Divergence และ Convergence ในออปชั่นไบนารี (2025)
Updated: 06.05.2025
Divergence และ Convergence ในการเทรด: วิธีใช้ Divergence และ Convergence ในออปชั่นไบนารี (2025)
ในบทความก่อนหน้านี้ เราได้ทำความรู้จักกับออสซิลเลเตอร์ (Oscillator) ซึ่งเป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ “คาดการณ์” การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต วันนี้เราจะมาพูดถึงคุณสมบัติสำคัญของออสซิลเลเตอร์เหล่านี้ นั่นคือการระบุ Divergence และ Convergence ในการเทรด
Divergence ในการเทรด หมายถึงความขัดแย้งระหว่างข้อมูลในกราฟราคาและข้อมูลจากตัวอินดิเคเตอร์ ส่วน Convergence ในการเทรด คือการเคลื่อนเข้าหากันของข้อมูลบนกราฟกับอินดิเคเตอร์ ฟังดูยังไม่ชัดเจนใช่ไหม? บทความนี้จะช่วยอธิบายให้กระจ่าง
ตัวอย่างเช่น นี่คือภาพ Divergence ที่ระบุโดยออสซิลเลเตอร์ MACD: หากเราพิจารณา Divergence ผ่านอินดิเคเตอร์ Stochastic ก็จะมีลักษณะดังนี้: หรือใช้ RSI เพื่อระบุ Divergence ก็ได้เช่นกัน: ในหลายกรณี Divergence บ่งบอกถึงการชะลอตัว การปรับฐาน หรือการกลับตัวของเทรนด์ ไม่ว่าจะอย่างไร ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ขาขึ้นเริ่มอ่อนแรงลงมากแล้ว ตามที่อินดิเคเตอร์บอกเรา ซึ่งเราสามารถใช้ Divergence ในการทำกำไรได้ แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีวิธีไหนที่ให้กำไร 100% เสมอไป
Divergence จะถือว่าเกิดขึ้นเมื่อมีจุดสูงสุดบนกราฟราคาสองจุด โดยที่จุดสูงสุดที่สองสูงกว่าจุดแรก ในขณะที่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับต่ำกว่าจุดแรก นี่คือสัญญาณ Divergence หลังจากนั้น สามารถเปิดออเดอร์เทรดลงได้ประมาณสองแท่งเทียนหลังยืนยัน Divergence
สิ่งสำคัญคือต้องให้แท่งเทียนสองแท่งที่ตามมาเคลื่อนลง เพื่อยืนยันว่าเกิดจุดสูงสุดที่ชัดเจนบนกราฟราคา และพร้อมที่จะลง จากนั้นดูอินดิเคเตอร์ว่ามีจุดสูงสุดตามมาและเริ่มเคลื่อนลงด้วยหรือไม่ (กราฟ Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มปรับลง) ถ้ากราฟราคาเริ่มลงก่อน แต่อินดิเคเตอร์ยังไม่แสดงการลง เราต้องรอให้อินดิเคเตอร์ยืนยันก่อนจึงนับสองแท่งเทียนแล้วค่อยเปิดออเดอร์ลง: ระยะเวลาการถือออเดอร์ (Expiration) ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 3-5 แท่งเทียน ส่วนใหญ่เวลาเท่านี้ถือว่าเพียงพอที่ราคาจะเคลื่อนตัวปิดกำไร หากจะสรุปขั้นตอนเทรด Divergence จะเป็นดังนี้:
ตัวอย่าง Convergence ผ่าน MACD: สำหรับ RSI ก็สามารถระบุ Convergence ได้เช่นกัน: และแน่นอนว่าใช้ Stochastic ก็ดู Convergence ได้: Convergence ชี้ให้เห็นโอกาสที่ราคาจะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น การรีบาวด์หรืออาจเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ (Sideway) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มันมักบ่งบอกว่าราคาจะเคลื่อนที่ต้านเทรนด์เดิม (ขาลง) ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเช่นนั้น
เราสามารถใช้ Convergence ทำกำไรได้เหมือนกับ Divergence โดยกติกาจะคล้ายๆ กัน แต่เปลี่ยนเป็นเปิดดีลขึ้น (Call)
ลองดูอีกตัวอย่างโดยใช้ RSI: ก็จะเห็นว่าหาโซนต่ำสุด (Bottom) ใน RSI ได้ไม่ยาก จากนั้นนับสองแท่งเทียนและเข้าเทรดขึ้นในแท่งที่สาม
แน่นอนว่าการเทรด Convergence และ Divergence ก็มีความเสี่ยง:
วิธีเทรด Hidden Divergence มีขั้นตอนคล้ายๆ กับ Divergence ทั่วไป:
สมมติเราเจอ Convergence ในช่วงเทรนด์ขาลง: ขั้นต่อมาให้เราลากเส้นเทรนด์ไลน์ลงบนกราฟราคา (เพราะเป็นเทรนด์ขาลง จึงใช้เส้นแนวต้าน) เส้นนี้จะอยู่เหนือราคา โดยลากจากจุดเริ่มต้นเทรนด์ผ่านจุดสูงสุดต่างๆ: เมื่อเรารู้แล้วว่า Convergence สิ้นสุดลงที่จุดต่ำสุดที่สองของอินดิเคเตอร์ และราคากำลังขยับขึ้น ให้เรารอจนแท่งเทียนราคาทะลุเส้นเทรนด์ไลน์และปิดเหนือเส้นนี้ จากนั้นค่อยเปิดออเดอร์ Call ในแท่งถัดไป ตั้งเวลาเอ็กซ์ไพเรชัน 3-5 แท่ง: ถ้าเป็น Hidden Convergence ขั้นตอนก็เหมือนกัน:
อีกข้อหนึ่งคือปัจจัยด้านมนุษย์ (Human Factor) เพราะแต่ละคนลากเส้นเทรนด์ไลน์ไม่เหมือนกัน (ไม่มีเครื่องมือใดการันตีได้ 100%) จึงมีโอกาสผิดพลาดมากกว่าการดูจุดสูงสุด/ต่ำสุดโดยตรง
ขอทวนอีกที:
มีกฎง่ายๆ ที่ผมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน คือ “ถ้ามีอะไรที่เราไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจ ก็อย่าเทรด!” คุณก็ควรทำเช่นเดียวกัน ถ้ารู้สึกว่าไม่เข้าใจหรือกล้าๆ กลัวๆ ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์ Divergence และ Convergence เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ และไม่ควรรีบใช้เพียงเพราะมีคนบอกว่า “มันทำกำไรได้”
แม้เครื่องมือนี้อาจให้ผลดีสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ แต่สำหรับมือใหม่อาจกลายเป็นเหตุให้พอร์ตเสียหายได้ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่มั่นใจ ก็ไม่ต้องเร่งรีบ จงค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไป เพราะการเทรดคือการแข่งขันมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งสปรินต์ “ถ้าจะเรียนทุกอย่างในวันเดียว” อาจไม่เกิดขึ้นจริง ควรปล่อยให้เวลาช่วยเสริมสร้างความเข้าใจ จะได้ใช้ Divergence และ Convergence ทำกำไรได้อย่างมั่นใจ
Divergence ในการเทรด หมายถึงความขัดแย้งระหว่างข้อมูลในกราฟราคาและข้อมูลจากตัวอินดิเคเตอร์ ส่วน Convergence ในการเทรด คือการเคลื่อนเข้าหากันของข้อมูลบนกราฟกับอินดิเคเตอร์ ฟังดูยังไม่ชัดเจนใช่ไหม? บทความนี้จะช่วยอธิบายให้กระจ่าง
เนื้อหา
- Divergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย
- กติกาเทรด Divergence – วิธีทำกำไรจาก Divergence
- Convergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย
- กติกาเทรด Convergence – ใช้ Convergence เพื่อสร้างกำไร
- Hidden Divergence ในการเทรด – วิธีเทรด Hidden Divergence
- Hidden Convergence – วิธีเทรด Hidden Convergence
- เทรด Divergence และ Convergence ร่วมกับเส้นเทรนด์ไลน์
- 9 กฎสำคัญของ Divergence และ Convergence
- Divergence และ Convergence เกิดขึ้นในช่วงที่มีเทรนด์
- ระบุเทรนด์อย่างถูกต้อง
- หลังการเคลื่อนไหวแบบ Sideway จะตามมาด้วยเทรนด์
- Overbought และ Oversold สำคัญมากในการระบุ Divergence และ Convergence
- เชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดอย่างถูกต้อง
- จุดสูงสุดและต่ำสุดต้องตรงกันในแนวตั้ง
- องศาการเอียงต้องถูกต้อง
- Divergence และ Convergence อาจทำงานได้ไม่นาน
- สัญญาณที่ดีที่สุดมักอยู่ใน Timeframe ใหญ่
- Convergence และ Divergence – สรุปภาพรวม
- Divergence และ Convergence ในฐานะแหล่งทำกำไร
Divergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย
Divergence ในการเทรดคือความขัดแย้งระหว่างกราฟราคากับกราฟของอินดิเคเตอร์ ในทางปฏิบัติจะมีลักษณะดังนี้:- กราฟราคาเป็นเทรนด์ขาขึ้น และราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High)
- แต่กราฟของอินดิเคเตอร์กลับไม่ตามราคา แต่ละจุดสูงสุดใหม่ของอินดิเคเตอร์กลับต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
- MACD
- RSI
- Stochastic
ตัวอย่างเช่น นี่คือภาพ Divergence ที่ระบุโดยออสซิลเลเตอร์ MACD: หากเราพิจารณา Divergence ผ่านอินดิเคเตอร์ Stochastic ก็จะมีลักษณะดังนี้: หรือใช้ RSI เพื่อระบุ Divergence ก็ได้เช่นกัน: ในหลายกรณี Divergence บ่งบอกถึงการชะลอตัว การปรับฐาน หรือการกลับตัวของเทรนด์ ไม่ว่าจะอย่างไร ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ขาขึ้นเริ่มอ่อนแรงลงมากแล้ว ตามที่อินดิเคเตอร์บอกเรา ซึ่งเราสามารถใช้ Divergence ในการทำกำไรได้ แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีวิธีไหนที่ให้กำไร 100% เสมอไป
กติกาเทรด Divergence – วิธีทำกำไรจาก Divergence
Divergence มักเกิดในช่วงขาขึ้น และเป็นสัญญาณว่าราคาอาจกลับตัว ปรับฐาน หรือหยุดแนวโน้มขาขึ้น (กลายเป็นขาลง) ดังนั้นสิ่งที่เราควรมองหาคือจังหวะเข้าเทรดขาลง (Put) หลังเห็น DivergenceDivergence จะถือว่าเกิดขึ้นเมื่อมีจุดสูงสุดบนกราฟราคาสองจุด โดยที่จุดสูงสุดที่สองสูงกว่าจุดแรก ในขณะที่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับต่ำกว่าจุดแรก นี่คือสัญญาณ Divergence หลังจากนั้น สามารถเปิดออเดอร์เทรดลงได้ประมาณสองแท่งเทียนหลังยืนยัน Divergence
สิ่งสำคัญคือต้องให้แท่งเทียนสองแท่งที่ตามมาเคลื่อนลง เพื่อยืนยันว่าเกิดจุดสูงสุดที่ชัดเจนบนกราฟราคา และพร้อมที่จะลง จากนั้นดูอินดิเคเตอร์ว่ามีจุดสูงสุดตามมาและเริ่มเคลื่อนลงด้วยหรือไม่ (กราฟ Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มปรับลง) ถ้ากราฟราคาเริ่มลงก่อน แต่อินดิเคเตอร์ยังไม่แสดงการลง เราต้องรอให้อินดิเคเตอร์ยืนยันก่อนจึงนับสองแท่งเทียนแล้วค่อยเปิดออเดอร์ลง: ระยะเวลาการถือออเดอร์ (Expiration) ที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 3-5 แท่งเทียน ส่วนใหญ่เวลาเท่านี้ถือว่าเพียงพอที่ราคาจะเคลื่อนตัวปิดกำไร หากจะสรุปขั้นตอนเทรด Divergence จะเป็นดังนี้:
- จุดสูงสุดของราคา (Top) แรกบนกราฟราคาและในหน้าต่างอินดิเคเตอร์เกิดพร้อมกัน (ยังไม่ใช่จุดที่สนใจมากนัก)
- จุดสูงสุดที่สองของกราฟราคาสูงกว่าจุดแรก แต่ในอินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดแรก (Lower High) ถือว่าเกิด Divergence
- รอให้จุดสูงสุดที่สองของอินดิเคเตอร์เกิดขึ้นและเริ่มขยับลง (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มลดลง)
- เมื่ออินดิเคเตอร์แสดงสัญญาณลง ให้รออีกสองแท่งเทียน จากนั้นเปิดออเดอร์ Put ที่แท่งเทียนที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน
Convergence ในการเทรด: ตัวอย่างและคำอธิบาย
Convergence ในการเทรด คือการเคลื่อนเข้าหากันระหว่างกราฟราคากับค่าที่อินดิเคเตอร์อ่านได้ ลักษณะจะเป็นดังนี้:- กราฟราคาอยู่ในเทรนด์ขาลง (Downtrend)
- ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low)
- ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดที่สองกลับสูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดที่หนึ่ง (Higher Low)
- MACD
- RSI
- Stochastic
ตัวอย่าง Convergence ผ่าน MACD: สำหรับ RSI ก็สามารถระบุ Convergence ได้เช่นกัน: และแน่นอนว่าใช้ Stochastic ก็ดู Convergence ได้: Convergence ชี้ให้เห็นโอกาสที่ราคาจะกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น การรีบาวด์หรืออาจเปลี่ยนไปเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ (Sideway) ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มันมักบ่งบอกว่าราคาจะเคลื่อนที่ต้านเทรนด์เดิม (ขาลง) ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเช่นนั้น
เราสามารถใช้ Convergence ทำกำไรได้เหมือนกับ Divergence โดยกติกาจะคล้ายๆ กัน แต่เปลี่ยนเป็นเปิดดีลขึ้น (Call)
กติกาเทรด Convergence – ใช้ Convergence เพื่อสร้างกำไร
ก่อนอื่นต้องแน่ใจก่อนว่ามี Convergence เกิดขึ้น:- Convergence เกิดขึ้นในเทรนด์ขาลง
- กราฟราคาต้องทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง
- จุดต่ำสุดแรกไม่ใช่จุดสนใจมากนัก แต่ต้องตรงกับจุดต่ำสุดของอินดิเคเตอร์
- จุดต่ำสุดที่สองบนกราฟราคาต่ำกว่าจุดแรก แต่ในอินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นกว่าจุดแรก
- รอจนกระทั่งจุดต่ำสุดที่สองของอินดิเคเตอร์เกิดและเริ่มขยับขึ้น
- เมื่ออินดิเคเตอร์เริ่มขยับขึ้น (Histogram หรือเส้นสัญญาณเลื่อนขึ้น) ให้นับสองแท่งเทียน แล้วเปิดออเดอร์ Call ที่แท่งเทียนที่สาม
- ตั้งเวลาเอ็กซ์ไพเรชัน 3-5 แท่งเทียน
ลองดูอีกตัวอย่างโดยใช้ RSI: ก็จะเห็นว่าหาโซนต่ำสุด (Bottom) ใน RSI ได้ไม่ยาก จากนั้นนับสองแท่งเทียนและเข้าเทรดขึ้นในแท่งที่สาม
แน่นอนว่าการเทรด Convergence และ Divergence ก็มีความเสี่ยง:
- สัญญาณ Divergence และ Convergence ไม่ได้ผลเสมอไป
- การกลับตัวหลัง Divergence หรือ Convergence อาจสั้นเพียง 1-2 แท่งเทียนเท่านั้น
- บางครั้งอินดิเคเตอร์อาจสร้างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดหลอก แล้วไม่นานก็สร้างจุดใหม่อีก ทำให้เราเทรดผิดพลาดไป
Hidden Divergence ในการเทรด – วิธีเทรด Hidden Divergence
Hidden Divergence เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างหายาก ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างกราฟราคาและอินดิเคเตอร์ แต่ต่างจาก Divergence ทั่วไป หากเป็น Hidden Divergence มักเกิดในเทรนด์ขาขึ้น แต่เราจะดูจุดต่ำสุดของราคาบนกราฟและจุดต่ำสุดของอินดิเคเตอร์:- ราคาเคลื่อนตัวขึ้น (Uptrend) – จุดสูงสุดและต่ำสุดในเทรนด์มักสูงขึ้น
- แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดที่สองกลับต่ำลงกว่าจุดแรก
วิธีเทรด Hidden Divergence มีขั้นตอนคล้ายๆ กับ Divergence ทั่วไป:
- จุดต่ำสุดแรกในเทรนด์ขาขึ้น ตรงกับจุดต่ำสุดในหน้าต่างอินดิเคเตอร์
- จุดต่ำสุดที่สองบนกราฟราคาสูงกว่าจุดแรก แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์กลับต่ำลงกว่าจุดแรก (Lower Low)
- รอให้จุดต่ำสุดที่สองในอินดิเคเตอร์เกิดขึ้นและเริ่มขยับขึ้น (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มปรับสูงขึ้น)
- นับสองแท่งเทียน แล้วเปิดออเดอร์ Call ในแท่งเทียนที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน
Hidden Convergence – วิธีเทรด Hidden Convergence
Hidden Convergence เป็นอีกปรากฏการณ์หายากที่บ่งบอกถึงการต่อเนื่องของเทรนด์ขาลง ลักษณะจะเป็นดังนี้:- ตลาดอยู่ในเทรนด์ขาลง (Downtrend)
- บนกราฟราคา จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดก่อนหน้าเสมอ
- แต่ในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับสูงขึ้นกว่าจุดแรก
- จุดสูงสุดแรกในเทรนด์ขาลง ตรงกับจุดสูงสุดในหน้าต่างอินดิเคเตอร์
- จุดสูงสุดที่สองบนกราฟราคาต่ำกว่าจุดแรก
- แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดที่สองกลับสูงกว่าจุดแรก
- รอจนกระทั่งกราฟราคาและอินดิเคเตอร์แสดงการปรับลง (Histogram หรือเส้นสัญญาณเริ่มเคลื่อนลง)
- นับสองแท่งเทียน จากนั้นเปิดออเดอร์ Put ในแท่งที่สาม โดยตั้งเวลา 3-5 แท่งเทียน
เทรด Divergence และ Convergence ร่วมกับเส้นเทรนด์ไลน์
นอกจากวิธีเทรด Divergence และ Convergence โดยดูจุดสูงสุดหรือต่ำสุดแล้ว ยังมีอีกแนวทางคือการใช้เทรนด์ไลน์ร่วมด้วย ลองดูตัวอย่างกันสมมติเราเจอ Convergence ในช่วงเทรนด์ขาลง: ขั้นต่อมาให้เราลากเส้นเทรนด์ไลน์ลงบนกราฟราคา (เพราะเป็นเทรนด์ขาลง จึงใช้เส้นแนวต้าน) เส้นนี้จะอยู่เหนือราคา โดยลากจากจุดเริ่มต้นเทรนด์ผ่านจุดสูงสุดต่างๆ: เมื่อเรารู้แล้วว่า Convergence สิ้นสุดลงที่จุดต่ำสุดที่สองของอินดิเคเตอร์ และราคากำลังขยับขึ้น ให้เรารอจนแท่งเทียนราคาทะลุเส้นเทรนด์ไลน์และปิดเหนือเส้นนี้ จากนั้นค่อยเปิดออเดอร์ Call ในแท่งถัดไป ตั้งเวลาเอ็กซ์ไพเรชัน 3-5 แท่ง: ถ้าเป็น Hidden Convergence ขั้นตอนก็เหมือนกัน:
- ระบุ Hidden Convergence ในอินดิเคเตอร์
- ลากเส้นเทรนด์ไลน์ (แนวรับ) บนกราฟราคา
- เมื่อราคาทะลุเทรนด์ไลน์ได้ ให้เปิดออเดอร์ Put 3-5 แท่งเทียน
- ระบุ Divergence บนกราฟราคา
- ลากเทรนด์ไลน์ (เส้นแนวรับในกรณีเทรนด์ขาขึ้น)
- เมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับ ให้เปิดออเดอร์ Put 3-5 แท่ง
- ระบุ Hidden Divergence
- ลากเทรนด์ไลน์ (เส้นแนวต้าน) บนกราฟ
- เมื่อราคาทะลุเส้นนี้ได้ ค่อยเปิดออเดอร์ Call 3-5 แท่ง
อีกข้อหนึ่งคือปัจจัยด้านมนุษย์ (Human Factor) เพราะแต่ละคนลากเส้นเทรนด์ไลน์ไม่เหมือนกัน (ไม่มีเครื่องมือใดการันตีได้ 100%) จึงมีโอกาสผิดพลาดมากกว่าการดูจุดสูงสุด/ต่ำสุดโดยตรง
9 กฎสำคัญของ Divergence และ Convergence
เพื่อให้เทรดด้วย Divergence และ Convergence ได้เต็มประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้1. Divergence และ Convergence เกิดขึ้นในช่วงที่มีเทรนด์
Divergence และ Convergence จะเกิดในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวเป็นเทรนด์ หากเกิดใน Sideway หรือราคาวิ่งในกรอบแนวราบ การเด้งกลับของราคามักมีขนาดเล็ก ทำให้สัญญาณหลอกเกิดได้มาก2. ระบุเทรนด์อย่างถูกต้อง
บางครั้งกฎ “ราคาวิ่งจากซ้ายบนลงขวาล่างคือขาลง” อาจไม่ได้ผลเสมอไป ควรพิจารณาโครงสร้างของเทรนด์จริงๆ โดยเฉพาะจุดสูงสุดและต่ำสุดขอทวนอีกที:
- เทรนด์ขาขึ้น: จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะสูงกว่าจุดเดิมเสมอ
- เทรนด์ขาลง: จุดสูงสุดและต่ำสุดใหม่จะต่ำกว่าจุดเดิมเสมอ
3. หลังการเคลื่อนไหวแบบ Sideway จะตามมาด้วยเทรนด์
ตลาด Sideway ไม่อาจอยู่ตลอดไป สักพักก็จะพัฒนาเป็นเทรนด์ สิ่งที่มักเป็นปัญหาคือเทรดเดอร์มือใหม่จะไม่รู้ว่าช่วงไหนจะเริ่มเทรนด์ ควรสังเกตจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่เริ่มเปลี่ยนไป:- ถ้าจุดสูงสุด (High) เริ่มทำใหม่สูงกว่าเดิม แสดงว่าเทรนด์กำลังจะเป็นขาขึ้น
- ถ้าจุดต่ำสุด (Low) เริ่มทำใหม่ต่ำกว่าเดิม แสดงว่าเทรนด์กำลังจะเป็นขาลง
4. Overbought และ Oversold สำคัญมากในการระบุ Divergence และ Convergence
การระบุ Divergence และ Convergence มักได้ผลดีหากจุดสูงสุด/ต่ำสุดของอินดิเคเตอร์เกิดในโซน Overbought/ Oversold:5. เชื่อมจุดสูงสุดและต่ำสุดอย่างถูกต้อง
จุดสูงสุดและต่ำสุดบนกราฟราคาควรอยู่ระนาบเดียวกับจุดสูงสุด/ต่ำสุดของอินดิเคเตอร์ การเชื่อมจุดผิดจะส่งผลให้ระบุ Divergence หรือ Convergence คลาดเคลื่อน6. จุดสูงสุดและต่ำสุดต้องตรงกันในแนวตั้ง
ถ้าไม่แน่ใจว่าระบุ Divergence หรือ Convergence ถูกหรือไม่ ให้ลองลากเส้นแนวตั้งเทียบจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในกราฟราคาและกราฟอินดิเคเตอร์ ถ้าตรงกันแนวตั้ง แสดงว่าคุณทำถูกต้อง7. องศาการเอียงต้องถูกต้อง
Divergence คือ “การขัดแย้ง” ซึ่งหมายความว่าเส้นที่ลากบนกราฟราคาและอินดิเคเตอร์จะ “แยกออกจากกัน” ส่วน Convergence คือ “การบรรจบ” เส้นทั้งสองจะ “เข้าหากัน” ถ้าเส้นเหล่านั้นขนานกัน แสดงว่าระบุผิด8. Divergence และ Convergence อาจทำงานได้ไม่นาน
เมื่อเห็นสัญญาณ Divergence หรือ Convergence ควรเข้าเทรดทันทีที่ยืนยัน (อย่างเช่น การเกิดจุดสูงสุด/ต่ำสุดที่สอง หรือการเบรกทะลุเทรนด์ไลน์) หากรอนานเกินไป ราคาจะกลับตัวเสร็จและอาจพลาดโอกาสทำกำไร9. สัญญาณที่ดีที่สุดมักอยู่ใน Timeframe ใหญ่
แม้เราจะหา Divergence และ Convergence ได้ในทุก Timeframe แต่ก็มักเป็นจริงที่ Timeframe ใหญ่จะให้สัญญาณที่ชัดและแม่นยำกว่า ถึงแม้จะมีสัญญาณไม่บ่อยนัก แต่ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าConvergence และ Divergence – สรุปภาพรวม
บทความนี้มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ ได้เวลาเราสรุปกันสั้นๆ ถึงประเด็นต่างๆ ในบทDivergence
- ราคาบนกราฟทำจุดสูงสุดใหม่
- แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดสูงสุดทางขวาต่ำกว่าทางซ้าย (Lower High)
- เกิดในเทรนด์ขาขึ้น และบอกโอกาสกลับตัว ปรับฐาน หรือพักตัว
- เราเปิดออเดอร์สวนเทรนด์ขาลง
Convergence
- ราคาบนกราฟทำจุดต่ำสุดใหม่
- แต่ในอินดิเคเตอร์ จุดต่ำสุดทางขวาสูงกว่าทางซ้าย (Higher Low)
- เกิดในเทรนด์ขาลง และบอกโอกาสกลับตัว ปรับฐาน หรือพักตัว
- เราเปิดออเดอร์สวนเทรนด์ขาขึ้น
Hidden Divergence
- ราคาบนกราฟทำจุดต่ำสุดในเทรนด์ขาขึ้น โดยจุดต่ำสุดถัดมาสูงขึ้น
- แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดต่ำสุดถัดมาต่ำลง (Lower Low)
- เกิดในเทรนด์ขาขึ้น และบอกว่าเทรนด์อาจไปต่อ
- เราเปิดออเดอร์ตามเทรนด์ขาขึ้น
Hidden Convergence
- ราคาบนกราฟทำจุดสูงสุดในเทรนด์ขาลง โดยจุดสูงสุดถัดมาต่ำลง
- แต่อินดิเคเตอร์กลับทำจุดสูงสุดถัดมาที่สูงขึ้น (Higher High)
- เกิดในเทรนด์ขาลง และบอกว่าเทรนด์อาจลงต่อ
- เราเปิดออเดอร์ตามเทรนด์ขาลง
Divergence และ Convergence ในฐานะแหล่งทำกำไร
Divergence และ Convergence รวมถึง “พี่น้อง” ที่เป็น Hidden Divergence/Convergence ถือเป็นแหล่งสัญญาณที่ค่อนข้างแม่นยำในการเปิดดีล แต่ก็เหมือนกลยุทธ์อื่นๆ คือผู้เทรดต้องมีประสบการณ์ และเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดมีกฎง่ายๆ ที่ผมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน คือ “ถ้ามีอะไรที่เราไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจ ก็อย่าเทรด!” คุณก็ควรทำเช่นเดียวกัน ถ้ารู้สึกว่าไม่เข้าใจหรือกล้าๆ กลัวๆ ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปิดออเดอร์ Divergence และ Convergence เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ และไม่ควรรีบใช้เพียงเพราะมีคนบอกว่า “มันทำกำไรได้”
แม้เครื่องมือนี้อาจให้ผลดีสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ แต่สำหรับมือใหม่อาจกลายเป็นเหตุให้พอร์ตเสียหายได้ ดังนั้นถ้าคุณยังไม่มั่นใจ ก็ไม่ต้องเร่งรีบ จงค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไป เพราะการเทรดคือการแข่งขันมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งสปรินต์ “ถ้าจะเรียนทุกอย่างในวันเดียว” อาจไม่เกิดขึ้นจริง ควรปล่อยให้เวลาช่วยเสริมสร้างความเข้าใจ จะได้ใช้ Divergence และ Convergence ทำกำไรได้อย่างมั่นใจ
บทวิจารณ์และความคิดเห็น