หน้าหลัก ข่าวไซต์
Divergence และ Convergence ในออปชั่นไบนารี (2025)
Updated: 06.05.2025

Divergence และ Convergence ในการเทรด: วิธีใช้ Divergence และ Convergence ในออปชั่นไบนารี (2025)

ในบทความก่อนหน้านี้ เราได้ทำความรู้จักกับออสซิลเลเตอร์ (Oscillator) ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ “คาดการณ์” การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต วันนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติสำคัญของออสซิลเลเตอร์เหล่านี้ นั่นคือการระบุ Divergence และ Convergence ในการเทรด

Divergence ในการเทรด หมายถึงความขัดแย้งระหว่างข้อมูลในกราฟราคาและข้อมูลจากตัวอินดิเคเตอร์ ส่วน Convergence ในการเทรด คือการเคลื่อนเข้าหากันของข้อมูลบนกราฟกับอินดิเคเตอร์ ฟังดูยังไม่ชัดเจนใช่ไหม? บทความนี้จะช่วยอธิบายให้กระจ่าง

ความแตกต่างและการบรรจบกันบนแผนภูมิ

เนื้อหา

Divergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย

Divergence ในการเทรดคือความขัดแย้งระหว่างกราฟราคากับกราฟของอินดิเคเตอร์ ในทางปฏิบัติจะมีลักษณะดังนี้:
  • กราฟราคาเป็นเทรนด์ขาขึ้น และราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High)
  • แต่กราฟของอินดิเคเตอร์กลับไม่ตามราคา แต่ละจุดสูงสุดใหม่ของอินดิเคเตอร์กลับต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
Divergence สามารถระบุได้ง่ายๆ ด้วยอินดิเคเตอร์ เช่น:
  • MACD
  • RSI
  • Stochastic
กฎการค้นหา Divergence นั้นไม่ซับซ้อน เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่บนกราฟราคา ให้สังเกตหนึ่งในอินดิเคเตอร์ข้างต้น หากอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวตามราคาปกติ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล ควรรอให้เทรนด์ไปต่อ แต่ถ้าค่าของอินดิเคเตอร์ขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนกราฟราคา นั่นคือ Divergence

ตัวอย่างเช่น นี่คือภาพ Divergence ที่ระบุโดยออสซิลเลเตอร์ MACD:

ความแตกต่างของ MACD

หากเราพิจารณา Divergence ผ่านอินดิเคเตอร์ Stochastic ก็จะมีลักษณะดังนี้:

ความแตกต่างโดยสุ่ม

หรือใช้ RSI เพื่อระบุ Divergence ก็ได้เช่นกัน:

ความแตกต่างของ RSI

ในหลายกรณี Divergence บ่งบอกถึงการชะลอตัว การปรับฐาน หรือการกลับตัวของเทรนด์ ไม่ว่าจะอย่างไร ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ขาขึ้นเริ่มอ่อนแรงลงมากแล้ว ตามที่อินดิเคเตอร์บอกเรา ซึ่งเราสามารถใช้ Divergence ในการทำกำไรได้ แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีวิธีไหนที่ให้กำไร 100% เสมอไป

กติกาเทรด Divergence – วิธีทำกำไรจาก Divergence

Divergence มักเกิดในช่วงขาขึ้น และเป็นสัญญาณว่าราคาอาจกลับตัว ปรับฐาน หรือหยุดแนวโน้มขาขึ้น (กลายเป็นขาลง) ดังนั้นสิ่งที่เราควรมองหาคือจังหวะเข้าเทรดขาลง (Put) หลังเห็น Divergence

Divergence จะถือว่าเกิดขึ้นเมื่อมีจุดสูงสุดบนกราฟราคาสองจุด โดยที่จุดสูงสุดที่สองสูงกว่าจุดแรก ในขณะที่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับต่ำกว่าจุดแรก นี่คือสัญญาณ Divergence หลังจากนั้น สามารถเปิดออเดอร์เทรดลงได้ประมาณสองแท่งเทียนหลังยืนยัน Divergence

สิ่งสำคัญคือต้องให้แท่งเทียนสองแท่งที่ตามมาเคลื่อนลง เพื่อยืนยันว่าเกิดจุดสูงสุดที่ชัดเจนบนกราฟราคา และพร้อมที่จะลง จากนั้นดูอินดิเคเตอร์ว่ามีจุดสูงสุดตามมาและเริ่มเคลื่อนลงด้วยหรือไม่ (กราฟ Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มปรับลง) ถ้ากราฟราคาเริ่มลงก่อน แต่อินดิเคเตอร์ยังไม่แสดงการลง เราต้องรอให้อินดิเคเตอร์ยืนยันก่อนจึงนับสองแท่งเทียนแล้วค่อยเปิดออเดอร์ลง:

การซื้อขายความแตกต่างโดยใช้ MACD

ระยะเวลาการถือออเดอร์ (Expiration) ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 3-5 แท่งเทียน ส่วนใหญ่เวลาเท่านี้ถือว่าเพียงพอที่ราคาจะเคลื่อนตัวปิดกำไร หากจะสรุปขั้นตอนเทรด Divergence จะเป็นดังนี้:
  1. จุดสูงสุดของราคา (Top) แรกบนกราฟราคาและในหน้าต่างอินดิเคเตอร์เกิดพร้อมกัน (ยังไม่ใช่จุดที่สนใจมากนัก)
  2. จุดสูงสุดที่สองของกราฟราคาสูงกว่าจุดแรก แต่ในอินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดแรก (Lower High) ถือว่าเกิด Divergence
  3. รอให้จุดสูงสุดที่สองของอินดิเคเตอร์เกิดขึ้นและเริ่มขยับลง (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มลดลง)
  4. เมื่ออินดิเคเตอร์แสดงสัญญาณลง ให้รออีกสองแท่งเทียน จากนั้นเปิดออเดอร์ Put ที่แท่งเทียนที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน
เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น ลองดูตัวอย่างอีกดีลหนึ่ง:

การซื้อขายความแตกต่างในตัวเลือกไบนารี

ในตัวอย่างนี้ จุดสูงสุดที่สองบนกราฟราคาและในอินดิเคเตอร์เกิดขึ้นพร้อมกัน เราจึงนับแท่งเทียนสองแท่งเต็มๆ แล้วเข้าเทรดในช่วงเริ่มของแท่งเทียนที่สาม วิธีการไม่ซับซ้อนเลย

Convergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย

Convergence ในการเทรด คือการเคลื่อนเข้าหากันระหว่างกราฟราคากับค่าที่อินดิเคเตอร์อ่านได้ ลักษณะจะเป็นดังนี้:
  • กราฟราคาอยู่ในเทรนด์ขาลง (Downtrend)
  • ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low)
  • ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดที่สองกลับสูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดที่หนึ่ง (Higher Low)
เช่นเดียวกับ Divergence เราสามารถระบุ Convergence ได้ง่ายๆ ด้วย:
  • MACD
  • RSI
  • Stochastic
การหา Convergence ก็ไม่ต่างจากการหา Divergence มากนัก คือหากกราฟราคาทำจุดต่ำสุดใหม่เรื่อยๆ แต่ว่าในอินดิเคเตอร์ กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นทุกครั้ง นั่นคือ Convergence หรือการเคลื่อนเข้าหากัน

ตัวอย่าง Convergence ผ่าน MACD:

การบรรจบกันของ MACD

สำหรับ RSI ก็สามารถระบุ Convergence ได้เช่นกัน:

การบรรจบกันของ RSI

และแน่นอนว่าใช้ Stochastic ก็ดู Convergence ได้:

การบรรจบกันโดยสุ่ม

Convergence ชี้ให้เห็นโอกาสที่ราคาจะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น การรีบาวด์หรืออาจเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ (Sideway) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มันมักบ่งบอกว่าราคาจะเคลื่อนที่ต้านเทรนด์เดิม (ขาลง) ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเช่นนั้น

เราสามารถใช้ Convergence ทำกำไรได้เหมือนกับ Divergence โดยกติกาจะคล้ายๆ กัน แต่เปลี่ยนเป็นเปิดดีลขึ้น (Call)

กติกาเทรด Convergence – ใช้ Convergence เพื่อสร้างกำไร

ก่อนอื่นต้องแน่ใจก่อนว่ามี Convergence เกิดขึ้น:
  1. Convergence เกิดขึ้นในเทรนด์ขาลง
  2. กราฟราคาต้องทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง
  3. จุดต่ำสุดแรกไม่ใช่จุดสนใจมากนัก แต่ต้องตรงกับจุดต่ำสุดของอินดิเคเตอร์
  4. จุดต่ำสุดที่สองบนกราฟราคาต่ำกว่าจุดแรก แต่ในอินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นกว่าจุดแรก
  5. รอจนกระทั่งจุดต่ำสุดที่สองของอินดิเคเตอร์เกิดและเริ่มขยับขึ้น
  6. เมื่ออินดิเคเตอร์เริ่มขยับขึ้น (Histogram หรือเส้นสัญญาณเลื่อนขึ้น) ให้นับสองแท่งเทียน แล้วเปิดออเดอร์ Call ที่แท่งเทียนที่สาม
  7. ตั้งเวลาเอ็กซ์ไพเรชัน 3-5 แท่งเทียน
คราวนี้ดูตัวอย่างการเทรด Convergence โดยใช้ MACD เป็นตัวอย่าง (ผู้เขียนชอบ MACD และมันสามารถระบุสัญญาณได้ดี):

การบรรจบกันทางการค้า

ในภาพนี้ จะเห็นว่ามี Convergence เกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึงสองรอบ เราก็สามารถเทรดสองสัญญาณขึ้นได้เหมือนกัน เพราะกราฟกำลังวิ่งจากซ้ายไปขวา เราไม่อาจรู้อนาคตได้

ลองดูอีกตัวอย่างโดยใช้ RSI:

การซื้อขายแบบบรรจบกันของ RSI

ก็จะเห็นว่าหาโซนต่ำสุด (Bottom) ใน RSI ได้ไม่ยาก จากนั้นนับสองแท่งเทียนและเข้าเทรดขึ้นในแท่งที่สาม

แน่นอนว่าการเทรด Convergence และ Divergence ก็มีความเสี่ยง:
  • สัญญาณ Divergence และ Convergence ไม่ได้ผลเสมอไป
  • การกลับตัวหลัง Divergence หรือ Convergence อาจสั้นเพียง 1-2 แท่งเทียนเท่านั้น
  • บางครั้งอินดิเคเตอร์อาจสร้างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดหลอก แล้วไม่นานก็สร้างจุดใหม่อีก ทำให้เราเทรดผิดพลาดไป
แต่ข้อดีคือ Divergence และ Convergence สามารถเทรดได้ในทุก Timeframe และเราจะอ้างอิงเวลาเป็นจำนวนแท่งเทียน ไม่ใช่นาทีหรือชั่วโมง

Hidden Divergence ในการเทรด – วิธีเทรด Hidden Divergence

Hidden Divergence เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างหายาก ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ แต่ต่างจาก Divergence ทั่วไป หากเป็น Hidden Divergence มักเกิดในเทรนด์ขาขึ้น แต่เราจะดูจุดต่ำสุดของราคาบนกราฟและจุดต่ำสุดของอินดิเคเตอร์:
  • ราคาเคลื่อนตัวขึ้น (Uptrend) – จุดสูงสุดและต่ำสุดในเทรนด์มักสูงขึ้น
  • แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดที่สองกลับต่ำลงกว่าจุดแรก
นี่คือ Hidden Divergence ที่แม้จะเป็นความขัดแย้ง แต่มันกลับบอกว่าเทรนด์ขาขึ้นน่าจะไปต่อ:

ความแตกต่างที่ซ่อนอยู่

ต่างจาก Divergence ทั่วไปที่ชี้ว่าราคาอาจกลับตัว Hidden Divergence กลับบอกว่าราคาจะมีแนวโน้มไปต่อในทิศทางเดิม กล่าวคือ มันเป็นสัญญาณบอกว่าการปรับฐาน (Pullback) ในเทรนด์ขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลง

วิธีเทรด Hidden Divergence มีขั้นตอนคล้ายๆ กับ Divergence ทั่วไป:
  1. จุดต่ำสุดแรกในเทรนด์ขาขึ้น ตรงกับจุดต่ำสุดในหน้าต่างอินดิเคเตอร์
  2. จุดต่ำสุดที่สองบนกราฟราคาสูงกว่าจุดแรก แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์กลับต่ำลงกว่าจุดแรก (Lower Low)
  3. รอให้จุดต่ำสุดที่สองในอินดิเคเตอร์เกิดขึ้นและเริ่มขยับขึ้น (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มปรับสูงขึ้น)
  4. นับสองแท่งเทียน แล้วเปิดออเดอร์ Call ในแท่งเทียนที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน

การซื้อขายความแตกต่างที่ซ่อนอยู่

นี่คือกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ให้เราเข้าตามเทรนด์หลัก ซึ่งมักจะปลอดภัยกว่าการสวนเทรนด์ แต่ก็ต้องบอกว่า Hidden Divergence พบได้น้อยกว่า Divergence แบบทั่วไป

Hidden Convergence – วิธีเทรด Hidden Convergence

Hidden Convergence เป็นอีกปรากฏการณ์หายากที่บ่งบอกถึงการต่อเนื่องของเทรนด์ขาลง ลักษณะจะเป็นดังนี้:
  • ตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง (Downtrend)
  • บนกราฟราคา จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดก่อนหน้าเสมอ
  • แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับสูงขึ้นกว่าจุดแรก

การบรรจบกันที่ซ่อนอยู่

นี่คือ Hidden Convergence ซึ่งมีรูปแบบคล้ายกันแต่เกิดในเทรนด์ขาลง วิธีเทรดก็คล้ายกับ Hidden Divergence แต่เรามองหาสัญญาณขาลงตามเทรนด์:
  1. จุดสูงสุดแรกในเทรนด์ขาลง ตรงกับจุดสูงสุดในหน้าต่างอินดิเคเตอร์
  2. จุดสูงสุดที่สองบนกราฟราคาต่ำกว่าจุดแรก
  3. แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับสูงกว่าจุดแรก
  4. รอจนกระทั่งกราฟราคาและอินดิเคเตอร์แสดงการปรับลง (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มเคลื่อนลง)
  5. นับสองแท่งเทียน จากนั้นเปิดออเดอร์ Put ในแท่งที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน

การซื้อขายคอนเวอร์เจนซ์ที่ซ่อนอยู่

สรุปได้ว่า Convergence กับ Divergence แบบทั่วไปบ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาจะกลับตัว หรือพักตัวชั่วคราว ในขณะที่ Hidden Divergence และ Hidden Convergence เป็นสัญญาณว่าราคามีแนวโน้มไปต่อในทิศทางเดิม

เทรด Divergence และ Convergence ร่วมกับเส้นเทรนด์ไลน์

นอกจากวิธีเทรด Divergence และ Convergence โดยดูจุดสูงสุดหรือต่ำสุดแล้ว ยังมีอีกแนวทางคือการใช้เทรนด์ไลน์ร่วมด้วย ลองดูตัวอย่างกัน

สมมติเราเจอ Convergence ในช่วงเทรนด์ขาลง:

การบรรจบกันของการซื้อขายเส้นแนวโน้ม

ขั้นต่อมาให้เราลากเส้นเทรนด์ไลน์ลงบนกราฟราคา (เพราะเป็นเทรนด์ขาลง จึงใช้เส้นแนวต้าน) เส้นนี้จะอยู่เหนือราคา โดยลากจากจุดเริ่มต้นเทรนด์ผ่านจุดสูงสุดต่างๆ:

เส้นแนวโน้มในการบรรจบกัน

เมื่อเรารู้แล้วว่า Convergence สิ้นสุดลงที่จุดต่ำสุดที่สองของอินดิเคเตอร์ และราคากำลังขยับขึ้น ให้เรารอจนแท่งเทียนราคาทะลุเส้นเทรนด์ไลน์และปิดเหนือเส้นนี้ จากนั้นค่อยเปิดออเดอร์ Call ในแท่งถัดไป ตั้งเวลาเอ็กซ์ไพเรชัน 3-5 แท่ง:

ตัวอย่างการซื้อขายแบบลู่เข้าตามเส้นแนวโน้ม

ถ้าเป็น Hidden Convergence ขั้นตอนก็เหมือนกัน:
  • ระบุ Hidden Convergence ในอินดิเคเตอร์
  • ลากเส้นเทรนด์ไลน์ (แนวรับ) บนกราฟราคา
  • เมื่อราคาทะลุเทรนด์ไลน์ได้ ให้เปิดออเดอร์ Put 3-5 แท่งเทียน

การบรรจบกันที่ซ่อนอยู่หลังจากการฝ่าวงล้อมเส้นแนวโน้ม

ส่วน Divergence ก็ใช้หลักการเดียวกัน:
  • ระบุ Divergence บนกราฟราคา
  • ลากเทรนด์ไลน์ (เส้นแนวรับในกรณีเทรนด์ขาขึ้น)
  • เมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับ ให้เปิดออเดอร์ Put 3-5 แท่ง

ความแตกต่างและเส้นแนวโน้ม

และสำหรับ Hidden Divergence:
  • ระบุ Hidden Divergence
  • ลากเทรนด์ไลน์ (เส้นแนวต้าน) บนกราฟ
  • เมื่อราคาทะลุเส้นนี้ได้ ค่อยเปิดออเดอร์ Call 3-5 แท่ง

ความแตกต่างที่ซ่อนอยู่และเส้นแนวโน้ม

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าการเทรดด้วยเทรนด์ไลน์ยังมีข้อเสียสำคัญ คือการเบรกทะลุเส้นเทรนด์ไลน์อาจเกิดขึ้นช้ากว่าการนับ “สองแท่งเทียน” หลังเกิดจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใน Divergence/Convergence ทำให้เข้าช้า จนอาจจบการกลับตัวหรือรีบาวด์ไปแล้ว

อีกข้อหนึ่งคือปัจจัยด้านมนุษย์ (Human Factor) เพราะแต่ละคนลากเส้นเทรนด์ไลน์ไม่เหมือนกัน (ไม่มีเครื่องมือใดการันตีได้ 100%) จึงมีโอกาสผิดพลาดมากกว่าการดูจุดสูงสุด/ต่ำสุดโดยตรง

9 กฎสำคัญของ Divergence และ Convergence

เพื่อให้เทรดด้วย Divergence และ Convergence ได้เต็มประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้

1. Divergence และ Convergence เกิดขึ้นในช่วงที่มีเทรนด์

Divergence และ Convergence จะเกิดในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวเป็นเทรนด์ หากเกิดใน Sideway หรือราคาวิ่งในกรอบแนวราบ การเด้งกลับของราคามักมีขนาดเล็ก ทำให้สัญญาณหลอกเกิดได้มาก

การบรรจบกันในแนวโน้มขาลง

2. ระบุเทรนด์อย่างถูกต้อง

บางครั้งกฎ “ราคาวิ่งจากซ้ายบนลงขวาล่างคือขาลง” อาจไม่ได้ผลเสมอไป ควรพิจารณาโครงสร้างของเทรนด์จริงๆ โดยเฉพาะจุดสูงสุดและต่ำสุด

ขอทวนอีกที:
  • เทรนด์ขาขึ้น: จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะสูงกว่าจุดเดิมเสมอ
  • เทรนด์ขาลง: จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดเดิมเสมอ

กำหนดแนวโน้ม

3. หลังการเคลื่อนไหวแบบ Sideway จะตามมาด้วยเทรนด์

ตลาด Sideway ไม่อาจอยู่ตลอดไป สักพักก็จะพัฒนาเป็นเทรนด์ สิ่งที่มักเป็นปัญหาคือเทรดเดอร์มือใหม่จะไม่รู้ว่าช่วงไหนจะเริ่มเทรนด์ ควรสังเกตจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่เริ่มเปลี่ยนไป:
  • ถ้าจุดสูงสุด (High) เริ่มทำใหม่สูงกว่าเดิม แสดงว่าเทรนด์กำลังจะเป็นขาขึ้น
  • ถ้าจุดต่ำสุด (Low) เริ่มทำใหม่ต่ำกว่าเดิม แสดงว่าเทรนด์กำลังจะเป็นขาลง

อัปเดตเสียงสูงและต่ำ

4. Overbought และ Oversold สำคัญมากในการระบุ Divergence และ Convergence

การระบุ Divergence และ Convergence มักได้ผลดีหากจุดสูงสุด/ต่ำสุดของอินดิเคเตอร์เกิดในโซน Overbought/ Oversold:

ซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป

5. เชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดอย่างถูกต้อง

จุดสูงสุดและต่ำสุดบนกราฟราคาควรอยู่ระนาบเดียวกับจุดสูงสุด/ต่ำสุดของอินดิเคเตอร์ การเชื่อมจุดผิดจะส่งผลให้ระบุ Divergence หรือ Convergence คลาดเคลื่อน

เชื่อมต่อค่าสูงสุดและต่ำสุดอย่างถูกต้อง

6. จุดสูงสุดและต่ำสุดต้องตรงกันในแนวตั้ง

ถ้าไม่แน่ใจว่าระบุ Divergence หรือ Convergence ถูกหรือไม่ ให้ลองลากเส้นแนวตั้งเทียบจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในกราฟราคาและกราฟอินดิเคเตอร์ ถ้าตรงกันแนวตั้ง แสดงว่าคุณทำถูกต้อง

ค่าสูงสุดและต่ำสุดตรงกันในแนวตั้ง

7. องศาการเอียงต้องถูกต้อง

Divergence คือ “การขัดแย้ง” ซึ่งหมายความว่าเส้นที่ลากบนกราฟราคาและอินดิเคเตอร์จะ “แยกออกจากกัน” ส่วน Convergence คือ “การบรรจบ” เส้นทั้งสองจะ “เข้าหากัน” ถ้าเส้นเหล่านั้นขนานกัน แสดงว่าระบุผิด

มุมเส้น

8. Divergence และ Convergence อาจทำงานได้ไม่นาน

เมื่อเห็นสัญญาณ Divergence หรือ Convergence ควรเข้าเทรดทันทีที่ยืนยัน (อย่างเช่น การเกิดจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่สอง หรือการเบรกทะลุเทรนด์ไลน์) หากรอนานเกินไป ราคาจะกลับตัวเสร็จและอาจพลาดโอกาสทำกำไร

9. สัญญาณที่ดีที่สุดมักอยู่ใน Timeframe ใหญ่

แม้เราจะหา Divergence และ Convergence ได้ในทุก Timeframe แต่ก็มักเป็นจริงที่ Timeframe ใหญ่จะให้สัญญาณที่ชัดและแม่นยำกว่า ถึงแม้จะมีสัญญาณไม่บ่อยนัก แต่ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

Convergence และ Divergence – สรุปภาพรวม

บทความนี้มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ได้เวลาเราสรุปกันสั้นๆ ถึงประเด็นต่างๆ ในบท

Divergence

  • ราคาบนกราฟทำจุดสูงสุดใหม่
  • แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดทางขวาต่ำกว่าทางซ้าย (Lower High)
  • เกิดในเทรนด์ขาขึ้น และบอกโอกาสกลับตัว ปรับฐาน หรือพักตัว
  • เราเปิดออเดอร์สวนเทรนด์ขาลง

ความแตกต่าง

Convergence

  • ราคาบนกราฟทำจุดต่ำสุดใหม่
  • แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดทางขวาสูงกว่าทางซ้าย (Higher Low)
  • เกิดในเทรนด์ขาลง และบอกโอกาสกลับตัว ปรับฐาน หรือพักตัว
  • เราเปิดออเดอร์สวนเทรนด์ขาขึ้น

การบรรจบกัน

Hidden Divergence

  • ราคาบนกราฟทำจุดต่ำสุดในเทรนด์ขาขึ้น โดยจุดต่ำสุดถัดมาสูงขึ้น
  • แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดถัดมาต่ำลง (Lower Low)
  • เกิดในเทรนด์ขาขึ้น และบอกว่าเทรนด์อาจไปต่อ
  • เราเปิดออเดอร์ตามเทรนด์ขาขึ้น

ความแตกต่างที่ซ่อนอยู่

Hidden Convergence

  • ราคาบนกราฟทำจุดสูงสุดในเทรนด์ขาลง โดยจุดสูงสุดถัดมาต่ำลง
  • แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดถัดมาที่สูงขึ้น (Higher High)
  • เกิดในเทรนด์ขาลง และบอกว่าเทรนด์อาจลงต่อ
  • เราเปิดออเดอร์ตามเทรนด์ขาลง

การบรรจบกันที่ซ่อนอยู่

Divergence และ Convergence ในฐานะแหล่งทำกำไร

Divergence และ Convergence รวมถึง “พี่น้อง” ที่เป็น Hidden Divergence/Convergence ถือเป็นแหล่งสัญญาณที่ค่อนข้างแม่นยำในการเปิดดีล แต่ก็เหมือนกลยุทธ์อื่นๆ คือผู้เทรดต้องมีประสบการณ์ และเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาด

มีกฎง่ายๆ ที่ผมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน คือ “ถ้ามีอะไรที่เราไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจ ก็อย่าเทรด!” คุณก็ควรทำเช่นเดียวกัน ถ้ารู้สึกว่าไม่เข้าใจหรือกล้าๆ กลัวๆ ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์ Divergence และ Convergence เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ และไม่ควรรีบใช้เพียงเพราะมีคนบอกว่า “มันทำกำไรได้”

แม้เครื่องมือนี้อาจให้ผลดีสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ แต่สำหรับมือใหม่อาจกลายเป็นเหตุให้พอร์ตเสียหายได้ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่มั่นใจ ก็ไม่ต้องเร่งรีบ จงค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไป เพราะการเทรดคือการแข่งขันมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งสปรินต์ “ถ้าจะเรียนทุกอย่างในวันเดียว” อาจไม่เกิดขึ้นจริง ควรปล่อยให้เวลาช่วยเสริมสร้างความเข้าใจ จะได้ใช้ Divergence และ Convergence ทำกำไรได้อย่างมั่นใจ
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar