค่ใช้ Excel สร้างการเทรดของนักเทรดสมมุติขึ้นมา ตั้งเงื่อนไขดังนี้:
- กลยุทธ์ที่ใช้มีอัตราชนะเฉลี่ย 65%
- เปิดดีล 100 ครั้ง
- ไม่สนใจจำนวนเงินฝาก ผลตอบแทน หรือจำนวนเงินที่ใช้เทรดเป็นดอลลาร์ เราสนเฉพาะลำดับแพ้ชนะ
ในภาพมี 3 ช่วงที่ขาดทุน 3 ดีลติดกัน ลองมาคำนวณ:
ดีลทั้งหมด 100 ดีล หักดีลที่ขาดทุน 9 ดีล เหลือ 91 ดีลที่ “ต้อง” เอามาใช้คืนทุน จากกฎข้างบน เราต้องชนะ 36 ดีลเพื่อชดเชยการขาดทุนที่เกิดขึ้น ในตัวอย่างนี้ เรามี 30 ดีลแรกที่ชนะทันที และอีก 25 ดีลที่ชนะในไม้ 2 และไม้ 3 ของมาร์ติงเกล สรุปกำไรสุทธิเทียบเท่าดีลชนะ 19 ดีล ดูเหมือนไม่แย่นัก ไปต่อกัน
สภาวะเดียวกัน คราวนี้มีแถวที่แพ้ติดกัน 6 ช่วง:
ขาดทุนรวม 18 ดีล เหลือ 82 ดีลจาก 100 ดีล ต้องคูณ 6 ด้วย 12 = 72 ดีลที่ต้องชนะเพื่อพลิกเป็นกำไร แต่เรามีแค่ 36 ดีลที่ชนะรวม ๆ ทั้งไม้ 1, 2, และ 3 สรุปเหลือแค่ครึ่งที่ชดเชยได้ เราขาดทุนเทียบเท่าการเสีย 36 ดีล ลองอีกรอบ
คราวนี้มีทั้งหมด 100 ดีล แพ้ 42 ดีล ในจำนวนนั้นมีแถวที่แพ้ติดกันเกิน 3 ดีลอยู่ 4 ชุด:
100 - 42 = 58 ดีลที่ชนะ ซึ่งเราต้องใช้ 48 ดีลมาชดเชยการแพ้ติดต่อกัน สรุปกำไรสุทธิเทียบเท่าการชนะ 10 ดีล
ผลลัพธ์รวมคือ:
- เทรดทั้งหมด 300 ดีล
- ด้วยกลยุทธ์ที่อัตราชนะเฉลี่ย 65% เราขาดทุนสุทธิรวมเทียบเท่าการเสีย 7 ดีล
ปัญหาอีกอย่างคือ ไม่ใช่ทุกคนจะหยุดที่ 3 ไม้ โดยเฉพาะถ้า “อยากเอาคืน” แล้วลามไปไม้ 4 ไม้ 5 ไม้ 7... ไปเรื่อย ๆ จนเงินหมด
กลยุทธ์การเทรดใด ๆ ที่ชนะเกิน 60% ก็น่าจะสร้างกำไรได้ถ้าใช้จำนวนคงที่ แต่ไม่รับประกันว่าใช้มาร์ติงเกลจะกำไร ผมแนะนำอย่างหนักแน่นว่าอย่า “เล่นกับไฟ” ทั้งแบบ “3 ไม้” หรือ “ครั้งสุดท้าย” อะไรก็แล้วแต่
ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมาร์ติงเกลมีความเสี่ยงมาก อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของผมคือเตือนคุณ คุณมีสมองของตัวเอง เลือกเองว่าจะทำหรือไม่ทำ
ข้อดีของระบบมาร์ติงเกลในออปชั่นไบนารี
ข้อดีของการเพิ่มอัตรา (มาร์ติงเกล) นับนิ้วมือเดียวก็หมด (ดูตามสถิติการใช้งาน เอานิ้วกลางก็พอ) คือ:- ถ้ามีดีลที่ชนะเพียงครั้งเดียว ก็สามารถชดเชยการขาดทุนทั้งหมดได้
ข้อเสียของการเพิ่มอัตราและมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
แต่ข้อเสียมีมากมาย:- ความเสี่ยงสูงมาก
- ต้องมีเงินฝากเยอะ
- ละเมิดกฎบริหารความเสี่ยงทั้งหมด
- บั่นทอนจิตวิทยาการเทรด
- ทำลายวินัยในการเทรด
- อาจเสียเงินในบัญชีทั้งหมดไม่ว่าคุณจะใช้กลยุทธ์ไหนก็ตาม
- เว็บไซต์ซื้อขายออปชั่นไบนารีและคนบางกลุ่มที่รับจ้างโบรกเกอร์ มักโปรโมตการเพิ่มอัตรา
- ผู้ให้สัญญาณบังคับให้เทรดด้วยมาร์ติงเกล
- แม้ใช้แค่ไม่กี่ไม้ก็อาจไม่คุ้มในระยะยาว
- อาจเกิดความเสียหายทางจิตใจในระดับต่าง ๆ (ถึงขั้นไม่สามารถเทรดได้อีก)
- สร้างภาระอารมณ์หนักเวลาลงมือเทรด
- ให้ความรู้สึกมั่นใจผิด ๆ เหมือนเทรดแบบ “ไม่มีทางแพ้”
ควรใช้ระบบมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารีหรือไม่
ผมเห็นด้วยกับนักเทรดส่วนใหญ่ที่ทำกำไรได้สม่ำเสมอ — ไม่ควรใช้ระบบมาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี! ข้อเสียมีมากเกินไป ในขณะที่ข้อดีมีแค่เรื่องเดียว ซึ่งดูเล็กน้อยเกินกว่าจะหักล้างข้อเสียทั้งหมด และที่สำคัญเราไม่ควรเรียกมาร์ติงเกลว่าเป็น “ระบบบริหารความเสี่ยง” เพราะจริง ๆ มันสร้างความเสี่ยงให้เราต่างหากเหตุผลหลักที่ผมคัดค้านการใช้มาร์ติงเกลและการเพิ่มอัตราในการเทรด:
- โบรกเกอร์ออปชั่นไบนารีและบล็อกเกอร์ที่ได้ค่าจ้างโปรโมตมันอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับนักเทรด (เพราะโบรกเกอร์ได้กำไรจากการขาดทุนของเรา)
- นักเทรดที่มีประสบการณ์นิยมใช้ fixed rate และระมัดระวังเงินในบัญชีอย่างมาก
- 95% ของนักเทรดเสียเงินฝากอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่ก็เทรดด้วยมาร์ติงเกล ถ้าไม่อยากอยู่ในหมู่คนหมดตัว ก็อย่าทำเหมือนพวกเขา!
- ประสบการณ์ตรงของผม – เกือบ 3 ปีที่หมดเงินเพราะมาร์ติงเกล พอเลิกใช้ กลับมาเทรดจำนวนคงที่ ชีวิตเปลี่ยนทันที
- ความเสี่ยงสูงและกดดันมาก การเทรดแบบสบายใจและกำไรน้อยยังดีกว่าล้างพอร์ตเร็ว แถมเสียสุขภาพจิต
วิธีหยุดใช้มาร์ติงเกลในการเทรดออปชั่นไบนารี
มันอาจยาก แต่ทำได้ ผมทำได้ คุณก็ทำได้! เริ่มด้วยการจดบันทึกการเทรดทุกดีล ตั้งเป้าว่า “จะเทรดด้วยเงิน $1 เท่านั้น” (ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านี้) ในแต่ละดีล และหา “บทลงโทษ” ไว้ถ้าละเมิดกฎ เช่น ทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ ทำสักสองสามครั้งคงเข็ดจนไม่อยากทำผิดอีกจัดการเทรดสัก 100-200 ดีล ครั้งละ 1 ดอลลาร์ และจดบันทึกผลลงในไดอารี่ จำกัดไม่เกิน 30 ดีลต่อวัน คุณจะพบว่า:
- หลังเทรดจำนวนมากขนาดนี้ คุณไม่ล้างพอร์ต
- อาจทำกำไรได้ด้วยซ้ำ
- ไม่มีอะไรเลวร้ายกับการใช้จำนวนคงที่
- ความกดดันทางจิตใจลดลง การเทรดสบายขึ้น
- ความกลัวในการเทรดหายไป
- มีสมาธิกับการมองหาสัญญาณเทรดมากขึ้น
ผู้ช่วยหลักในการเปลี่ยนผ่านจากมาร์ติงเกลไปสู่การเทรดจำนวนคงที่คือตัวคุณเอง และความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และปรับปรุง ยิ่งคุณอยากก้าวหน้าเร็วเท่าไร คุณก็ปรับตัวได้เร็วเท่านั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ ลงมือทำเลย!
บทวิจารณ์และความคิดเห็น