เส้นเทรนด์ในการเทรดออปชั่นไบนารี: วิธีใช้งานปี 2025
Updated: 06.05.2025
เส้นเทรนด์ในการเทรดออปชั่นไบนารี: วิธีสร้างและความหมาย (2025)
ในบทความก่อนหน้านี้ เราได้กล่าวถึงเส้นเทรนด์ไปบ้างแล้ว บทความนี้จะพาเจาะลึกเครื่องมือนี้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟ พร้อมทั้งชี้จุดเด่นและข้อจำกัดที่ควรรู้ ทั้งนี้ เส้นเทรนด์มักถูกมองว่าเป็น
แนวรับและแนวต้านแบบเฉียง ซึ่งบ่งบอกขอบเขตการเคลื่อนที่ของแนวโน้มราคา
จุดประสงค์หลักของการใช้เส้นเทรนด์ คือเพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม รวมถึงเป็นสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่ของราคา หากใช้อย่างเหมาะสมก็สามารถสร้างประโยชน์ได้มากในการเทรด
หากเป็นขาขึ้น จะนิยมวางเส้นเทรนด์ไว้ใต้ราคา ซึ่งเป็นแนวรับแบบเฉียง: ทำไมจึงต้องวางไว้ใต้ราคา? เพราะเมื่อเกิดแนวโน้มขาขึ้น การเทรดตามเทรนด์ (เปิดออเดอร์ซื้อ) มักให้ผลดีกว่าการสวนเทรนด์ ดังนั้นการโฟกัสไปที่เส้นแนวรับจะเป็นประโยชน์มากกว่าเส้นแนวต้าน
นอกจากนั้น เรายังสามารถวาดเส้นเทรนด์เสริมเพิ่มเติมบนกราฟได้ ซึ่งอาจช่วยเสริมเส้นหลักหรือระบุช่วงการเคลื่อนที่ย่อยของราคา โดยหลักการคล้ายกับแนวรับและแนวต้านแนวนอน: หากเคยเป็นแนวรับ เมื่อตกราคาไปแล้ว มักกลายเป็นแนวต้าน (หรือในทางกลับกัน)
สำหรับขาลง จะนิยมวางเส้นเทรนด์ไว้เหนือราคา เพื่อระบุเป็นแนวต้านแบบเฉียง ช่วยหาโอกาสเปิดออเดอร์ขายตามแนวโน้ม:
ขั้นตอนโดยสรุป:
ในกรณีของขาลง (ขาหมี) เส้นเทรนด์จะวาดผ่านจุดสูงสุดสองจุดแรกที่เกิดขึ้น (จุดสูงสุดแรกสูงกว่าจุดสูงสุดที่สอง): เช่นเดียวกับขาขึ้น เส้นเทรนด์สามารถคงทิศทางของราคาและดันราคาให้ปรับตัวลงต่อไป (เพราะเป็นแนวต้านแบบเฉียง): โปรดสังเกตว่าเมื่อราคา “ทะลุ” เส้นเทรนด์ (หรือแนวต้าน) ได้ เส้นนี้จะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นแนวรับ: สำหรับการวาดเส้นเทรนด์เสริมในขาลง ก็ควรอยู่เหนือราคาเพื่อทำหน้าที่เป็นแนวต้านเพิ่มเติม:
อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนับรวมจุด 2 จุดแรกที่ใช้วาดเส้น เพราะเป็นจุดตั้งต้น ควรดูจุดสัมผัสหลังจากนั้น รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเข้าใกล้เส้นเทรนด์ – ราคาอาจดีดตัวก่อนถึงเส้นจริง หรืออาจเกิดการทะลุหลอกได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของเส้นเทรนด์ คือการที่เส้นเทรนด์ตัดกับแนวรับหรือแนวต้านแนวนอน: จุดที่เส้นเทรนด์ตัดกับระดับแนวรับแนวต้านแนวนอน ถือเป็นจุดที่แข็งแกร่งมาก โดยมีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปตามทิศทางเทรนด์ จุดเหล่านี้สามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าออเดอร์ตามเทรนด์
นอกจากนี้ หากดูจากกราฟย้อนหลัง หลายครั้งราคาจะเคลื่อนไหวตามเส้นเทรนด์อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงบางครั้งราคาอาจไม่วิ่งลงมาแตะเส้นเทรนด์ตรง ๆ แต่อาจดีดตัวก่อนถึงหรือเลี้ยวกลับไปทางเดิม ทำให้เราเสียโอกาสเข้าเทรด
คำตอบก็คือ ให้เราจดจำว่าเส้นเทรนด์ (เช่นเดียวกับแนวรับแนวต้าน) เป็น “โซน” ไม่ใช่ค่าราคาที่ตายตัว อีกทั้งเราสามารถใช้แนวรับและแนวต้านแนวนอนเข้ามาช่วยยืนยันเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะเมื่อตัดกันกับเส้นเทรนด์: หากราคาอยู่ไกลจากเส้นเทรนด์หลัก และยังไม่สามารถวาดเส้นเทรนด์เสริมได้ เพราะต้องการจุดอ้างอิง 2 จุดเสมอ เราสามารถอาศัยปัจจัยอื่นแทนได้ คือ:
ขณะเดียวกัน เส้นเทรนด์ก็เปลี่ยนสถานะเป็นตรงกันข้าม เช่น จากแนวรับกลายเป็นแนวต้าน หรือจากแนวต้านกลายเป็นแนวรับ เมื่อตลาดยืนยันการทะลุ (ราคาปิดเหนือหรือใต้เส้นอย่างชัดเจน) รวมถึงการที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับที่ทะลุไปแล้ว: ข้อจำกัดอย่างหนึ่ง คือการวาดเส้นเทรนด์ต้องอาศัยจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด 2 จุดแรกเป็นหลัก และบางครั้งราคาอาจเคลื่อนตัวเปลี่ยนความชันของเทรนด์ ทำให้ระยะห่างระหว่างราคากับเส้นเทรนด์กว้างขึ้นจนราคาอาจไม่กลับมาทดสอบเส้นได้อีก การสังเกตจุดสูงสุดและต่ำสุดจึงอาจช่วยให้ทราบสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มได้รวดเร็วกว่าการรอทะลุเส้น
หากจะเพิ่มลูกเล่น อาจวาดเส้นเทรนด์เสริมเพื่อดูจุดตัดกับแนวรับแนวต้านแนวนอน หรือวิเคราะห์เพิ่มเติม แต่หลักการยังคงเหมือนเดิม
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือการใช้การเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเพื่อมองหาการย่อตัวและการเข้าทำกำไรหลังการย่อตัว โดยอาศัยรูปแบบ Price Action อย่าง “ธง (Flag)”:
สำหรับขาลง ก็กลับด้านกัน คือเราดู “เสาธง” ที่ชี้ลง และรอให้ราคาย่อตัวในรูปแบบ “ธง” (channel) เมื่อทะลุขอบล่างของธงจึงเปิดออเดอร์ขายอีก 2-3 แท่งเทียน: ไม่จำเป็นต้องวาดช่องทั้งสองเส้นเสมอไป:
ส่วนตัว ผู้เขียนชื่นชอบแนวรับแนวต้านแนวนอนมากกว่า เพราะผูกกับระดับราคาอย่างชัดเจน และคิดว่ามีความน่าเชื่อถือสูงกว่า (ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้) แต่สิ่งสำคัญคือ เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือที่ตนเองเข้าใจ และมีความมั่นใจมากที่สุด นี่คือกุญแจสำคัญ
ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะใช้เส้นเทรนด์หรือไม่ จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เช่นเดียวกับเครื่องมืออื่น ๆ ในการวิเคราะห์กราฟ — จะทายผลด้วยวิธีใดก็ได้ขอให้สร้างกำไรได้ก็พอ การเทรดคือการบริหารความเสี่ยงและโอกาสของคุณเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
จุดประสงค์หลักของการใช้เส้นเทรนด์ คือเพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม รวมถึงเป็นสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนที่ของราคา หากใช้อย่างเหมาะสมก็สามารถสร้างประโยชน์ได้มากในการเทรด
เนื้อหา
เส้นเทรนด์แสดงอะไรบนกราฟราคา
ขึ้นอยู่กับว่าแนวโน้มเป็นขาขึ้นหรือขาลง เส้นเทรนด์จะถูกวางไว้เหนือหรือใต้ราคาที่เคลื่อนที่อยู่ ทั้งนี้ เส้นเทรนด์เป็นเหมือนระดับอุปสงค์และอุปทานที่มีความลาดเอียง ดังนั้นหน้าที่หลักของมันคือ “กำหนด” ขอบเขตการเคลื่อนที่ของราคาในช่วงที่มีแนวโน้มหากเป็นขาขึ้น จะนิยมวางเส้นเทรนด์ไว้ใต้ราคา ซึ่งเป็นแนวรับแบบเฉียง: ทำไมจึงต้องวางไว้ใต้ราคา? เพราะเมื่อเกิดแนวโน้มขาขึ้น การเทรดตามเทรนด์ (เปิดออเดอร์ซื้อ) มักให้ผลดีกว่าการสวนเทรนด์ ดังนั้นการโฟกัสไปที่เส้นแนวรับจะเป็นประโยชน์มากกว่าเส้นแนวต้าน
นอกจากนั้น เรายังสามารถวาดเส้นเทรนด์เสริมเพิ่มเติมบนกราฟได้ ซึ่งอาจช่วยเสริมเส้นหลักหรือระบุช่วงการเคลื่อนที่ย่อยของราคา โดยหลักการคล้ายกับแนวรับและแนวต้านแนวนอน: หากเคยเป็นแนวรับ เมื่อตกราคาไปแล้ว มักกลายเป็นแนวต้าน (หรือในทางกลับกัน)
สำหรับขาลง จะนิยมวางเส้นเทรนด์ไว้เหนือราคา เพื่อระบุเป็นแนวต้านแบบเฉียง ช่วยหาโอกาสเปิดออเดอร์ขายตามแนวโน้ม:
การวาดเส้นเทรนด์: วิธีวาดเส้นเทรนด์ให้ถูกต้อง
ในการวาดเส้นเทรนด์อย่างถูกต้อง เราต้องอ้างอิงจุดสำคัญ 2 จุด: - สำหรับแนวโน้มขาลง (ขาหมี) คือจุดสูงสุดของราคาสองจุด - สำหรับแนวโน้มขาขึ้น (ขาวัว) คือจุดต่ำสุดสองจุด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือในขาขึ้น เราสนใจเส้นแนวรับ (วางใต้ราคา) ส่วนขาลง เราสนใจเส้นแนวต้าน (วางเหนือราคา) แม้จะสามารถวาดทั้งสองเส้นเพื่อกำหนดราคาเป็นช่อง (channel) แต่การวาดเส้นเสริมเพิ่มอาจไม่จำเป็นเสมอไปขั้นตอนโดยสรุป:
- กำหนดแนวโน้มปัจจุบัน โดยดูจากจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดสองจุดที่เรียงกัน
- ถ้าเป็นขาขึ้น (มีจุดต่ำสุด 2 จุด) ให้:
- วาดเส้นแนวรับเชื่อมจุดต่ำสุดทั้งสอง (เส้นเทรนด์หลัก)
- หากมีการเคลื่อนไหวของราคาแบบพุ่งแรงในบางช่วง อาจเพิ่มเส้นเทรนด์เสริมเพื่อระบุแนวรับเฉียง
- ถ้าเป็นขาลง (มีจุดสูงสุด 2 จุด) ให้:
- วาดเส้นแนวต้านเชื่อมจุดสูงสุดทั้งสอง (เส้นเทรนด์หลัก)
- หากมีการเคลื่อนไหวของราคาแบบต่อเนื่องในบางช่วง อาจเพิ่มเส้นเทรนด์เสริมเพื่อระบุแนวต้านเฉียง
ในกรณีของขาลง (ขาหมี) เส้นเทรนด์จะวาดผ่านจุดสูงสุดสองจุดแรกที่เกิดขึ้น (จุดสูงสุดแรกสูงกว่าจุดสูงสุดที่สอง): เช่นเดียวกับขาขึ้น เส้นเทรนด์สามารถคงทิศทางของราคาและดันราคาให้ปรับตัวลงต่อไป (เพราะเป็นแนวต้านแบบเฉียง): โปรดสังเกตว่าเมื่อราคา “ทะลุ” เส้นเทรนด์ (หรือแนวต้าน) ได้ เส้นนี้จะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นแนวรับ: สำหรับการวาดเส้นเทรนด์เสริมในขาลง ก็ควรอยู่เหนือราคาเพื่อทำหน้าที่เป็นแนวต้านเพิ่มเติม:
ประสิทธิภาพของเส้นเทรนด์: ความแข็งแกร่งของเส้นเทรนด์
เช่นเดียวกับแนวรับและแนวต้านแนวนอน เส้นเทรนด์ก็มีความแข็งแกร่งมากน้อยต่างกันไป โดยวัดได้จากจำนวนครั้งที่ราคาสัมผัสหรือดีดตัวจากเส้น ยิ่งราคาสัมผัสและดีดตัวบ่อยเท่าไร ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเส้นเทรนด์ดังกล่าวแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างไรก็ตาม เราไม่ควรนับรวมจุด 2 จุดแรกที่ใช้วาดเส้น เพราะเป็นจุดตั้งต้น ควรดูจุดสัมผัสหลังจากนั้น รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเข้าใกล้เส้นเทรนด์ – ราคาอาจดีดตัวก่อนถึงเส้นจริง หรืออาจเกิดการทะลุหลอกได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของเส้นเทรนด์ คือการที่เส้นเทรนด์ตัดกับแนวรับหรือแนวต้านแนวนอน: จุดที่เส้นเทรนด์ตัดกับระดับแนวรับแนวต้านแนวนอน ถือเป็นจุดที่แข็งแกร่งมาก โดยมีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปตามทิศทางเทรนด์ จุดเหล่านี้สามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้าออเดอร์ตามเทรนด์
การใช้งานเส้นเทรนด์อย่างถูกต้องในการเทรด
ตอนนี้เราเข้าใจวิธีการวาดเส้นเทรนด์บนกราฟ และสามารถประเมินความแข็งแกร่งของเส้นเทรนด์ได้แล้ว แต่เราจะใช้ความรู้นี้เพื่อทำกำไรในการเทรดได้อย่างไร?นอกจากนี้ หากดูจากกราฟย้อนหลัง หลายครั้งราคาจะเคลื่อนไหวตามเส้นเทรนด์อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงบางครั้งราคาอาจไม่วิ่งลงมาแตะเส้นเทรนด์ตรง ๆ แต่อาจดีดตัวก่อนถึงหรือเลี้ยวกลับไปทางเดิม ทำให้เราเสียโอกาสเข้าเทรด
คำตอบก็คือ ให้เราจดจำว่าเส้นเทรนด์ (เช่นเดียวกับแนวรับแนวต้าน) เป็น “โซน” ไม่ใช่ค่าราคาที่ตายตัว อีกทั้งเราสามารถใช้แนวรับและแนวต้านแนวนอนเข้ามาช่วยยืนยันเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะเมื่อตัดกันกับเส้นเทรนด์: หากราคาอยู่ไกลจากเส้นเทรนด์หลัก และยังไม่สามารถวาดเส้นเทรนด์เสริมได้ เพราะต้องการจุดอ้างอิง 2 จุดเสมอ เราสามารถอาศัยปัจจัยอื่นแทนได้ คือ:
- การระบุว่าแนวโน้มยังคงอยู่ในทิศทางใด (ขาขึ้นหรือขาลง)
- มีการใช้แนวรับแนวต้านแนวนอนร่วมด้วย
การทะลุเส้นเทรนด์ – สัญญาณสิ้นสุดของแนวโน้ม
เนื่องจากในขาขึ้น เราใช้เส้นแนวรับ ในขาลงเราใช้เส้นแนวต้าน การที่ราคา “ทะลุ” เส้นเหล่านี้จึงเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มอาจใกล้สิ้นสุด หลังการทะลุ ราคามีแนวโน้มที่จะกลับตัว หรือตลาดอาจเปลี่ยนไปเป็นลักษณะไซด์เวย์ (Sideway)ขณะเดียวกัน เส้นเทรนด์ก็เปลี่ยนสถานะเป็นตรงกันข้าม เช่น จากแนวรับกลายเป็นแนวต้าน หรือจากแนวต้านกลายเป็นแนวรับ เมื่อตลาดยืนยันการทะลุ (ราคาปิดเหนือหรือใต้เส้นอย่างชัดเจน) รวมถึงการที่ราคาย้อนกลับมาทดสอบระดับที่ทะลุไปแล้ว: ข้อจำกัดอย่างหนึ่ง คือการวาดเส้นเทรนด์ต้องอาศัยจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด 2 จุดแรกเป็นหลัก และบางครั้งราคาอาจเคลื่อนตัวเปลี่ยนความชันของเทรนด์ ทำให้ระยะห่างระหว่างราคากับเส้นเทรนด์กว้างขึ้นจนราคาอาจไม่กลับมาทดสอบเส้นได้อีก การสังเกตจุดสูงสุดและต่ำสุดจึงอาจช่วยให้ทราบสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มได้รวดเร็วกว่าการรอทะลุเส้น
กลยุทธ์การเทรดด้วยเส้นเทรนด์
หลายคนอาจคาดหวัง “สูตร” สำเร็จรูปสำหรับการเทรดกับเส้นเทรนด์ เช่น ราคาแตะเส้นต้านให้เปิดออเดอร์ขาย หรือราคาแตะเส้นรับให้เปิดออเดอร์ซื้อ ซึ่งในความเป็นจริงก็สามารถทำได้ และเราได้กล่าวไปตลอดทั้งบทความนี้หากจะเพิ่มลูกเล่น อาจวาดเส้นเทรนด์เสริมเพื่อดูจุดตัดกับแนวรับแนวต้านแนวนอน หรือวิเคราะห์เพิ่มเติม แต่หลักการยังคงเหมือนเดิม
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือการใช้การเคลื่อนไหวตามแนวโน้มเพื่อมองหาการย่อตัวและการเข้าทำกำไรหลังการย่อตัว โดยอาศัยรูปแบบ Price Action อย่าง “ธง (Flag)”:
- เมื่อราคาวิ่งตามเทรนด์หลักไปแล้ว ให้รอการย่อตัว (pullback)
- ระบุ “ช่อง” การย่อตัว
- เมื่อราคาทะลุขอบบนของ “ธง” (หากเป็นขาขึ้น) หรือขอบล่าง (หากเป็นขาลง) จึงเปิดออเดอร์ตามเทรนด์
สำหรับขาลง ก็กลับด้านกัน คือเราดู “เสาธง” ที่ชี้ลง และรอให้ราคาย่อตัวในรูปแบบ “ธง” (channel) เมื่อทะลุขอบล่างของธงจึงเปิดออเดอร์ขายอีก 2-3 แท่งเทียน: ไม่จำเป็นต้องวาดช่องทั้งสองเส้นเสมอไป:
- ถ้าเป็นขาขึ้น จะสนใจเฉพาะขอบบนของธง
- ถ้าเป็นขาลง จะสนใจเฉพาะขอบล่างของธง
ควรใช้หรือไม่ใช้เส้นเทรนด์ในการเทรด?
มีเทรดเดอร์หลากหลายแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน:- บางคนไม่เชื่อในประสิทธิภาพของอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
- บางคนเห็นว่าแนวรับแนวต้านไม่ได้ให้ประโยชน์มากนัก
- บางคนไม่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเลย แต่มองปัจจัยข่าวเศรษฐกิจเป็นหลัก
ส่วนตัว ผู้เขียนชื่นชอบแนวรับแนวต้านแนวนอนมากกว่า เพราะผูกกับระดับราคาอย่างชัดเจน และคิดว่ามีความน่าเชื่อถือสูงกว่า (ซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้) แต่สิ่งสำคัญคือ เทรดเดอร์ควรใช้เครื่องมือที่ตนเองเข้าใจ และมีความมั่นใจมากที่สุด นี่คือกุญแจสำคัญ
ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะใช้เส้นเทรนด์หรือไม่ จึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เช่นเดียวกับเครื่องมืออื่น ๆ ในการวิเคราะห์กราฟ — จะทายผลด้วยวิธีใดก็ได้ขอให้สร้างกำไรได้ก็พอ การเทรดคือการบริหารความเสี่ยงและโอกาสของคุณเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
บทวิจารณ์และความคิดเห็น