หน้าหลัก ข่าวไซต์
วิธีเทรดแนวโน้ม จุดพักตัว และตลาดไซด์เวย์ (2025)
Updated: 06.05.2025

วิธีเทรดอย่างถูกต้องในช่วงแนวโน้ม จุดพักตัว และการเคลื่อนไหวไซด์เวย์ (Consolidation) + เรียนรู้การระบุการกลับตัวของเทรนด์ (2025)

ราคาทั้งหมดในตลาดสามารถอธิบายได้ด้วย 3 สภาวะหลัก:
  • แนวโน้ม (Trend)
  • การพักตัวระหว่างแนวโน้ม (Pulseback/Pullback)
  • Consolidation หรือการเคลื่อนไหวราคาในกรอบ (Sideways)
แต่ละสภาวะของตลาดมีวิธีการเทรดที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงสำคัญมากที่จะต้องระบุให้ได้ว่าขณะนี้ตลาดอยู่ในสภาวะใด ประสิทธิภาพของกลยุทธ์เทรดและศักยภาพในการทำกำไรของเทรดเดอร์จะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์นี้

เนื้อหา

แนวโน้มในการเทรดออปชั่นไบนารี: วิธีเทรดในช่วงที่ราคากำลังเป็นเทรนด์

“แนวโน้ม” คือการเคลื่อนไหวของราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นระยะเวลานาน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 รูปแบบหลัก:
  • ขาขึ้น (Uptrend)
  • ขาลง (Downtrend)
บางคนอาจเรียก “Sideways Trend” ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวโน้ม แต่ในความเป็นจริงแล้ว การอัปเดตจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดของราคาไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงไซด์เวย์ ดังนั้นจึงไม่ถือเป็น “เทรนด์” โดยสมบูรณ์

ขาขึ้น (Uptrend) หมายถึงการสร้างจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ใหม่ที่สูงขึ้นกว่าของเดิมเรื่อยๆ:

แนวโน้มขาขึ้น

ขาลง (Downtrend) หมายถึงการสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลงกว่าของเดิมเรื่อยๆ:

ขาลง

จะเห็นได้ว่าระหว่างการเคลื่อนไหวของแนวโน้ม ราคาเคลื่อนที่เป็นคลื่น: หลังจากมีการเคลื่อนที่แรงๆ ไปตามทิศทางของแนวโน้มหลัก ก็มักจะตามมาด้วยการปรับตัวสั้นๆ ตรงข้ามเทรนด์ ก่อนจะเดินหน้าต่อไปยังทิศทางเดิม

ถ้าให้ดูภาพเชิงโครงสร้าง ขาขึ้นจะเป็นดังนี้:

แผนภาพแนวโน้มขาขึ้น

  • ช่วง 1-2, 3-4, 5-6 คือช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้มขาขึ้น
  • ช่วง 2-3, 4-5 คือการพักตัวหรือการย่อของราคาในระหว่างเทรนด์ (ตรงข้ามทิศทางหลัก)
  • จุด 2, 4, 6 คือจุดสูงสุดที่ถูกทำใหม่ให้สูงกว่าเดิม
  • จุด 1, 3, 5 คือจุดต่ำสุดที่ถูกปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนขาลงจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่มุ่งหน้าไปทางลง:

รูปแบบขาลง

  • ช่วง 1-2, 3-4, 5-6 คือช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้มขาลง
  • ช่วง 2-3, 4-5 คือการพักตัวของราคา (ตรงข้ามทิศทางหลัก)
  • จุด 2, 4, 6 คือจุดสูงสุดที่ถูกปรับลดลงเรื่อยๆ
  • จุด 1, 3, 5 คือจุดต่ำสุดที่ถูกทำใหม่ให้ต่ำลง
การระบุแนวโน้มใช้หลักการเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคู่สกุลเงิน หุ้น ดัชนี หรือสินค้าโภคภัณฑ์

การระบุแนวโน้มด้วย ADX (Average Directional Movement Index)

ADX เป็นอินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคที่สร้างขึ้นเพื่อบอกว่าตอนนี้ตลาดมีเทรนด์หรือไม่ ซึ่งสามารถบอกได้อย่างแม่นยำมาก

หลักการใช้งาน ADX ง่ายๆ:
  • ถ้าเส้น ADX อยู่เหนือระดับ “25” แสดงว่าราคาอยู่ในช่วงมีแนวโน้ม
  • ถ้าเส้น ADX อยู่ต่ำกว่าระดับ “25” แสดงว่าตลาดกำลังไซด์เวย์หรือ Consolidation
นอกจากจะบอกว่าตลาดมีแนวโน้มหรือไม่ ADX ยังมีเส้น “Di+” และ “Di-” ช่วยบอกว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง แต่หากเราสนใจแค่จะดูว่ามีเทรนด์หรือไม่ อาจซ่อนเส้น Di+ และ Di- ในการตั้งค่า เหลือไว้เพียงเส้น ADX เพื่อตรวจเช็กการยืนเหนือหรือต่ำกว่าระดับ 25 เท่านั้น:

การตรวจจับแนวโน้มโดยใช้ ADX

ยิ่งเส้น ADX อยู่เหนือ 25 มากเท่าไร ก็หมายความว่าความแรงของเทรนด์ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

การระบุแนวโน้มด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)

การระบุแนวโน้มไม่ใช่เรื่องยาก (ถ้าเราเข้าใจวิธีการ) อีกวิธีหนึ่งคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายเส้น โดยตัวอย่างเช่น:
  • Exponential Moving Average (EMA) Period “10”
  • Exponential Moving Average (EMA) Period “30”
  • Exponential Moving Average (EMA) Period “60”
หากราคาอยู่ในช่วงมีแนวโน้ม เส้นเหล่านี้จะเรียงตัวเป็นลำดับสวยงามตามระยะเวลา (Short → Medium → Long) โดย:
  • EMA “10” จะอยู่ใกล้กราฟราคาที่สุด
  • EMA “30” จะอยู่ถัดมา
  • EMA “60” จะอยู่ไกลจากราคามากที่สุด
หากค่าเฉลี่ยทั้งสามเรียงตัวกันใต้กราฟราคา แสดงว่าเป็นขาขึ้น แต่ถ้าเรียงตัวเหนือกราฟราคา แสดงว่าเป็นขาลง ถ้าเส้นไม่เรียงชัดเจน อาจเป็นช่วงพักตัวหรือไซด์เวย์:

แนวโน้มขาขึ้นตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

เทรนด์ขาลงเมื่อดูผ่าน Moving Averages จะมีลักษณะดังนี้:

แนวโน้มขาลงตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

ข้อเสียของการดูผ่านเส้นค่าเฉลี่ยคือมีการ “หน่วง” (Lagging) เสมอ ทำให้บางครั้งแยกไม่ชัดเจนว่าราคากำลังพักตัวหรือกลับตัว แต่หากเห็นการอัปเดตจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ก็สามารถใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิกได้

การระบุแนวโน้มด้วย Bollinger Bands

สำหรับ Bollinger Bands (BB) มีหลายวิธีที่จะใช้บอกแนวโน้ม ตัวอย่างการตั้งค่าแบบมาตรฐาน:
  • ถ้าช่อง (Channel) และเส้นกลางของ BB มีทิศทางขึ้น ถือเป็นขาขึ้น
  • ถ้าช่องและเส้นกลางของ BB มีทิศทางลง ถือเป็นขาลง
  • ถ้าเส้นกลางค่อนข้างขนานกับแกนเวลาและช่อง BB แคบ แสดงถึงภาวะไซด์เวย์

แนวโน้มขาลงบนโบลินเจอร์ แบนด์

ตัวอย่างขาขึ้น:

แนวโน้มขาขึ้นบนโบลินเจอร์ แบนด์

สังเกตว่าในช่วงเทรนด์ขาขึ้น ราคามักเคลื่อนที่อยู่ในครึ่งบนของช่อง และสำหรับขาลงก็จะวิ่งในครึ่งล่างของช่อง ส่วนเส้นกลางทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านแบบไดนามิก

อีกวิธีคือใช้ Bollinger Bands สองชุด:
  • BB Period “20” Deviation “2” (ค่าเริ่มต้น)
  • BB Period “20” Deviation “1”
จะได้ช่อง 2 ชั้น ตรงกลางคือโซนไซด์เวย์ ส่วนโซนระหว่างเส้นบนสองเส้นเป็นขาขึ้น และโซนระหว่างเส้นล่างสองเส้นเป็นขาลง:

Bollinger Bands โซนซื้อและขาย

เทรดออปชั่นไบนารีตามแนวโน้ม: กลยุทธ์เทรดเมื่อราคากำลังเป็นเทรนด์

กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้มมีมากมายจนไม่อาจนับได้หมด ยกตัวอย่างบางกลยุทธ์ที่คุณสามารถนำไปใช้ทำกำไรได้ดังนี้

Price Action รูปแบบ 1-2-3 – กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม

Price Action รูปแบบ 1-2-3 เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ดักการต่อเนื่องของเทรนด์หลังจากการพักตัวของราคา วิธีการคือ หาจุด 3 จุดในกราฟ:
  1. จุดเริ่มต้นของแนวโน้ม
  2. จุดสูงสุด (ถ้าเป็นขาขึ้น) หรือจุดต่ำสุด (ถ้าเป็นขาลง)
  3. จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของการพักตัว (Pullback)
ขีดเส้นแนวนอนผ่านจุดที่ “2” และเมื่อไหร่ที่ราคาทะลุเส้นนี้อีกครั้ง ให้เราเปิดออเดอร์ตามแนวโน้มหลัก โดยตั้งเวลาออปชั่นที่ 3-5 แท่งเทียน

ตัวอย่างสัญญาณในเทรนด์ขาขึ้น:

การซื้อขายโดยใช้กลยุทธ์ 1-2-3 ในแนวโน้มขาขึ้น

ตัวอย่างสัญญาณในเทรนด์ขาลง:

การซื้อขายโดยใช้กลยุทธ์ 1-2-3 ในแนวโน้มขาลง

อย่าลืมตรวจดูว่า High และ Low มีการอัปเดตตามเทรนด์หรือเปล่า เพื่อไม่ให้เข้าไปเจอภาวะไซด์เวย์

การกลับมาของราคาไปยังระดับแนวรับและแนวต้านที่ถูกเบรก – กลยุทธ์เทรนด์

กลยุทธ์นี้อาศัยการที่ราคาในเทรนด์เคลื่อนที่เป็นคลื่น หมายความว่าราคาจะย้อนกลับมาที่ระดับแนวรับ (Support) หรือแนวต้าน (Resistance) ที่เพิ่งถูกเบรก แล้วดีดตัวตามแนวโน้มหลัก เราเลือกเวลาหมดอายุสัก 3-5 แท่งเทียน

สัญญาณขาขึ้นจะเป็นดังนี้:

สัญญาณที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากการสลายระดับแนวรับและแนวต้าน

สัญญาณขาลง (ในเทรนด์ขาลง):

สัญญาณขาลงหลังจากการสลายระดับแนวรับและแนวต้าน

ข้อเสียของกลยุทธ์นี้คือ บางครั้งราคาอาจไม่ย้อนกลับมาที่แนวรับหรือต้านที่เพิ่งเบรก ทำให้เราพลาดโอกาสเปิดออเดอร์

Consolidation หรือการเคลื่อนไหวราคาในกรอบ: วิธีเทรดในช่วงไซด์เวย์

Consolidation หรือการเคลื่อนไหวไซด์เวย์คือสภาวะตลาดที่ราคาเคลื่อนอยู่ในกรอบแนวรับ (ด้านล่าง) และแนวต้าน (ด้านบน) แบบไม่ไปไหนไกล:

ช่องทางด้านข้างหรือการรวมราคา

ในช่วงไซด์เวย์นี้ ราคากำลัง “สะสมพลัง” ก่อนที่จะเคลื่อนที่เป็นเทรนด์ใหม่ หากเป็นกรอบแคบๆ ที่อยู่นานๆ เราอาจคาดหวังว่าหลังจากนั้นจะเกิดเทรนด์ที่รุนแรง

ข้อสังเกตคือ ราคามักดีดตัวลงเมื่อชนขอบบนของกรอบ และดีดขึ้นเมื่อชนขอบล่าง ถ้าเราระบุกรอบนี้ได้ถูกต้อง ก็สามารถเทรดให้ได้กำไรในช่วงเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามต้องระวัง เพราะไม่รู้แน่ชัดว่าเมื่อไรกรอบนี้จะถูกเบรกออกไปเป็นเทรนด์

การระบุการเคลื่อนไหวราคาที่เป็น Consolidation ด้วย ADX (Average Directional Movement Index)

เราเคยใช้ ADX เพื่อดูว่าตลาดเป็นเทรนด์หรือไม่ แต่ก็สามารถใช้ดูภาวะไซด์เวย์หรือ Consolidation ได้ด้วย กฎเดียวกันคือ:
  • ถ้าเส้น ADX อยู่เหนือ 25 ⇒ มีแนวโน้ม
  • ถ้าเส้น ADX อยู่ใต้ 25 ⇒ ราคากำลังไซด์เวย์ (Consolidation)

การรวมบัญชีกับ ADX

ADX ยังจับสัญญาณไซด์เวย์ระยะยาวได้ดีด้วย:

ขอบเขตการรวมบัญชีโดยใช้ ADX

การตรวจจับการเคลื่อนไหวไซด์เวย์ด้วย Bollinger Bands

อ้างอิงจากวิธีระบุแนวโน้มด้วย Bollinger Bands หากเราใช้ Bollinger Bands ค่า Period “20” และ Deviation “1” เราก็จะเห็นว่า:

ทุกอย่างที่ราคาเคลื่อนไหวอยู่ “ในกรอบ” ของ BB ที่ตั้ง Deviation 1 มักบอกถึง Consolidation:

การควบรวมกิจการโดย Bollinger Bands

ถ้าส่วนใหญ่ของแท่งเทียนอยู่ “นอก” ช่องดังกล่าว นั่นคือช่วงมีเทรนด์ นอกจากนี้ถ้าเราสังเกตความกว้างของ Bollinger Bands ขณะไซด์เวย์ จะแคบลงและวิ่งขนานไปกับแกนเวลา

วิธีเทรดในช่วงไซด์เวย์ – ทำกำไรจาก Consolidation

การเทรดในกรอบไซด์เวย์ถือเป็นเรื่องสนุกสำหรับมือใหม่ เพราะทำความเข้าใจได้ง่าย สิ่งที่ต้องทำก็แค่:
  • เปิดออเดอร์ Sell เมื่อราคาวิ่งใกล้ขอบบนของกรอบ
  • เปิดออเดอร์ Buy เมื่อราคาวิ่งใกล้ขอบล่างของกรอบ

การซื้อขายในการรวมบัญชี

โอกาสที่ราคาจะดีดตัวจากขอบกรอบมีสูง ทำให้เราสามารถทำกำไรจากการคาดการณ์ได้ไม่ยาก

แต่ถ้ายังไม่มั่นใจ สามารถใช้ RSI ช่วยเพื่อวัดโซน Overbought และ Oversold (ตั้ง Period เล็กๆ เช่น 4) โดยดูให้ราคาขึ้นหรือแตะขอบกรอบพอดี:

การซื้อขายไซด์เวย์ด้วยการกรอง RSI

หรือต้องการเทรดในกรอบด้วย Bollinger Bands ก็ทำได้ง่ายๆ แค่ปรับ Bollinger Bands ตามค่าเริ่มต้น (Period 20, Deviation 2) แล้วรอจนกว่าราคาจะเลยขอบบนหรือขอบล่างของแถบ แล้วเปิดออเดอร์สวนกลับเข้าในกรอบ:

การซื้อขายรวมกับ Bollinger Bands

สำคัญคือต้องเข้าใจลักษณะของอินดิเคเตอร์ให้ดีและคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงเป็นเทรนด์

วิธีแยกแยะการพักตัวระหว่างแนวโน้มออกจากการกลับตัวของราคา

นี่เป็นคำถามเบสิกสำหรับมือใหม่หลายคน แต่ความจริงแล้วไม่ยากอย่างที่คิด เราแค่ต้องเข้าใจภาพรวมของตลาด:
  • ถ้าราคาขยับขึ้นและจุดสูงสุด-ต่ำสุดถูกปรับขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือขาขึ้น
  • ถ้าราคาขยับลงและจุดสูงสุด-ต่ำสุดถูกปรับลดลงเรื่อยๆ นั่นคือขาลง
ในเมื่อแนวโน้มยังมีการทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ การย่อตัวตรงข้ามเทรนด์ถือเป็น “การพักตัว (Pullback)” แต่ถ้าเมื่อไรจุดสูงสุดและต่ำสุดหยุดอัปเดตไปตามทิศทางเดิม เทรนด์นั้นอาจสิ้นสุดและมีสิทธิจะกลับตัวหรือเกิดไซด์เวย์ก่อนกลับตัว

ตัวอย่าง: ราคาเคลื่อนไหวในขาขึ้น จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดถูกยกระดับเรื่อยๆ:

แนวโน้มขาขึ้น

ระหว่างที่ High และ Low ยังปรับขึ้นต่อ การพักตัวใดๆ ตรงข้ามเทรนด์ก็คือ Pullback:

การดึงกลับที่สวนทางกับแนวโน้ม

แต่เมื่อถึงจุดที่ High และ Low หยุดปรับขึ้น เทรนด์นั้นสิ้นสุด:

การรวมราคา

หลังช่วง Consolidation ราคากลับมาอัปเดต High และ Low ในทางตรงข้าม ทำให้เกิดการกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง:

การกลับตัวของแนวโน้ม

การเปลี่ยนทิศทางของจุดสูงสุดและต่ำสุดเป็นสัญญาณชัดเจนของการกลับตัว ดูอีกตัวอย่าง:

การกลับตัวของแนวโน้มในทางปฏิบัติ

นี่คือลักษณะของการเปลี่ยนเทรนด์: บางครั้งหลังจบเทรนด์เดิม ราคาอาจเข้า Consolidation ก่อนแล้วจึงกลับเทรนด์ใหม่ ในบางกรณีราคาอาจกลับตัวทันที

วิธีระบุการกลับตัวของราคา

มาดูสรุปกันหน่อยว่าการพักตัว (Pullback) กับการกลับตัว (Reversal) ต่างกันอย่างไร Pullback:
  • มักเกิดหลังมีการเคลื่อนที่แรงๆ ในทิศทางของเทรนด์
  • กินระยะเวลาสั้น
  • บางครั้งอาจเป็นรูปแบบซับซ้อนหรือเกิดเป็น Consolidation สั้นๆ ได้
  • ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขการอัปเดตจุดสูงสุด-ต่ำสุดในทิศทางเดิม
Reversal:
  • อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
  • อาจกลายเป็นเทรนด์ยาวนาน
  • เปลี่ยน “ขั้ว” ของการสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด
เราจะรู้ได้ว่านี่คือ Pullback หรือ Reversal ก็จาก “ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว” เพราะไม่มีใครการันตีได้แน่ชัดตั้งแต่ต้นว่า ราคาที่เริ่มย่อจะหยุดแค่พักตัวหรือกลายเป็นการกลับเทรนด์จริงๆ

การใช้ Fibonacci เพื่อระบุการกลับตัวของราคา

Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือช่วยบอกจุดที่ราคาอาจกลับตัวหลังเกิดเทรนด์ ถ้าเราขีด Fibonacci จากจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม (Impulse) ไปยังจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด (แล้วแต่กรณี) เราจะได้ระดับที่อาจเป็นจุดกลับตัว:

การพิจารณาการกลับตัวโดยใช้ระดับ Fibonacci

ในตัวอย่างนี้ ราคาย่อถึงระดับ 38.2% แล้วกลับไปต่อ แต่ถ้าราคาหลุดลงไปต่ำกว่าระดับ 100% ก็ถือเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มก่อนหน้าอาจจบลงและอาจกำลังเริ่มขยับเข้าสู่ขาลง:

การกลับราคาตามระดับ Fibonacci

การระบุการกลับตัวของราคาโดยใช้เทรนด์ไลน์

หลักการจริงๆ คล้ายกับการดูจุดสูงสุดและต่ำสุด เพียงแต่มองผ่านมุม “เส้นเทรนด์ไลน์”:

เราขีดเส้นเทรนด์ไลน์ในกราฟ แล้วสังเกตว่าราคาทะลุหรือไม่:

การทะลุเส้นแนวโน้ม

ถ้าราคาเบรกเทรนด์ไลน์และมีการสร้างจุดสูงสุด-ต่ำสุดฝั่งตรงกันข้ามต่อ ถือว่าราคาเปลี่ยนทิศแน่นอน รอ Consolidation หรือรอเทรนด์ใหม่ได้เลย แต่ถ้ายังไม่เบรก และเพียงแค่จุดสูงสุด-ต่ำสุดหยุดอัปเดต อาจเป็นเพียงการพักตัวที่ยาวขึ้น

ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าควรเทรดในช่วงเทรนด์และช่วงไซด์เวย์อย่างไร เหลือแค่ดูให้ออกว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหน แล้วลงมือเทรดตามแผนที่วางไว้เพื่อทำกำไร

ตลาดที่หลากหลายหรือจะทำอย่างไรให้เห็นความเป็นระเบียบในความสับสน

ตลาดสามารถเปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบ แต่เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะเห็นภาพได้ชัดว่า ตอนนี้ตลาดเป็นแนวโน้มไหนหรือไซด์เวย์เพียงแค่ดูแวบเดียว ฝึกฝนสักพักแล้วคุณจะทราบว่ามันไม่ได้ยากเย็นเลย สมองจะประมวลและสรุปทันที

เมื่อคุณฝึกการอ่านตลาดจนชำนาญ ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและหาจุดทำกำไรได้แบบไม่ต้องเสียเวลา ความรู้เรื่องพฤติกรรมราคาจะไม่มีความหมาย ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนมันให้เป็นกำไรได้ เปรียบเหมือนคุณเปิดร้านขายของชำกลางทะเลทราย—ถึงจะไม่มีคู่แข่งเลย แต่แม่งเอ๊ย ยังขาดอะไรบางอย่างอยู่ดี
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar