หน้าหลัก ข่าวไซต์
กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น: คู่มือวิเคราะห์ตลาดปี 2025
Updated: 06.05.2025

แท่งเทียนญี่ปุ่นสำหรับมือใหม่และมืออาชีพ: การวิเคราะห์เชิงกราฟของตลาดการเงินโดยใช้แท่งเทียนญี่ปุ่น (2025)

แท่งเทียนญี่ปุ่นเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการอ่านและวิเคราะห์กราฟราคา การเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่นเข้าใจง่ายและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้สูงสุด กราฟแท่งเทียนเองเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์ทุกกลุ่ม: ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ และตั้งแต่เทรดเดอร์ออปชั่นไบนารีจนถึงเทรดเดอร์ Forex หรือผู้ลงทุนในตลาดหุ้น

มีการกล่าวถึงการสร้างกราฟ “แท่งเทียน” ครั้งแรกในช่วงปี ค.ศ.1700 ซึ่งในขณะนั้น โฮมมะ มูเนฮิซะ (Homma Munehisa) พ่อค้าข้าวชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ใช้งาน ต่อมาอีก 300 ปี ความรู้เหล่านี้ได้รับการปรับปรุงและเผยแพร่ในหนังสือของสตีฟ นีสัน (Steve Nison) ชื่อ “Japanese Candlesticks. Graphical analysis of financial markets.” ในบทความนี้ ผมจะพยายามสรุปข้อมูลสำคัญทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องใช้ในการวิเคราะห์กราฟราคาด้วยแท่งเทียน

เนื้อหา

วิธีอ่านและเข้าใจแท่งเทียนญี่ปุ่นให้ถูกต้อง: แท่งเทียนญี่ปุ่นคืออะไร?

ก่อนจะอ่านและเข้าใจแท่งเทียนญี่ปุ่นได้ถูกต้อง คุณต้องรู้ก่อนว่าแท่งเทียนญี่ปุ่นคืออะไร และมีข้อมูลอะไรบ้าง

แท่งเทียนญี่ปุ่นแต่ละแท่งให้ข้อมูลที่สำคัญ 4 อย่าง ได้แก่:
  • ราคาเปิด
  • ค่าสูงสุดของราคา
  • ค่าต่ำสุดของราคา
  • ราคาปิด

เทียนญี่ปุ่น

  • แท่งขาขึ้น (bullish candle) – มักเป็นสีเขียว เกิดจากราคาปรับตัวขึ้น บ่งบอกว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด
  • แท่งขาลง (bearish candle) – มักเป็นสีแดง บ่งบอกว่าราคาปรับตัวลง ในแท่งขาลง ราคาปิดจะต่ำกว่าราคาเปิด
คำว่า “ขาขึ้น” และ “ขาลง” นี้มาจากการเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของวัวและหมี: วัวใช้น้ำหนักและเขาของมันดันราคาขึ้น ส่วนหมีเมื่อยืนสองขาทำให้ราคาตกลงด้วยกรงเล็บขาหน้า

บูลส์และหมี

แนวโน้มที่มีแท่งเทียนบางประเภทเด่นชัดจะถูกเรียกตามนั้น:
  • แนวโน้มขาขึ้น (bullish trend) – สภาวะตลาดที่มีแท่งขาขึ้นปรากฏมากเป็นพิเศษ
  • แนวโน้มขาลง (bearish trend) – สภาวะตลาดที่มีแท่งขาลงจำนวนมาก

บูลส์และหมีบนกราฟ

กลับมาที่แท่งเทียนญี่ปุ่นของเรา มาดูการเกิดขึ้นของแท่งเทียนทีละขั้นตอน ตัวแท่ง (body) คือส่วนที่อยู่ระหว่างราคาเปิดและราคาปิด ส่วนไส้เทียน (shadow) ด้านบนหรือด้านล่าง บ่งบอกราคาสูงสุดและต่ำสุดระหว่างช่วงเวลาที่แท่งนั้นก่อตัว

แท่งเทียนอาจมีหรือไม่มีไส้เทียนก็ได้ กรณีไม่มีไส้เทียนเลย หมายความว่าราคาเปิดเป็นราคาสูงสุดทันทีในกรณีที่เป็นแท่งขาลง (หรือเป็นราคาต่ำสุดหากเป็นแท่งขาขึ้น) และราคาปิดเป็นราคาต่ำสุด (หรือเป็นราคาสูงสุดหากเป็นแท่งขาขึ้น)

นอกจากนี้ บางแท่งเทียนอาจไม่มีตัวแท่ง (body) เลย มีแค่ไส้เทียนเท่านั้น เพราะราคาเปิดเท่ากับราคาปิด เรียกว่าแท่งเทียนแบบโดจิ (Doji) ซึ่งเราจะพูดถึงอีกสักครู่ ลองดูตัวอย่างการก่อตัวของแท่งเทียนขาขึ้น:

การก่อตัวเทียนญี่ปุ่น

การก่อตัวของแท่งเทียนขาลงจะคล้ายกัน เพียงแต่ในระหว่างช่วงนั้นราคาปรับตัวลง ตัวแท่งจะแสดงการลดลงของราคาตั้งแต่จุดราคาเปิดถึงจุดราคาปิด:

การก่อตัวของเทียนขาลง

แต่ละแท่งเทียนจะก่อตัวตาม Time Frame (TF) ที่คุณเลือก เช่น:
  • Time frame M5 (กรอบเวลา 5 นาที) – แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลรวมของ 5 นาที: ราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด และราคาปิด ในช่วง 5 นาทีนั้น
  • Time frame H1 (กรอบเวลา 1 ชั่วโมง) – เหมือนกันแต่แท่งเทียน 1 แท่งจะแสดงข้อมูลรวมของ 1 ชั่วโมง
การสร้างแท่งเทียนแบบนี้ทำให้เราเห็นข้อมูลที่สำคัญต่อการเทรดอย่างครบถ้วน:
  • เรารู้ทันทีว่าราคาขึ้นหรือลงในช่วงเวลาที่กำหนด
  • เห็นจุดราคาสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลานั้น
  • ด้วยการเข้าใจรูปแบบแท่งเทียนญี่ปุ่น เราสามารถคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคตและหาจุดเข้าเทรดที่เหมาะสม
สิ่งเหล่านี้ทำได้ยากขึ้นถ้าใช้กราฟเส้นปกติ แม้กราฟเส้นจะเป็นการวาดเส้นราคาจริงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แสดงรายละเอียดที่จำเป็นให้วิเคราะห์ได้ง่ายๆ:

แผนภูมิเส้นและเทียนญี่ปุ่น

ทำไมต้องทำให้เรื่องยากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเราสามารถเปลี่ยนกราฟเป็น “แท่งเทียนญี่ปุ่น” เพื่อรับข้อมูลมากที่สุดได้ทันที!

วิธีอ่านแท่งเทียนญี่ปุ่นบนกราฟ

แท่งเทียนญี่ปุ่นทุกแท่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นกลาง คล้ายเส้น “-” ธรรมดาๆ เทรดเดอร์ไม่อาจรู้ล่วงหน้าว่าแท่งเทียนจะกลายเป็นขาขึ้นหรือขาลง หรืออาจอยู่ตรงกลาง (doji) เพราะตลาดยังต้องตัดสินอยู่

ถ้าในตลาดมีผู้ซื้อ (bulls) มากกว่า ราคาจะขึ้นและเกิดแท่งเทียนขาขึ้น หากในตลาดมีผู้ขาย (bears) เหนือกว่า ราคาจะลงและเกิดแท่งเทียนขาลง

แท่งเทียนที่ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์จึงเป็นภาพสะท้อนของฝ่ายที่ชนะหรือแพ้ระหว่างช่วงเวลานั้น

แท่งเทียนขาขึ้น: แท่งเทียนญี่ปุ่นที่แสดงการปรับตัวขึ้นของราคา

เทียนรั้น

เมื่อคุณเห็นแท่งเทียนขาขึ้นบนกราฟ หมายความว่าผู้ซื้อครองตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาดันราคาให้สูงขึ้น ยิ่งจำนวนผู้ซื้อมากกว่าผู้ขายเท่าไร ตัวแท่งเทียนจะยิ่งยาว (body ใหญ่) และไส้เทียนจะสั้นหรือไม่มีเลย แต่ถ้าสัดส่วนผู้ซื้อกับผู้ขายเริ่มเปลี่ยนไป ก็จะเริ่มเห็นแท่งเทียนขาขึ้นที่มีตัวแท่งเล็กและไส้เทียนยาว

แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่องกัน (body ยาวและไส้เทียนสั้นมาก) มักบ่งบอกถึงความมั่นคงของแนวโน้มขาขึ้น และการเคลื่อนไหวของราคาจะยังคงขึ้นต่อไป จนกว่าฝั่งผู้ขายจะเข้ามาแทรก

คุณสามารถใช้แท่งเทียนญี่ปุ่นช่วยหาจุดเข้าเทรด หรือหลีกเลี่ยงสัญญาณหลอก เช่น หากกลยุทธ์บอกให้คุณเทรดขาลง แต่เห็นแท่งเทียนขาขึ้นที่แข็งแกร่งบนกราฟ คุณควรรอให้แรงขึ้นอ่อนตัวลงก่อน จึงค่อยพิจารณาเปิดออเดอร์ฝั่งขายเมื่อฝั่งผู้ขายเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น

เทียนรั้นให้พลังเทียน

แท่งเทียนขาลง: แท่งเทียนญี่ปุ่นที่แสดงการปรับตัวลงของราคา

เทียนหมี

แท่งเทียนขาลงหมายความว่าผู้ขายครองตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว ราคาจึงลดลง ยิ่งจำนวนผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ตัวแท่งเทียนก็จะยิ่งยาว (body ใหญ่) และไส้เทียนจะสั้นหรือไม่มีเลย

เมื่อผู้ซื้อ (bulls) เริ่มเข้ามาในตลาด แท่งเทียนขาลงจะเปลี่ยนลักษณะเป็นแท่งเทียนที่มี body เล็กและมีไส้เทียนยาว หากแท่งเทียนสีแดงขนาดใหญ่เรียงติดต่อกันหลายแท่ง แสดงถึงแรงกดดันขาลงที่เข้มข้นและราคายังคงมีแนวโน้มลดลงต่อไป

แนวทางในการเทรด:
  • มองหาจุดเข้าเทรดฝั่งขาลงเพื่อเคลื่อนไปตามแนวโน้มหลัก
  • รอจังหวะที่แรงขายเริ่มลดลง (เห็นแท่งแดง body เล็กและไส้เทียนยาว) แล้วจึงพิจารณาเข้าซื้อเพื่อเล่นขาขึ้น

เทียนขาลงให้พลังเทียน

ไส้เทียนของแท่งเทียนญี่ปุ่น

เงาเทียน

นอกจากตัวแท่งเทียน (body) แล้ว ไส้เทียนก็สำคัญเช่นกัน เพราะมันบ่งบอกจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคาในช่วงเวลานั้น และยังสะท้อนถึงแรงซื้อหรือแรงขายในตลาด

ตัวอย่าง หากคุณเห็นแท่งเทียนขาลงที่มี body เล็กแต่มีไส้เทียนด้านบนยาว แสดงว่าในช่วงแรกผู้ซื้อคุมตลาด (ราคาจึงพุ่งขึ้นสูง) แต่ในตอนจบ ผู้ขายกลับมาแย่งอำนาจและดันราคาให้ปิดต่ำกว่าจุดเปิดได้ นี่ถือเป็นสัญญาณความแข็งแกร่งของฝั่งผู้ขาย

ในทางกลับกัน ถ้าพบแท่งเทียนขาขึ้นที่มี body เล็กและไส้เทียนด้านล่างยาว หมายความว่าในช่วงแรกผู้ขายคุมตลาด แต่ผู้ซื้อสามารถดึงราคาให้กลับขึ้นมาและปิดที่สูงกว่าราคาเปิดได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของฝั่งผู้ซื้อ

แท่งเทียนแห่งความไม่แน่นอน: สัญญาณเตือนการเปลี่ยนเทรนด์

แท่งเทียนแห่งความไม่แน่นอน (uncertainty candles) คือแท่งที่บอกให้เราระวัง อย่าเพิ่งตัดสินใจเทรดเร็วเกินไป เพราะตลาดอาจกำลังหาจุดสมดุลระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรืออาจเข้าสู่ภาวะไซด์เวย์

เทียนความไม่แน่นอน

วิธีทำความเข้าใจแท่งเทียนญี่ปุ่น: การอ่านข้อมูลที่ได้จากแท่งเทียนอย่างถูกต้อง

การเคลื่อนไหวของราคาในตลาดการเงินเป็นการแข่งขันระหว่างขาขึ้น (bulls) และขาลง (bears) ซึ่งฝั่งใดเหนือกว่า ราคาก็จะเคลื่อนตามฝั่งนั้น

พลังของวัวและพลังของหมี

  • ถ้าผู้ซื้อ (bulls) มากกว่าผู้ขาย (bears) ราคาจะวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าฝั่งผู้ขายจะเข้ามา
  • ถ้าผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ราคาจะลงไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้ซื้อจะกลับเข้ามาตลาด
  • ยิ่งฝั่งใดมีปริมาณมากกว่ากันมากเท่าไร ราคาก็จะยิ่งเคลื่อนที่เร็วขึ้น
  • ถ้าปริมาณผู้ซื้อและผู้ขายใกล้เคียงกัน จะเห็นตลาดเป็นกลางหรือแกว่งแคบๆ
งานวิเคราะห์ราคาจึงเน้นดูว่าใครกำลังเหนือกว่ากัน ซึ่งการอ่านแท่งเทียนญี่ปุ่นเป็นตัวช่วยอย่างมากในการดูว่าตลาดอยู่ในมือของฝั่งใด

สีของแท่งเทียนช่วยบอกว่าใครกำลังคุมตลาดอยู่ (เขียว = ฝั่งซื้อ, แดง = ฝั่งขาย) นอกจากนี้ แท่งเทียนจะสร้างรูปแบบต่อเนื่องกันในรูปของเทรนด์หรือการเคลื่อนที่ในกรอบ (sideways) ซึ่งช่วยให้เราประเมินสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น

กระทิงและหมีเชิงเทียนญี่ปุ่น

ความยาวของไส้เทียนบ่งบอกถึงระดับการดีดตัวของราคาเมื่อเจอแนวรับหรือแนวต้าน:

ดีดตัวจากราคาสูงและต่ำ

ขนาดของตัวแท่งเทียน (เมื่อเทียบกับไส้เทียนหรือเมื่อเทียบกันเอง) บอกให้รู้ถึงการเหนือกว่าอย่างชัดเจนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากตลาดมีฝั่งใดฝั่งหนึ่งเด่นชัด แท่งเทียนก็มักจะมี body ใหญ่และไส้เทียนสั้นหรือไม่มีเลย

ควบคุมหมีและวัวอย่างแข็งแกร่ง

ถ้าแท่งเทียนขาขึ้นมีไส้เทียนยาวด้านบน แต่ body เล็ก แสดงว่าผู้ขายยังแข็งแกร่ง แม้แท่งเทียนจะเป็นขาขึ้น ส่วนแท่งเทียนขาลงที่มีไส้เทียนยาวด้านล่างและ body เล็กก็สื่อว่าผู้ซื้อกำลังมีอิทธิพลมากเช่นกัน ซึ่งมักเกิดในช่วงราคากลับตัว

การต่อต้านที่อ่อนแอจากผู้ซื้อและผู้ขาย

มีปัจจัยหลัก 4 อย่างที่ช่วยให้เข้าใจสภาวะตลาด:
  • ขนาดของตัวแท่งเทียน
  • ขนาดไส้เทียน
  • สัดส่วนระหว่างตัวแท่งเทียนกับไส้เทียน
  • ตำแหน่งของตัวแท่งเทียนเมื่อเทียบกับไส้เทียน
การประเมินปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของตลาด แม้ว่าจะไม่ได้ท่องรูปแบบแท่งเทียนทุกประเภทก็สามารถหาจุดเข้าออกได้ง่ายขึ้น

ขนาดตัวแท่งเทียน

ตัวแท่งเทียน (body) แสดงความแตกต่างระหว่างราคาเปิดกับราคาปิดในช่วงเวลานั้น ยิ่ง difference มาก body ก็ยิ่งใหญ่ จึงสะท้อนความแข็งแกร่งของฝั่งนั้น:
  • แท่งเทียนที่มี body ยาว (เมื่อเทียบกับแท่งเทียนข้างเคียง) บ่งชี้ว่าฝั่งผู้ซื้อหรือผู้ขายแข็งแกร่ง และแนวโน้มน่าจะดำเนินต่อ
  • body ของแท่งที่ขยายขึ้นบ่งบอกถึงความเร็วของเทรนด์หรือโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้น
  • ถ้าพบแท่งเทียนหลายแท่งที่มี body ใกล้เคียงกัน หมายถึงการเคลื่อนตัวที่มั่นคงภายใต้อิทธิพลของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
  • ถ้าขนาด body ของแท่งเทียนเริ่มลดลง แสดงว่าการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเริ่มมากขึ้น มีโอกาสที่แนวโน้มจะจบและเกิดการกลับตัว หรืออาจเข้าสู่การเคลื่อนที่ในกรอบ
  • หากแท่งเทียนใหญ่ในฝั่งหนึ่งเกิดขึ้นติดต่อกัน แล้วตามด้วยแท่งเทียนใหญ่ในฝั่งตรงข้ามทันที หมายถึงตลาดมีการแข่งขันรุนแรงในโซนราคานั้น
ตัวอย่างเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่ง มักปรากฏแท่งเทียนสีเขียวที่มี body ใหญ่ และแท่งสีแดงมีน้อยหรือ body เล็กมาก พอถึงปลายเทรนด์จะมีการแข่งกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย ทำให้เกิดแท่งเทียน 2 แท่งที่มี body เท่ากัน (เขียว 1 แดง 1) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไซด์เวย์หรือกลับตัวเป็นเทรนด์ขาลง:

การกลับตัวในแนวโน้มขาขึ้น

ตัวอย่างเทรนด์ขาลงที่แข็งแกร่ง มักพบแท่งเทียนแดงต่อเนื่องกัน จนกระทั่งผู้ซื้อเข้ามาสร้างแรงต้าน ทำให้ขนาด body ของแท่งเทียนขาลงสั้นลง สุดท้ายราคาเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น:

การกลับตัวของแนวโน้มขาลง

ความหมายของความยาวไส้เทียนในแท่งเทียนญี่ปุ่น

ความยาวไส้เทียนบอกถึงความผันผวนของราคาและการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย:
  • ไส้เทียนสั้น หมายถึงฝั่งผู้ซื้อหรือผู้ขายมีอำนาจเหนือกว่า (ราคาวิ่งไปทางใดทางหนึ่งชัดเจน)
  • ไส้เทียนยาว หมายถึงตลาดยังไม่แน่ชัด ทั้ง 2 ฝั่งกำลังสู้กัน
  • หลังเทรนด์ยาวๆ มักเห็นไส้เทียนยาวขึ้น เพราะราคาเปลี่ยนไปมาก จึงดึงดูดฝั่งตรงข้ามให้เข้ามาลองสู้
  • เทรนด์ที่แข็งแกร่งมาก มักเห็นแท่งเทียนแทบไม่มีไส้เทียนเลย
  • เรายังดูทิศของไส้เทียนเป็นตัวบอกแรงฝั่งตรงข้าม เช่น ในเทรนด์ขาขึ้นถ้าพบว่าแท่งเทียนมีไส้เทียนเฉพาะด้านล่าง แสดงว่าผู้ซื้อยังคุมเกม ส่วนในเทรนด์ขาลง ถ้าพบไส้เทียนเฉพาะด้านบน แสดงว่าผู้ขายยังแข็งแกร่ง

สัดส่วนระหว่างตัวแท่งเทียนกับไส้เทียน (hairpin)

  • ในเทรนด์ที่แข็งแกร่ง ไส้เทียนด้านที่สอดคล้องกับแนวโน้มจะสั้นหรือไม่มีเลย ตัวแท่งจะปิดใกล้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดมาก
  • เมื่อตลาดเริ่มชะลอตัว ขนาดของตัวแท่งเทียนจะใกล้เคียงกับไส้เทียน บ่งบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มเข้ามาแข่งขัน
  • ถ้าตัวแท่งเทียนเล็กกว่าไส้เทียนหลายเท่า มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวสูง เพราะฝั่งตรงข้ามยึดอำนาจได้เต็มที่
  • ในช่วงตลาดไซด์เวย์ มักเห็นแท่งเทียนที่มี body ปานกลาง ไส้เทียนพอๆ กับ body หรือยาวกว่านิดหน่อย
ตัวอย่างด้านล่างเป็นเทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่ง แท่งเทียนมีไส้เทียนสั้นมากหรือไม่มีเลย พอเข้าสู่ช่วงพักตัวเล็กน้อย จะเห็นแท่งเทียนเล็กลงและมีไส้เทียนมากขึ้น:

ตัวเทียนและเงา

ตำแหน่งของตัวแท่งเทียนญี่ปุ่น

  • ถ้าเห็นแท่งเทียนที่มีไส้เทียนยาวด้านใดด้านหนึ่ง แต่ตัวแท่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เรียกว่า “pin bar” ซึ่งมักเป็นสัญญาณกลับตัวหากเกิดบริเวณยอดหรือฐานของเทรนด์ แต่ถ้าเกิดกลางทางหมายถึงตลาดไม่แน่นอน รอตลาดยืนยันดีกว่า
  • ถ้าเห็นแท่งเทียนที่มีตัวแท่งเล็กและมีไส้เทียนยาวทั้ง 2 ด้าน เรียกว่า “Long-Legged Rickshaw” ซึ่งก็ให้ความหมายคล้าย pin bar คือถ้าเกิดบนยอดหรือปลายเทรนด์คือกลับตัว แต่ถ้าเกิดกลางทางคือยังไม่ชัดเจน
เราดูความแข็งแกร่งของแท่งเทียนได้จากตำแหน่งตัวแท่งเมื่อเทียบกับไส้เทียน (ถ้ามี):

พลังเทียนญี่ปุ่น

แท่งเทียนญี่ปุ่น: รูปแบบแท่งเทียนและการกลับตัวของราคา

เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจตลาดได้ดียิ่งขึ้น และหาโอกาสกลับตัวของราคาที่ใกล้จะมาถึง เรามาดูตัวอย่างรูปแบบแท่งเทียน (candlestick patterns) ที่บ่งบอกการกลับตัวที่เข้าใจง่ายที่สุด บางรูปแบบอาจมาจากแท่งเดียว บางรูปแบบมาจากหลายแท่ง

Pin bar – แท่งเทียนกลับตัวของราคา

Pin bar (หรือ Takuri, “Hanging Men” ฯลฯ) คือหนึ่งในรูปแบบง่ายที่สุดในการบอกการกลับตัวของราคา โดยมีลักษณะไส้เทียนยาวกว่าตัวแท่งอย่างชัดเจน

เทียนกลับราคาแท่งพิน

Pin bar อาจมีชื่อเรียกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของตัวแท่ง:
  • ถ้าตัวแท่งอยู่ด้านบน ไส้เทียนอยู่ด้านล่าง เป็น Pin bar กลับตัวขึ้น (ขาลงเปลี่ยนเป็นขาขึ้น) เรียกว่า “The Hanged Man”
  • ถ้าตัวแท่งอยู่ด้านล่าง ไส้เทียนอยู่ด้านบน เป็น Pin bar กลับตัวลง (ขาขึ้นเปลี่ยนเป็นขาลง) เรียกว่า “Shooting Star”
ข้อควรสังเกต:
  • Pin bar จะใช้ได้ผลดีเมื่อเกิดบนยอดหรือก้นของแนวโน้มเท่านั้น! หากด้านซ้ายมีพื้นที่ว่างก่อนเจอแท่งเทียน จะถือว่าเป็น Pin bar ที่สมบูรณ์ แต่ถ้าด้านซ้ายติดแท่งอื่นเลย อาจเป็นแค่แท่งกลางทาง ไม่มีนัยยะกลับตัวที่ชัดเจน
  • ควรรอ Pin bar ตรงข้ามกับแนวโน้ม เช่น บนยอดของเทรนด์ขาขึ้นต้องเป็น “Shooting Star” เท่านั้น ถ้าเป็น “Hanging Man” ไม่ค่อยมีนัยยะ ส่วนที่ปลายเทรนด์ขาลง “Hanging Man” จะเหมาะสมกว่า
  • สีของแท่งเทียนไม่ใช่ปัจจัยหลัก แต่ถ้า body ของ Pin bar ตรงข้ามกับแนวโน้มนั้นๆ จะถือว่าแข็งแกร่งกว่า (เช่น เทรนด์ขาขึ้นแต่ Pin bar สีแดง)
  • Time Frame ที่แนะนำคือ M30 ขึ้นไป เพราะบน TF เล็ก Pin bar มักหลอกได้ง่าย

พินบาร์

เทรดเดอร์หลายคนเรียก Pin bar ว่า “Pinocchio” เพราะมันมีจมูกยาวเหมือนพินอคคิโอ ^_^

เพื่อความแม่นยำ ควรรอการยืนยันจากแนวรับแนวต้านหรืออินดิเคเตอร์อื่นๆ โดยส่วนตัวผมมองว่าเส้นแนวรับแนวต้าน (support/resistance) ก็เพียงพอ เพราะ Pin bar มักเกิดบนเส้นเหล่านี้บ่อยครั้ง

รูปแบบ “engulfing” ของแท่งเทียนญี่ปุ่น – pin bar ในอีกมุมหนึ่ง

รูปแบบ Engulfing คืออีกหนึ่งสัญญาณกลับตัวของราคา ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง แท่งแรกเป็นตัวจบเทรนด์ ส่วนแท่งที่สองเคลื่อนไหวไปคนละทางกับแท่งแรก กติกาคือ:
  • แท่งที่ถูก “กลืน” (ซ้าย) ควรมีขนาดเล็กกว่าแท่งที่ “กลืน” (ขวา)
  • ควรเกิดบนจุดสูงสุดของเทรนด์ขาขึ้นหรือจุดต่ำสุดของเทรนด์ขาลง (และด้านซ้ายมีที่ว่าง ไม่ใช่กลางทาง)

การดูดซึม

ถ้าเรารวม 2 แท่งนี้เป็นแท่งเดียว จะเห็นว่ามันกลายเป็น Pin bar บน TF ที่ใหญ่กว่า

A break in the clouds – รูปแบบแท่งเทียนกลับตัว

A break in the clouds เป็นอีกรูปแบบกลับตัวที่คล้ายคลึงกับ “Engulfing” แต่จะเกิดเมื่อแรงซื้อกับแรงขายเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน อาจเป็นเพราะข่าวหรือปัจจัยอื่น:

กำลังเคลียร์ในกลุ่มเมฆ

รูปแบบแท่งเทียน “Tweezers”

Tweezers มักเกิดบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง และเป็นสัญญาณว่าราคายังไม่สามารถทะลุผ่านระดับนั้นได้ จึงมีแนวโน้มที่จะกลับตัว:

แหนบ

Morning และ evening star – การกลับตัวร่วมกับ pin bar หรือ doji

Morning star ปรากฏในช่วงท้ายของเทรนด์ขาลง ส่วน evening star ปรากฏในช่วงปลายของเทรนด์ขาขึ้น รูปแบบนี้มีแท่งเทียน 3 แท่ง โดยแท่งตรงกลางเป็น doji (ไม่มี body) หรือ pin bar ที่ชี้ไปตามเทรนด์

ดาวรุ่งและเย็น

ต่างกับ pin bar ธรรมดาตรงที่มีการยืนยันแนวโน้มกลับตัวที่ชัดเจนจากอีกสองแท่ง

Triple reversal up และ triple reversal down – การกลับตัวด้วยแท่งเทียนญี่ปุ่น

ตามชื่อ รูปแบบนี้ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งแรกจบเทรนด์เดิม อีกสองแท่งหลัง “กลืน” แท่งแรกไป ถือเป็นสัญญาณกลับตัวเหมือน Pin bar และ Engulfing:

การแพร่กระจายสามเท่า

รูปแบบแท่งเทียนและรูปแบบการสานต่อแนวโน้ม

นอกจากรูปแบบกลับตัวแล้ว ยังมีรูปแบบที่บ่งชี้การสานต่อแนวโน้ม (trend continuation) เช่นกัน ซึ่งช่วยระบุว่าราคาอาจเคลื่อนไปตามเทรนด์เดิมต่อไป

Three soldiers และ three ravens – สามแท่งเทียนญี่ปุ่นต่อเนื่องตามแนวโน้ม

รูปแบบนี้ประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่งต่อเนื่อง ตัวแท่ง (body) ค่อนข้างใหญ่ ไส้เทียนสั้น:
  • ถ้าเป็นแท่งเขียวใหญ่ 3 แท่ง เรียกว่า Three Soldiers บ่งบอกแนวโน้มขาขึ้นจะดำเนินต่อ
  • ถ้าเป็นแท่งแดงใหญ่ 3 แท่ง เรียกว่า Three Ravens บ่งบอกแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อ

ทหารสามคนและอีกาสามตัว

รูปแบบ Three Candles

แม้ชื่อบอกว่า “Three Candles” แต่จริงๆ แล้วใช้แท่งเทียนทั้งหมด 5 แท่ง โดยแท่งนอกสุด 2 แท่งเคลื่อนที่ไปตามเทรนด์ ส่วน 3 แท่งตรงกลางจะไม่ทะลุกรอบของแท่งแรก:

เทียนสามเล่ม

Candlestick pattern “Inside Bar” สำหรับการสานต่อแนวโน้ม

ตามชื่อ รูปแบบนี้มีแท่งเทียนขนาดใหญ่ (แม่) 1 แท่ง แล้วตามด้วยแท่งเล็กที่อยู่ภายในแท่งแม่นั้นทั้งหมด

รูปแบบนี้บอกว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่มีแรงพอจะกลับตัว ทำได้แค่ชะลอหรือหยุดชั่วคราว:

บาร์ในร่ม

แท่งเทียนญี่ปุ่นและการวิเคราะห์เชิงกราฟของตลาดการเงิน

หลายคนอาจคิดว่าง่ายมาก แค่จำรูปแบบหลักๆ แล้วเทรด แต่ในความเป็นจริง แม้รูปแบบแท่งเทียนจะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ดี แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% จึงควรบริหารความเสี่ยง (risk management) และการจัดการเงิน (money management) ทุกครั้ง!

ลองดูตัวอย่างสถานการณ์เทรดหลายๆ แบบเพื่อให้เข้าใจกราฟราคาดียิ่งขึ้น

การวิเคราะห์เชิงกราฟของตลาดการเงิน

ในภาพด้านบน คุณจะเห็นว่ารูปแบบแท่งเทียนหลายแบบปรากฏให้เห็นบ่อยมาก แค่ดูคร่าวๆ ก็เจอ:
  • รูปแบบ “engulfing” ถึง 8 ครั้ง โดยราคามักกลับตัวหลังรูปแบบนี้
  • “Triple Downward Reversal” อีก 2 ครั้ง ก็เป็นสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน
  • “Tweezers” ก็เจอหลายครั้งที่ยอดของโมเมนตัมราคา
  • Three Crows บอกถึงเทรนด์ขาลงที่แข็งแกร่ง

การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น

ตัวอย่างนี้ผมได้วางแนวรับแนวต้าน (ซึ่งเป็นเลขกลมๆ หรือคีย์เลเวล) จะเห็นว่ามี “Pinocchio” สองจุดที่แท่ง Pin bar ทะลุแนวแต่ราคากลับดีดกลับมา บ่งบอกถึงโอกาสในการกลับตัว

Three Soldiers และ Three Crows ชี้ถึงเทรนด์ที่แข็งแกร่งได้ดี เช่นเดียวกับ Engulfing และ Triple Downward Reversal ที่เป็นสัญญาณกลับตัวทำให้การเทรดง่ายขึ้นมาก

ทั้งหมดนี้คือสาระสำคัญของการวิเคราะห์เชิงเทคนิคหรือเชิงกราฟโดยใช้แท่งเทียนญี่ปุ่น จุดสำคัญคือเข้าใจรูปแบบ แล้วนำไปใช้ให้ถูกบริบท อย่าพยายามจำหมดทุกแบบเพราะมีมากกว่า 100 รูปแบบ แต่เลือกจำที่พบบ่อย 10-15 รูปแบบ และใช้มันเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจร่วมกับปัจจัยอื่นๆ

แท่งเทียนญี่ปุ่นและการวิเคราะห์เชิงกราฟ: ก้าวต่อไป?

หวังว่าบทเรียนนี้จะช่วยให้คุณได้ไอเดียเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาดการเงินโดยใช้แท่งเทียนญี่ปุ่นมากขึ้น ในบทถัดไป เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนหลักๆ ที่คุณจะเห็นบ่อยที่สุดบนกราฟ

อย่าลืมว่าทุกวิธีการเทรดไม่มีความแม่นยำ 100% (ไม่เว้นแม้แต่แท่งเทียนญี่ปุ่น) ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงจึงสำคัญมาก แต่ถึงอย่างนั้น การเข้าใจและอ่านแท่งเทียนญี่ปุ่นได้ถูกต้องก็จะช่วยให้คุณเทรดได้ดียิ่งขึ้น และสร้างรายได้จากตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ!
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar