หน้าหลัก ข่าวไซต์
คิดแบบเศรษฐี: นิสัยสำคัญของผู้มั่งคั่ง (2025)
Updated: 06.05.2025

คิดแบบเศรษฐี: เศรษฐีคิดอย่างไร – ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน (2025)

บทความสุดท้ายของคอร์สของเราจะเน้นไปที่แรงบันดาลใจ ไม่ใช่ความลับเลยที่คนรวยและคนจนมีวิธีคิดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเศรษฐีมีเรื่องที่ต้องกังวลแบบหนึ่ง ส่วนคนที่ยากจนก็มีเรื่องกังวลอีกแบบหนึ่ง อยากจะบอกไว้ก่อนว่าที่ใช้คำว่า “คนจน” ไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือลดคุณค่าของใคร แต่จะใช้คำนี้ในความหมายที่ตรงข้ามกับคำว่า “เศรษฐี” เท่านั้น นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงคนที่ไม่สามารถขยับฐานะทางการเงินของตนได้ แม้ว่าจะมีงานและรายได้ที่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่ปกติก็ตาม

คิดแบบเศรษฐี – แก่นสำคัญจากหนังสือของฮาร์ฟ อีเรค

ฮาร์ฟ อีเรค ผู้เขียนหนังสือ “Think Like a Millionaire!” เขาสร้างเงินล้านจากศูนย์ แต่เนื่องจากไม่มีความรู้ในการบริหารจัดการเงินอย่างถูกต้อง ในไม่ช้าก็หมดตัว หลังจากนั้นเขาจึงเขียนหนังสือที่เปรียบเทียบวิธีคิดของคนรวยและคนจน โดยเราได้คัดประเด็นสำคัญๆ มาให้แล้ว

เศรษฐีตั้งเป้าหมายทางวัตถุที่สูง

ความแตกต่างข้อแรกระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนรวยมักจะตั้งเป้าหมายทางวัตถุที่สูงเสมอ ในขณะที่คนจนตั้งเป้าหมายที่ต่ำกว่ามากในแง่ตัวเงิน

เศรษฐีอยากได้รถที่มีมูลค่า 200,000 ดอลลาร์ หรืออยากได้อพาร์ตเมนต์แบบห้าห้องกลางเมืองหรือในย่านหรู ส่วนคนจนก็มักจะตั้งเป้าหมายที่ต่ำกว่ามาก เช่น “สักวันหนึ่ง” จะเก็บเงินซื้อ Kia Rio มือสองปี 2012 และเช่าอพาร์ตเมนต์ห้องเดียวเล็กๆ ที่ไหนก็ได้ขอให้ใกล้เมือง (เพราะราคาถูกกว่า)

บางคนอาจคิดว่าทุกคนตั้งเป้าตามกำลังที่ตนมี แต่ความจริงไม่ใช่เลย คนรวยจะคิดหาวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ส่วนคนจนจะพยายามใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ตัวเองกำหนดไว้ ซึ่งบ่อยครั้ง ทั้งคนรวยและคนจนก็ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือขนาดของความพยายามและผลลัพธ์ที่แท้จริง

คิดแบบเศรษฐี

คนรวยจะคิดว่าควรเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาสิ่งใดในชีวิตเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย ในขณะที่คนจนมองจากสถานการณ์ที่ตนมีอยู่:
  • “งานของฉันให้เงินเดือน X ฉันต้องเก็บเงินกี่เดือนถึงจะได้ซื้อรถ?”
  • “เช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ชานเมืองก็ดีนะ จะได้ประหยัด แต่ต้องเสียเวลานั่งรถไปกลับนานขึ้น”
คนจนไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต เพราะ...กลัวจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่ ส่วนคนรวยจะก้าวไปสู่การพัฒนาและคิดว่ายังมีโอกาสอีกมากที่รออยู่ หากลองปรับหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ดีขึ้น

เศรษฐีมองหาวิธีแก้ปัญหา ในขณะที่คนจนคิดถึงปัญหาเอง

คุณเคยสังเกตไหมว่ามีวิธีที่แตกต่างกันมากในการมองปัญหา? บางคนเห็นว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่เรื่องเล็กๆ เดี๋ยวก็แก้ได้” ในขณะที่บางคนทำให้เรื่องเดียวกันกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ – “ฉันไม่รู้จะทำยังไง! คงแก้ไม่ได้! ทุกอย่างแย่ไปหมด!”

คนรวยเชื่อว่าทุกปัญหาแก้ได้ ขอแค่คิดวิธีและเริ่มลงมือทำ (โฟกัสที่การแก้ปัญหา) ส่วนคนจนกลับหมกมุ่นอยู่กับปัญหา – “ฉันมีปัญหา ฉันก็จะหดหู่ต่อไป!” มีคำกล่าวเล่นๆ ว่า “เหล้าแก้ปัญหาไม่ได้ แต่จริงๆ นมก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน!” ในท้ายที่สุดมนุษย์ต่างหากที่ต้องแก้ปัญหา และถ้าไม่เริ่มทำอะไร ปัญหาก็จะไม่หายไปเอง

เศรษฐียินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น

เศรษฐีเข้าใจดีว่ากว่าจะประสบความสำเร็จต้องทุ่มเทมากแค่ไหน จึงรู้สึกยินดีกับคนที่ทำสำเร็จ ส่วนคนจนมองจากมุมแคบของตัวเอง จึงอาจเกิดความรู้สึกโกรธหรือเหยียด เพราะเมื่อเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาอาจรู้สึกว่าตัวเอง “ด้อยค่า”

คิดเหมือนเศรษฐี

ที่น่าตลกก็คือความคิดแบบนี้ถูกนำมาใช้ได้ดีกับการตลาด การสร้างแบรนด์ดังๆ มักจะนำมาซึ่งยอดขายมหาศาล ยกตัวอย่างใกล้ตัว Apple ได้ทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้าแพงที่สื่อถึงความรวย ราคาที่สูงเกินไปทำให้ดูเหมือนเป็นของสำหรับคนมีเงิน แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่ได้พร้อมจะจ่ายจริงๆ กลับยอมซื้อแบบผ่อน เพื่อให้ดู “ไม่แพ้” เมื่อเทียบกับคนรวยที่ซื้อได้อย่างสบายใจ ...จบข่าว

คนรวยมองหาช่องทางสร้างกำไรใหม่ๆ เสมอ

คนรวยจะหาวิธีเพิ่มผลกำไรของตนตลอดเวลา คิดว่าจะเอาเงินไปต่อยอดที่ไหนดีเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น ในขณะที่คนจนมักไม่คิดเรื่องนี้เลย! จริงๆ คือไม่คิดเลย เพราะมองว่ามีงานทำ มีที่อยู่ ก็เพียงพอแล้ว

ตัวฉันเองก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ (ค่าเทอมและของบางอย่างที่มีราคาแพงสำหรับครอบครัวฉัน ต้องใช้วิธีผ่อนหลายปี) และไม่เคยมีเศรษฐีในวงสังคมใกล้ตัว นอกจากนี้ เพื่อนหลายคนเลิกพัฒนาตัวเองหลังเรียนจบ – มีงานก็พอ, ได้เงินเดือนก็พอ ซึ่งพอแล้วจริงๆ สำหรับเขา

การจะพัฒนาหรือไม่พัฒนานั้นเป็นทางเลือกของแต่ละคน คนรวยจะพัฒนาตลอดเวลา ส่วนคนจนกลับไม่พัฒนาเลย แน่นอน เดี๋ยวอาจมีข้ออ้างต่างๆ ตามมา เช่น:
  • “งานกินเวลาไปหมดแล้ว”
  • “ฉันมีครอบครัวที่ต้องดูแล”
  • “กลับจากทำงานมาก็หมดแรง ไม่อยากทำอย่างอื่น”
ทุกคนล้วนมีปัญหาเป็นของตัวเอง บางคนเลือกลงมือแก้ ในขณะที่บางคนก็เอาแต่คร่ำครวญ (ขออภัยที่ใช้คำแรง)

ตอนปลายเดือนเมษายน ปี 2020 ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ทุกคนแทบทั้งโลกต้องกักตัวอยู่บ้าน ในประเทศของฉันเองก็อยู่บ้านกันเป็นเดือน (บางประเทศก็นานกว่า บางประเทศก็น้อยกว่า) ถามตัวเองดูว่า เดือนที่ผ่านมาคุณใช้เวลาไปกับอะไร? พัฒนาตัวเองหรือเปล่า? หรือเอาแต่นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา? โอกาสมันมี แต่มันไม่ใช่เรื่องเวลาขาด แต่เพราะความขี้เกียจต่างหาก คนที่อยากพัฒนาจะหาโอกาสเสมอ ส่วนคนที่ไม่อยากก็จะหาแต่ข้ออ้าง

ชีวิตของเราอยู่ในมือเราเอง

สมัยเด็กฉันมักคิดว่า “ถ้าเจอเงินล้านตามถนนบ้างก็คงดี” ฟังดูตลก แต่มันคือความคิดจริงๆ ณ ตอนนั้น และฉันเชื่อว่าหลายคนก็เคยคิดแบบเดียวกัน บางคนอาจจะยังคิดอยู่ด้วยซ้ำ!

จะพูดอะไรก็ได้ เพราะทุกวันนี้ยังมีคนรอบตัวฉันที่รอ “ปาฏิหาริย์” ที่จะทำให้เจอเงินล้านตามถนนอยู่เลย พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ฉันทำสำเร็จได้เป็นเพราะ “โชคช่วย” (ประมาณว่า “ก็แกมันดวงดี!”) แต่ความจริงก็คือ ฉันไม่ได้อยู่นิ่งๆ ฉันทำงานหนักยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรียกว่าดวงดี ก็คงใช่ในความหมายนี้แหละ =)

ทั้งหมดเริ่มจากความคิดง่ายๆ “ฉันอยากมีรายได้มากพอที่จะเข้าร้านแล้วซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้โดยไม่ต้องดูราคา” ผ่านไป 9 ปี จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ฉันไปจ่ายตลาดแล้วคนเก็บเงินถามว่า “นี่ลดราคาหรือเปล่า?” ฉันตอบไม่ได้เพราะฉันเลิกมองป้ายราคาไปแล้ว ไม่ได้สังเกตเลยว่าของมันเท่าไหร่

มันเป็นการเติมเต็มความฝันเล็กๆ ในอดีต แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้เวลาถึง 9 ปี แต่ประเด็นคือ ฝันมันกระตุ้นให้เราคิดหาวิธีแก้ไข จากนั้นฉันก็ตั้งเป้าหมายใหม่ เช่น “ฉันไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้างใครอีก!” จนวันนี้ฉันทำงานอยู่บ้าน ไม่มีเจ้านาย รายได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง และฉันก็กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว แต่บางคนก็ยังบอกว่า “ก็แกมันโชคดี!” =)

กระบวนการบรรลุเป้าหมายมีไม่กี่ขั้นตอน:
  • ตั้งเป้าหมาย
  • หาวิธีแก้หรือช่องทาง
  • ลงมือทำ
ปัญหาคือ หลายคนมีความฝันที่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในไม่กี่วัน แต่พวกเขากลับมองว่ามันคือ “ความฝันตลอดชีวิต” หลายคนลำบากใจที่จะยอมรับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เลยนำไปสู่ข้อสรุปประหลาดๆ เช่น:
  • ถ้าทำได้ ก็ “ฉันเก่งเอง”
  • ถ้าทำไม่ได้ ก็โทษคนอื่น!
เป็นหนี้ผ่อน iPhone ใหม่ล่าสุดจนเงินแทบไม่พอใช้? – “โทษ Apple สิ! ทำไมต้องออกรุ่นใหม่ทุกปี?”

ฟังดูตลก แต่มันคือการถูกครอบงำทางความคิดนั่นเอง คนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะไม่ใช่ตัวเขาเองที่ตัดสินใจว่าจะเป็นใคร จะหาเงินเท่าไหร่ จะอยู่ที่ไหน แต่เป็นเจ้านาย คนรอบตัว หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำให้เชื่อว่าต้องซื้อ iPhone รุ่นใหม่เท่านั้น!

อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนคือ คนรวยจะใช้เงินเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนคนจนจะยอมเป็นหนี้เพื่อให้ได้ของที่ตัวเองยังจ่ายไม่ไหว เศรษฐีรู้คุณค่าของเงินดี เขาจะใช้เงินบางส่วนของตนเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ (รถ บ้าน หรือเครื่องบินส่วนตัว) โดยไม่มีหนี้ เพราะถ้าไม่มีเงินพอ เขาจะไม่ซื้อ (“อยากอยู่สบายขึ้น ก็จงหาเงินเพิ่มก่อน!”)

ชีวิตของเราอยู่ในมือของเรา

ในขณะที่คนจนกลับซื้อของที่ตัวเองจ่ายไม่ไหว:
  • “โทรศัพท์สองพันดอลลาร์? ผ่อนเอา!”
  • “รถราคา 110,000 ดอลลาร์ ทั้งที่เงินเดือน 3,000 ดอลลาร์? ก็ซื้อได้นะ (แต่ผ่านไปสองเดือนอาจต้องขายต่อเพราะไม่มีเงินเปลี่ยนยางสำหรับหน้าหนาว)”
  • “อพาร์ตเมนต์กลางเมือง? ขอบคุณสินเชื่อ 25 ปี!”
พวกเขาพยายามทำให้ตัวเองดู “ไม่ต่าง” จากเศรษฐี แค่เปลือกนอกเท่านั้น! การมีหนี้สินจะทำให้คุณไม่สามารถพัฒนาทางการเงินได้เลย เพราะเงินออมที่ควรใช้ต่อยอดหรือพัฒนาธุรกิจต้องจ่ายให้ธนาคารเพื่อผ่อนหนี้ที่ไม่จำเป็น

และหนี้สินเป็นกับดักอย่างหนึ่ง พอลองเป็นหนี้ครั้งแรก ครั้งถัดไปคุณก็จะคิดน้อยลง “จะคิดเยอะทำไม? ก็ผ่อนกับธนาคารเหมือนเดิมสิ!” แบบนี้คุณจะไม่ต้องใช้ความคิดเพื่อพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่มองหาวิธีแก้ปัญหาอย่างคุ้มค่า กลับเติบโตจนร่ำรวย

ทุกปัญหาในชีวิตไม่ควรทำให้คุณจมปลัก แต่ควรกระตุ้นให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง! ถ้าคุณต้องใช้เงินซ่อมรถที่ถูกชนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ควรถามว่าทำอย่างไรให้สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ได้บ้าง? อาจเป็นจังหวะเปลี่ยนงานหรือเริ่มทำธุรกิจที่เคยลังเลเพราะกลัวไม่มีความรู้หรือประสบการณ์?

ถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จ ก็พยายามต่อครั้งที่สอง สาม สี่ ... หากคุณพยายามเรื่อยๆ แต่ละครั้งก็จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงผลลัพธ์ได้ แต่ถ้าทำแบบเดิมทุกครั้ง มันก็จะล้มเหลวเหมือนเดิม

พูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จให้บ่อยขึ้น

เคยมีการพิสูจน์แล้วว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวนั้นสะท้อนตัวเรา ลองมองคนรอบตัวคุณ – สภาพเป็นอย่างไร? ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าสภาพทางการเงินและสังคมใกล้เคียงกับคุณ คนจนย่อมแวดล้อมด้วยคนจนเหมือนกัน:
  • เต็มไปด้วยหนี้สินและการผ่อน
  • เที่ยวพักผ่อนที่ตุรกี ปีละครั้ง หรือสองปีครั้ง
  • รถเก่ามือสองที่ไม่ได้ซื้อจากโชว์รูม
  • งานที่ได้เงินเดือนพอๆ กัน
  • ไม่สนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
ส่วนคนรวย (หรือว่าที่เศรษฐี) ก็มักจะแวดล้อมด้วยคนที่รวยเหมือนกัน คนจนมักมองว่าเศรษฐี “ถือตัว” หรือ “ขี้เหนียว” จริงๆ แล้วพวกเขาแค่มองว่า เศรษฐีมีความรู้ ประสบการณ์ และทัศนคติที่เป็นประโยชน์ แต่คนจนกลับมีแต่แนวโน้มจะดึงให้ถอยหลังมากกว่า

การพูดคุยกับเศรษฐี (แม้ว่าจะอยู่ในคนละสายธุรกิจ) เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจะมีวิธีคิดที่เปิดกว้าง ใช้ทัศนคติเชิงบวก มองปัญหาเป็นโอกาส ในขณะที่คนที่ขี้เกียจลุกจากโซฟาแทบไม่ได้ให้อะไรที่มีคุณค่าเลย

เวลาเราเห็นคนรวยประสบความสำเร็จ มันสร้างแรงบันดาลใจ เพราะเราเห็นว่าเขาก็คนธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเราอยู่ท่ามกลางคนจน ทั้งที่เราได้เงินเดือนมากกว่าคนรอบข้างเพียง 200 ดอลลาร์ เราก็มักจะคิดว่าเรา “เหนือกว่า” อยู่แล้ว (คนอื่นคงต้องตามอีกเยอะ) สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่มีการแข่งขัน และถ้ามีก็เล็กน้อยจนไม่นับว่าเป็นแรงขับที่แท้จริง

ฉันชอบฟังเรื่องราวของคนที่ “ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ จนสุดท้ายประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ” พอคิดดูแล้วก็เห็นว่าที่สำคัญคือการลุกขึ้นและลงมือทำความฝันให้เป็นจริง มันไร้เหตุผลที่จะคิดว่าเราจะ “เจอเงินล้านตามถนน” โดยไม่ทำอะไรเลย และแม้จะเจอจริงๆ ถ้าไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ ก็จะใช้เงินหมดภายในไม่กี่วัน

คนรวยคิดบวก

เล่าเรื่องเพื่อนฉันสักหน่อย ครั้งหนึ่งฉันได้ยินบทสนทนาประมาณนี้:

- “ฉันเบื่องานนี้ แต่ได้เงิน 700 ดอลลาร์”
- “ลองหางานที่ชอบและอาจได้เงินมากกว่านี้ดูไหม?”
- “ไม่ล่ะ! นี่คือขีดจำกัดของฉันแล้ว งานอื่นคงหาเงินไม่ได้เยอะกว่านี้แน่”


ฉันงงเลย ทำไมตัวฉันถึงมีเพดานรายได้เป็นหลักล้านได้ แล้วทำไมเขาถึงเชื่อว่าตัวเองไปต่อไม่ได้? ผู้คนมากมายขีดเส้นล้อมตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล:
  • “ฉันไม่สมควรได้เลื่อนตำแหน่ง!”
  • “ฉันไม่มีทางหาเงินเท่านั้นได้หรอก!”
  • “ฉันเกิดมาไม่เหมาะเป็นเศรษฐี!”
ตราบใดที่ยังมีความคิดแง่ลบแบบนี้ ชีวิตคุณก็จะเป็นไปตามกรอบนั้นๆ ฉันจำได้ว่าตอนเริ่มพัฒนาทางการเงินใหม่ๆ เพื่อนรอบข้างก็ไม่ได้รวยอะไร (ฉันอาจจนกว่าด้วยซ้ำ) ไม่มีใครเชื่อว่าฉันจะทำได้ และเตือนบ่อยๆ ว่าฉัน “เสียเวลาเปล่า” กับสิ่งที่ไม่รู้จัก บางคนยังบอกว่า “ไปหางานปกติทำดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลา!”

หลังจากฉันเริ่มมีรายได้ขึ้นมา ก็ยังมีคนบอกว่า “มันชั่วคราวเท่านั้น เดี๋ยวก็เลิกซ่า แล้วกลับไปหางานประจำเถอะ!” จนตอนนี้ไม่มีใครมองว่าฉันเป็น “คนขี้เกียจ” หรือ “คนเสียเวลา” อีกต่อไป

ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี แต่ฉันมีเป้าหมายและความตั้งใจจะทำให้เป็นจริง จึงไม่ยอมรับความคิดอย่าง “ฉันไม่คู่ควร...” หรือ “ฉันไม่มีวันทำได้...” เพราะลึกๆ ฉันเชื่อว่า ถ้าล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งต่อไปฉันก็จะทำได้ แล้วก็ล้มอีก... จนสำเร็จในครั้งใดครั้งหนึ่ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแพ้ตลอดไป! และก็จริง – เมื่อพยายามหลายครั้งแล้ววิเคราะห์ความผิดพลาด เราจะปรับปรุงได้ในที่สุด จนเกิดจุดที่ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าประสบความสำเร็จแล้ว

สุดท้ายแล้ว ไม่มีโชคและไม่มีปาฏิหาริย์เงินล้านหล่นทับ มีแค่ตัวคุณเองกับความต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย

คนรวยก็คิดบวก

ความสำเร็จเล็กๆ คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

เราได้พูดไปแล้วว่าคนรวยกับคนจนมีเป้าหมายที่ต่างกัน รวมถึงวิธีใช้เงินก็ต่างกันด้วย แต่เศรษฐีหลายคนก็เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เลยยิ่งทำให้เรื่องราวของพวกเขาน่าสนใจ

ถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของคนรวยเหล่านั้น จะเห็นจุดร่วมหนึ่งอย่างชัดเจนคือ แต่เดิมพวกเขาตั้งเป้าหมาย “ใหญ่” ในมาตรฐานชีวิตช่วงนั้น แล้วก็ลุยหาวิธี จนกระทั่งทำได้จริง บางทีเป้าหมายแรกอาจจะเป็นเรื่องตลกอย่าง “เก็บเงินซื้อจักรยาน” แต่วันหนึ่งก็ก้าวกระโดดกลายเป็นเศรษฐี

ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ส่วนใหญ่คนรวยจะจำความสำเร็จเล็กๆ ครั้งแรกของตัวเองได้เสมอ และพูดถึงมันด้วยความภูมิใจ เพราะมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า ถ้ามีความตั้งใจ ลงมือทำ ความฝันจะกลายเป็นจริงได้

“ฉันอยาก! ฉันเริ่มทำ! และฉันได้!” – ฟังดูคล้าย “ฉันมา ฉันเห็น ฉันชนะ!” =)

ความสำเร็จเล็กๆ นี้แหละผลักให้เราตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำสำเร็จบ่อยเข้า มันก็เป็นเหมือนบันได หรืออาจเรียกว่าเป็นบันไดเลื่อนที่พาเราขึ้นไปตลอด

คนจนมักจะเห็นแค่สองช่วงคือ:
  • เคยยากจน
  • แล้วก็กลายเป็นเศรษฐี!
พวกเขามองแค่ว่า จุดเริ่มต้นของเศรษฐีก็เหมือนฉันนี่ไง (ยากจนเหมือนกัน) งั้นฉันก็ต้องเป็นเศรษฐีได้สิ แต่กลับมองข้ามความจริงที่ว่าคนนั้นเขาลงมืออย่างหนักและสม่ำเสมอ (ซึ่งหลายคนคิดว่า “ฉันก็ทำงานเหมือนกัน”)

พอสรุปก็จะเป็นแบบนี้:
  • ทุกคนเริ่มต้นจากการไม่มีมาก่อน
  • คนหนึ่งเริ่มจริงจัง เรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่อง ส่วนอีกคนหนึ่งนอนเล่นเฉยๆ
  • คนหนึ่งกลายเป็นเศรษฐี อีกคนยังจนเหมือนเดิมและไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่รวย!
ว่ากันตามจริงก็สงสัยกันไปว่าหายไปไหนหมด ทำไมฉันไม่เจอเงินล้านเหมือนเขาบ้าง ทั้งๆ ที่จุดเริ่มก็คล้ายๆ กัน

เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน

คุณเคยได้ยินไหมว่าถ้าวันดีคืนดีลูกค้าทุกคนไปถอนเงินพร้อมกัน ธนาคารก็ล้มละลายได้? เพราะธนาคารเก็บเงินลูกค้าไว้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะนำไปปล่อยกู้ (ให้คนอื่นกู้ยืม) เพื่อเอาดอกเบี้ยมาหมุน

นี่คือหลักง่ายๆ “เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน” เราต้องจำไว้เลย! เมื่อคุณเริ่มมีรายได้มากขึ้นแล้ว ควรคิดหาทางใช้เงินของคุณให้คุ้มค่าที่สุด เช่น ฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย (แนะนำให้เป็นธนาคารในยุโรปที่มีความมั่นคง) หรือเอาไปต่อยอดธุรกิจ (จะได้เห็นผลตอบแทนไวขึ้น)

ฉันเองเป็นเทรดเดอร์ จึงไม่ต้องคิดมากนักว่าควรลงทุนที่ไหน เพราะฉันแบ่งเงินไปเก็บไว้กับโบรกเกอร์หลายเจ้าเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างกำไรรวดเร็วขึ้น ฉันลงทุน “เวลาว่าง” ของตัวเองเพื่อหาเงินในระยะสั้น

แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ควรตัดสินใจอย่างมีสติ คำนึงถึงความเสี่ยง และวางแผนรับมือกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันไว้ด้วย จึงมีแนวทางหลักๆ ดังนี้:
  • อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในธุรกิจเดียว
  • อย่า “ใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว” – จงมีหลายช่องทางสร้างรายได้
ธุรกิจของคุณไม่ควรส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ถ้าพบว่าคุณต้องตัดค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น เลื่อนการซื้อรถ หรือยกเลิกทริปท่องเที่ยว แปลว่าคุณกำลังก้าวเร็วเกินไป อาจจะ “กลืนชิ้นใหญ่เกิน” ธุรกิจของคุณอาจยังไม่พร้อมที่จะรับภาระค่าใช้จ่ายขนาดนั้น

จงค่อยๆ เติบโต ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เหมือนตัวอย่างเศรษฐีที่เคยเริ่มจาก “ซื้อจักรยาน” พอบรรลุเป้าหมาย ก็เล็งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นไปอีก แล้วยิ่งก้าวไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมลงมือหาวิธี

เมื่อรายได้คุณสูงขึ้น ความต้องการก็จะสูงตามไปด้วย แต่ถ้าคุณวางแผนถูกต้อง ในสักวันหนึ่งคุณอาจจะนั่งชิลริมทะเล มีคฤหาสน์ของตัวเองอยู่ข้างหลัง และรู้ว่าชีวิตมันลงตัวได้ เพราะคุณคือคนที่ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง!
Igor Lementov
Igor Lementov - ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิเคราะห์ที่ Best-Binary.com


บทความที่อาจช่วยคุณได้
บทวิจารณ์และความคิดเห็น
ความคิดเห็นทั้งหมด: 0
avatar