คิดแบบเศรษฐี: นิสัยสำคัญของผู้มั่งคั่ง (2025)
Updated: 06.05.2025
คิดแบบเศรษฐี: เศรษฐีคิดอย่างไร – ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน (2025)
บทความสุดท้ายของคอร์สของเราจะเน้นไปที่แรงบันดาลใจ ไม่ใช่ความลับเลยที่คนรวยและคนจนมีวิธีคิดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเศรษฐีมีเรื่องที่ต้องกังวลแบบหนึ่ง ส่วนคนที่ยากจนก็มีเรื่องกังวลอีกแบบหนึ่ง อยากจะบอกไว้ก่อนว่าที่ใช้คำว่า “คนจน” ไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือลดคุณค่าของใคร แต่จะใช้คำนี้ในความหมายที่ตรงข้ามกับคำว่า “เศรษฐี” เท่านั้น นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงคนที่ไม่สามารถขยับฐานะทางการเงินของตนได้ แม้ว่าจะมีงานและรายได้ที่เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่ปกติก็ตาม
เศรษฐีอยากได้รถที่มีมูลค่า 200,000 ดอลลาร์ หรืออยากได้อพาร์ตเมนต์แบบห้าห้องกลางเมืองหรือในย่านหรู ส่วนคนจนก็มักจะตั้งเป้าหมายที่ต่ำกว่ามาก เช่น “สักวันหนึ่ง” จะเก็บเงินซื้อ Kia Rio มือสองปี 2012 และเช่าอพาร์ตเมนต์ห้องเดียวเล็กๆ ที่ไหนก็ได้ขอให้ใกล้เมือง (เพราะราคาถูกกว่า)
บางคนอาจคิดว่าทุกคนตั้งเป้าตามกำลังที่ตนมี แต่ความจริงไม่ใช่เลย คนรวยจะคิดหาวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ส่วนคนจนจะพยายามใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ตัวเองกำหนดไว้ ซึ่งบ่อยครั้ง ทั้งคนรวยและคนจนก็ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือขนาดของความพยายามและผลลัพธ์ที่แท้จริง คนรวยจะคิดว่าควรเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาสิ่งใดในชีวิตเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย ในขณะที่คนจนมองจากสถานการณ์ที่ตนมีอยู่:
คนรวยเชื่อว่าทุกปัญหาแก้ได้ ขอแค่คิดวิธีและเริ่มลงมือทำ (โฟกัสที่การแก้ปัญหา) ส่วนคนจนกลับหมกมุ่นอยู่กับปัญหา – “ฉันมีปัญหา ฉันก็จะหดหู่ต่อไป!” มีคำกล่าวเล่นๆ ว่า “เหล้าแก้ปัญหาไม่ได้ แต่จริงๆ นมก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน!” ในท้ายที่สุดมนุษย์ต่างหากที่ต้องแก้ปัญหา และถ้าไม่เริ่มทำอะไร ปัญหาก็จะไม่หายไปเอง
ตัวฉันเองก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ (ค่าเทอมและของบางอย่างที่มีราคาแพงสำหรับครอบครัวฉัน ต้องใช้วิธีผ่อนหลายปี) และไม่เคยมีเศรษฐีในวงสังคมใกล้ตัว นอกจากนี้ เพื่อนหลายคนเลิกพัฒนาตัวเองหลังเรียนจบ – มีงานก็พอ, ได้เงินเดือนก็พอ ซึ่งพอแล้วจริงๆ สำหรับเขา
การจะพัฒนาหรือไม่พัฒนานั้นเป็นทางเลือกของแต่ละคน คนรวยจะพัฒนาตลอดเวลา ส่วนคนจนกลับไม่พัฒนาเลย แน่นอน เดี๋ยวอาจมีข้ออ้างต่างๆ ตามมา เช่น:
ตอนปลายเดือนเมษายน ปี 2020 ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ทุกคนแทบทั้งโลกต้องกักตัวอยู่บ้าน ในประเทศของฉันเองก็อยู่บ้านกันเป็นเดือน (บางประเทศก็นานกว่า บางประเทศก็น้อยกว่า) ถามตัวเองดูว่า เดือนที่ผ่านมาคุณใช้เวลาไปกับอะไร? พัฒนาตัวเองหรือเปล่า? หรือเอาแต่นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา? โอกาสมันมี แต่มันไม่ใช่เรื่องเวลาขาด แต่เพราะความขี้เกียจต่างหาก คนที่อยากพัฒนาจะหาโอกาสเสมอ ส่วนคนที่ไม่อยากก็จะหาแต่ข้ออ้าง
จะพูดอะไรก็ได้ เพราะทุกวันนี้ยังมีคนรอบตัวฉันที่รอ “ปาฏิหาริย์” ที่จะทำให้เจอเงินล้านตามถนนอยู่เลย พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ฉันทำสำเร็จได้เป็นเพราะ “โชคช่วย” (ประมาณว่า “ก็แกมันดวงดี!”) แต่ความจริงก็คือ ฉันไม่ได้อยู่นิ่งๆ ฉันทำงานหนักยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรียกว่าดวงดี ก็คงใช่ในความหมายนี้แหละ =)
ทั้งหมดเริ่มจากความคิดง่ายๆ “ฉันอยากมีรายได้มากพอที่จะเข้าร้านแล้วซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้โดยไม่ต้องดูราคา” ผ่านไป 9 ปี จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ฉันไปจ่ายตลาดแล้วคนเก็บเงินถามว่า “นี่ลดราคาหรือเปล่า?” ฉันตอบไม่ได้เพราะฉันเลิกมองป้ายราคาไปแล้ว ไม่ได้สังเกตเลยว่าของมันเท่าไหร่
มันเป็นการเติมเต็มความฝันเล็กๆ ในอดีต แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้เวลาถึง 9 ปี แต่ประเด็นคือ ฝันมันกระตุ้นให้เราคิดหาวิธีแก้ไข จากนั้นฉันก็ตั้งเป้าหมายใหม่ เช่น “ฉันไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้างใครอีก!” จนวันนี้ฉันทำงานอยู่บ้าน ไม่มีเจ้านาย รายได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง และฉันก็กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว แต่บางคนก็ยังบอกว่า “ก็แกมันโชคดี!” =)
กระบวนการบรรลุเป้าหมายมีไม่กี่ขั้นตอน:
ฟังดูตลก แต่มันคือการถูกครอบงำทางความคิดนั่นเอง คนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะไม่ใช่ตัวเขาเองที่ตัดสินใจว่าจะเป็นใคร จะหาเงินเท่าไหร่ จะอยู่ที่ไหน แต่เป็นเจ้านาย คนรอบตัว หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำให้เชื่อว่าต้องซื้อ iPhone รุ่นใหม่เท่านั้น!
อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนคือ คนรวยจะใช้เงินเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนคนจนจะยอมเป็นหนี้เพื่อให้ได้ของที่ตัวเองยังจ่ายไม่ไหว เศรษฐีรู้คุณค่าของเงินดี เขาจะใช้เงินบางส่วนของตนเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ (รถ บ้าน หรือเครื่องบินส่วนตัว) โดยไม่มีหนี้ เพราะถ้าไม่มีเงินพอ เขาจะไม่ซื้อ (“อยากอยู่สบายขึ้น ก็จงหาเงินเพิ่มก่อน!”) ในขณะที่คนจนกลับซื้อของที่ตัวเองจ่ายไม่ไหว:
และหนี้สินเป็นกับดักอย่างหนึ่ง พอลองเป็นหนี้ครั้งแรก ครั้งถัดไปคุณก็จะคิดน้อยลง “จะคิดเยอะทำไม? ก็ผ่อนกับธนาคารเหมือนเดิมสิ!” แบบนี้คุณจะไม่ต้องใช้ความคิดเพื่อพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่มองหาวิธีแก้ปัญหาอย่างคุ้มค่า กลับเติบโตจนร่ำรวย
ทุกปัญหาในชีวิตไม่ควรทำให้คุณจมปลัก แต่ควรกระตุ้นให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง! ถ้าคุณต้องใช้เงินซ่อมรถที่ถูกชนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ควรถามว่าทำอย่างไรให้สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ได้บ้าง? อาจเป็นจังหวะเปลี่ยนงานหรือเริ่มทำธุรกิจที่เคยลังเลเพราะกลัวไม่มีความรู้หรือประสบการณ์?
ถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จ ก็พยายามต่อครั้งที่สอง สาม สี่ ... หากคุณพยายามเรื่อยๆ แต่ละครั้งก็จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงผลลัพธ์ได้ แต่ถ้าทำแบบเดิมทุกครั้ง มันก็จะล้มเหลวเหมือนเดิม
การพูดคุยกับเศรษฐี (แม้ว่าจะอยู่ในคนละสายธุรกิจ) เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจะมีวิธีคิดที่เปิดกว้าง ใช้ทัศนคติเชิงบวก มองปัญหาเป็นโอกาส ในขณะที่คนที่ขี้เกียจลุกจากโซฟาแทบไม่ได้ให้อะไรที่มีคุณค่าเลย
เวลาเราเห็นคนรวยประสบความสำเร็จ มันสร้างแรงบันดาลใจ เพราะเราเห็นว่าเขาก็คนธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเราอยู่ท่ามกลางคนจน ทั้งที่เราได้เงินเดือนมากกว่าคนรอบข้างเพียง 200 ดอลลาร์ เราก็มักจะคิดว่าเรา “เหนือกว่า” อยู่แล้ว (คนอื่นคงต้องตามอีกเยอะ) สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่มีการแข่งขัน และถ้ามีก็เล็กน้อยจนไม่นับว่าเป็นแรงขับที่แท้จริง
ฉันชอบฟังเรื่องราวของคนที่ “ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ จนสุดท้ายประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ” พอคิดดูแล้วก็เห็นว่าที่สำคัญคือการลุกขึ้นและลงมือทำความฝันให้เป็นจริง มันไร้เหตุผลที่จะคิดว่าเราจะ “เจอเงินล้านตามถนน” โดยไม่ทำอะไรเลย และแม้จะเจอจริงๆ ถ้าไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ ก็จะใช้เงินหมดภายในไม่กี่วัน
- “ฉันเบื่องานนี้ แต่ได้เงิน 700 ดอลลาร์”
- “ลองหางานที่ชอบและอาจได้เงินมากกว่านี้ดูไหม?”
- “ไม่ล่ะ! นี่คือขีดจำกัดของฉันแล้ว งานอื่นคงหาเงินไม่ได้เยอะกว่านี้แน่”
ฉันงงเลย ทำไมตัวฉันถึงมีเพดานรายได้เป็นหลักล้านได้ แล้วทำไมเขาถึงเชื่อว่าตัวเองไปต่อไม่ได้? ผู้คนมากมายขีดเส้นล้อมตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล:
หลังจากฉันเริ่มมีรายได้ขึ้นมา ก็ยังมีคนบอกว่า “มันชั่วคราวเท่านั้น เดี๋ยวก็เลิกซ่า แล้วกลับไปหางานประจำเถอะ!” จนตอนนี้ไม่มีใครมองว่าฉันเป็น “คนขี้เกียจ” หรือ “คนเสียเวลา” อีกต่อไป
ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี แต่ฉันมีเป้าหมายและความตั้งใจจะทำให้เป็นจริง จึงไม่ยอมรับความคิดอย่าง “ฉันไม่คู่ควร...” หรือ “ฉันไม่มีวันทำได้...” เพราะลึกๆ ฉันเชื่อว่า ถ้าล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งต่อไปฉันก็จะทำได้ แล้วก็ล้มอีก... จนสำเร็จในครั้งใดครั้งหนึ่ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแพ้ตลอดไป! และก็จริง – เมื่อพยายามหลายครั้งแล้ววิเคราะห์ความผิดพลาด เราจะปรับปรุงได้ในที่สุด จนเกิดจุดที่ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าประสบความสำเร็จแล้ว
สุดท้ายแล้ว ไม่มีโชคและไม่มีปาฏิหาริย์เงินล้านหล่นทับ มีแค่ตัวคุณเองกับความต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของคนรวยเหล่านั้น จะเห็นจุดร่วมหนึ่งอย่างชัดเจนคือ แต่เดิมพวกเขาตั้งเป้าหมาย “ใหญ่” ในมาตรฐานชีวิตช่วงนั้น แล้วก็ลุยหาวิธี จนกระทั่งทำได้จริง บางทีเป้าหมายแรกอาจจะเป็นเรื่องตลกอย่าง “เก็บเงินซื้อจักรยาน” แต่วันหนึ่งก็ก้าวกระโดดกลายเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่คนรวยจะจำความสำเร็จเล็กๆ ครั้งแรกของตัวเองได้เสมอ และพูดถึงมันด้วยความภูมิใจ เพราะมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า ถ้ามีความตั้งใจ ลงมือทำ ความฝันจะกลายเป็นจริงได้
“ฉันอยาก! ฉันเริ่มทำ! และฉันได้!” – ฟังดูคล้าย “ฉันมา ฉันเห็น ฉันชนะ!” =)
ความสำเร็จเล็กๆ นี้แหละผลักให้เราตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำสำเร็จบ่อยเข้า มันก็เป็นเหมือนบันได หรืออาจเรียกว่าเป็นบันไดเลื่อนที่พาเราขึ้นไปตลอด
คนจนมักจะเห็นแค่สองช่วงคือ:
พอสรุปก็จะเป็นแบบนี้:
นี่คือหลักง่ายๆ “เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน” เราต้องจำไว้เลย! เมื่อคุณเริ่มมีรายได้มากขึ้นแล้ว ควรคิดหาทางใช้เงินของคุณให้คุ้มค่าที่สุด เช่น ฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย (แนะนำให้เป็นธนาคารในยุโรปที่มีความมั่นคง) หรือเอาไปต่อยอดธุรกิจ (จะได้เห็นผลตอบแทนไวขึ้น)
ฉันเองเป็นเทรดเดอร์ จึงไม่ต้องคิดมากนักว่าควรลงทุนที่ไหน เพราะฉันแบ่งเงินไปเก็บไว้กับโบรกเกอร์หลายเจ้าเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างกำไรรวดเร็วขึ้น ฉันลงทุน “เวลาว่าง” ของตัวเองเพื่อหาเงินในระยะสั้น
แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ควรตัดสินใจอย่างมีสติ คำนึงถึงความเสี่ยง และวางแผนรับมือกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันไว้ด้วย จึงมีแนวทางหลักๆ ดังนี้:
จงค่อยๆ เติบโต ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เหมือนตัวอย่างเศรษฐีที่เคยเริ่มจาก “ซื้อจักรยาน” พอบรรลุเป้าหมาย ก็เล็งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นไปอีก แล้วยิ่งก้าวไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมลงมือหาวิธี
เมื่อรายได้คุณสูงขึ้น ความต้องการก็จะสูงตามไปด้วย แต่ถ้าคุณวางแผนถูกต้อง ในสักวันหนึ่งคุณอาจจะนั่งชิลริมทะเล มีคฤหาสน์ของตัวเองอยู่ข้างหลัง และรู้ว่าชีวิตมันลงตัวได้ เพราะคุณคือคนที่ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง!
เนื้อหา
- คิดแบบเศรษฐี – แก่นสำคัญจากหนังสือของฮาร์ฟ อีเรค
- เศรษฐีตั้งเป้าหมายทางวัตถุที่สูง
- เศรษฐีมองหาวิธีแก้ปัญหา ในขณะที่คนจนคิดถึงปัญหาเอง
- เศรษฐียินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น
- คนรวยมองหาช่องทางสร้างกำไรใหม่ๆ เสมอ
- ชีวิตของเราอยู่ในมือเราเอง
- พูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จให้บ่อยขึ้น
- คนรวยคิดบวก
- ความสำเร็จเล็กๆ คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
- เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน
คิดแบบเศรษฐี – แก่นสำคัญจากหนังสือของฮาร์ฟ อีเรค
ฮาร์ฟ อีเรค ผู้เขียนหนังสือ “Think Like a Millionaire!” เขาสร้างเงินล้านจากศูนย์ แต่เนื่องจากไม่มีความรู้ในการบริหารจัดการเงินอย่างถูกต้อง ในไม่ช้าก็หมดตัว หลังจากนั้นเขาจึงเขียนหนังสือที่เปรียบเทียบวิธีคิดของคนรวยและคนจน โดยเราได้คัดประเด็นสำคัญๆ มาให้แล้วเศรษฐีตั้งเป้าหมายทางวัตถุที่สูง
ความแตกต่างข้อแรกระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนรวยมักจะตั้งเป้าหมายทางวัตถุที่สูงเสมอ ในขณะที่คนจนตั้งเป้าหมายที่ต่ำกว่ามากในแง่ตัวเงินเศรษฐีอยากได้รถที่มีมูลค่า 200,000 ดอลลาร์ หรืออยากได้อพาร์ตเมนต์แบบห้าห้องกลางเมืองหรือในย่านหรู ส่วนคนจนก็มักจะตั้งเป้าหมายที่ต่ำกว่ามาก เช่น “สักวันหนึ่ง” จะเก็บเงินซื้อ Kia Rio มือสองปี 2012 และเช่าอพาร์ตเมนต์ห้องเดียวเล็กๆ ที่ไหนก็ได้ขอให้ใกล้เมือง (เพราะราคาถูกกว่า)
บางคนอาจคิดว่าทุกคนตั้งเป้าตามกำลังที่ตนมี แต่ความจริงไม่ใช่เลย คนรวยจะคิดหาวิธีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ส่วนคนจนจะพยายามใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ตัวเองกำหนดไว้ ซึ่งบ่อยครั้ง ทั้งคนรวยและคนจนก็ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างคือขนาดของความพยายามและผลลัพธ์ที่แท้จริง คนรวยจะคิดว่าควรเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาสิ่งใดในชีวิตเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย ในขณะที่คนจนมองจากสถานการณ์ที่ตนมีอยู่:
- “งานของฉันให้เงินเดือน X ฉันต้องเก็บเงินกี่เดือนถึงจะได้ซื้อรถ?”
- “เช่าอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ชานเมืองก็ดีนะ จะได้ประหยัด แต่ต้องเสียเวลานั่งรถไปกลับนานขึ้น”
เศรษฐีมองหาวิธีแก้ปัญหา ในขณะที่คนจนคิดถึงปัญหาเอง
คุณเคยสังเกตไหมว่ามีวิธีที่แตกต่างกันมากในการมองปัญหา? บางคนเห็นว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่เรื่องเล็กๆ เดี๋ยวก็แก้ได้” ในขณะที่บางคนทำให้เรื่องเดียวกันกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ – “ฉันไม่รู้จะทำยังไง! คงแก้ไม่ได้! ทุกอย่างแย่ไปหมด!”คนรวยเชื่อว่าทุกปัญหาแก้ได้ ขอแค่คิดวิธีและเริ่มลงมือทำ (โฟกัสที่การแก้ปัญหา) ส่วนคนจนกลับหมกมุ่นอยู่กับปัญหา – “ฉันมีปัญหา ฉันก็จะหดหู่ต่อไป!” มีคำกล่าวเล่นๆ ว่า “เหล้าแก้ปัญหาไม่ได้ แต่จริงๆ นมก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน!” ในท้ายที่สุดมนุษย์ต่างหากที่ต้องแก้ปัญหา และถ้าไม่เริ่มทำอะไร ปัญหาก็จะไม่หายไปเอง
เศรษฐียินดีกับความสำเร็จของผู้อื่น
เศรษฐีเข้าใจดีว่ากว่าจะประสบความสำเร็จต้องทุ่มเทมากแค่ไหน จึงรู้สึกยินดีกับคนที่ทำสำเร็จ ส่วนคนจนมองจากมุมแคบของตัวเอง จึงอาจเกิดความรู้สึกโกรธหรือเหยียด เพราะเมื่อเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาอาจรู้สึกว่าตัวเอง “ด้อยค่า” ที่น่าตลกก็คือความคิดแบบนี้ถูกนำมาใช้ได้ดีกับการตลาด การสร้างแบรนด์ดังๆ มักจะนำมาซึ่งยอดขายมหาศาล ยกตัวอย่างใกล้ตัว Apple ได้ทำให้ iPhone กลายเป็นสินค้าแพงที่สื่อถึงความรวย ราคาที่สูงเกินไปทำให้ดูเหมือนเป็นของสำหรับคนมีเงิน แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ไม่ได้พร้อมจะจ่ายจริงๆ กลับยอมซื้อแบบผ่อน เพื่อให้ดู “ไม่แพ้” เมื่อเทียบกับคนรวยที่ซื้อได้อย่างสบายใจ ...จบข่าวคนรวยมองหาช่องทางสร้างกำไรใหม่ๆ เสมอ
คนรวยจะหาวิธีเพิ่มผลกำไรของตนตลอดเวลา คิดว่าจะเอาเงินไปต่อยอดที่ไหนดีเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น ในขณะที่คนจนมักไม่คิดเรื่องนี้เลย! จริงๆ คือไม่คิดเลย เพราะมองว่ามีงานทำ มีที่อยู่ ก็เพียงพอแล้วตัวฉันเองก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ (ค่าเทอมและของบางอย่างที่มีราคาแพงสำหรับครอบครัวฉัน ต้องใช้วิธีผ่อนหลายปี) และไม่เคยมีเศรษฐีในวงสังคมใกล้ตัว นอกจากนี้ เพื่อนหลายคนเลิกพัฒนาตัวเองหลังเรียนจบ – มีงานก็พอ, ได้เงินเดือนก็พอ ซึ่งพอแล้วจริงๆ สำหรับเขา
การจะพัฒนาหรือไม่พัฒนานั้นเป็นทางเลือกของแต่ละคน คนรวยจะพัฒนาตลอดเวลา ส่วนคนจนกลับไม่พัฒนาเลย แน่นอน เดี๋ยวอาจมีข้ออ้างต่างๆ ตามมา เช่น:
- “งานกินเวลาไปหมดแล้ว”
- “ฉันมีครอบครัวที่ต้องดูแล”
- “กลับจากทำงานมาก็หมดแรง ไม่อยากทำอย่างอื่น”
ตอนปลายเดือนเมษายน ปี 2020 ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ทุกคนแทบทั้งโลกต้องกักตัวอยู่บ้าน ในประเทศของฉันเองก็อยู่บ้านกันเป็นเดือน (บางประเทศก็นานกว่า บางประเทศก็น้อยกว่า) ถามตัวเองดูว่า เดือนที่ผ่านมาคุณใช้เวลาไปกับอะไร? พัฒนาตัวเองหรือเปล่า? หรือเอาแต่นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา? โอกาสมันมี แต่มันไม่ใช่เรื่องเวลาขาด แต่เพราะความขี้เกียจต่างหาก คนที่อยากพัฒนาจะหาโอกาสเสมอ ส่วนคนที่ไม่อยากก็จะหาแต่ข้ออ้าง
ชีวิตของเราอยู่ในมือเราเอง
สมัยเด็กฉันมักคิดว่า “ถ้าเจอเงินล้านตามถนนบ้างก็คงดี” ฟังดูตลก แต่มันคือความคิดจริงๆ ณ ตอนนั้น และฉันเชื่อว่าหลายคนก็เคยคิดแบบเดียวกัน บางคนอาจจะยังคิดอยู่ด้วยซ้ำ!จะพูดอะไรก็ได้ เพราะทุกวันนี้ยังมีคนรอบตัวฉันที่รอ “ปาฏิหาริย์” ที่จะทำให้เจอเงินล้านตามถนนอยู่เลย พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ฉันทำสำเร็จได้เป็นเพราะ “โชคช่วย” (ประมาณว่า “ก็แกมันดวงดี!”) แต่ความจริงก็คือ ฉันไม่ได้อยู่นิ่งๆ ฉันทำงานหนักยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรียกว่าดวงดี ก็คงใช่ในความหมายนี้แหละ =)
ทั้งหมดเริ่มจากความคิดง่ายๆ “ฉันอยากมีรายได้มากพอที่จะเข้าร้านแล้วซื้ออะไรก็ได้ที่อยากได้โดยไม่ต้องดูราคา” ผ่านไป 9 ปี จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ฉันไปจ่ายตลาดแล้วคนเก็บเงินถามว่า “นี่ลดราคาหรือเปล่า?” ฉันตอบไม่ได้เพราะฉันเลิกมองป้ายราคาไปแล้ว ไม่ได้สังเกตเลยว่าของมันเท่าไหร่
มันเป็นการเติมเต็มความฝันเล็กๆ ในอดีต แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้เวลาถึง 9 ปี แต่ประเด็นคือ ฝันมันกระตุ้นให้เราคิดหาวิธีแก้ไข จากนั้นฉันก็ตั้งเป้าหมายใหม่ เช่น “ฉันไม่อยากทำงานเป็นลูกจ้างใครอีก!” จนวันนี้ฉันทำงานอยู่บ้าน ไม่มีเจ้านาย รายได้ขึ้นอยู่กับตัวเอง และฉันก็กลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว แต่บางคนก็ยังบอกว่า “ก็แกมันโชคดี!” =)
กระบวนการบรรลุเป้าหมายมีไม่กี่ขั้นตอน:
- ตั้งเป้าหมาย
- หาวิธีแก้หรือช่องทาง
- ลงมือทำ
- ถ้าทำได้ ก็ “ฉันเก่งเอง”
- ถ้าทำไม่ได้ ก็โทษคนอื่น!
ฟังดูตลก แต่มันคือการถูกครอบงำทางความคิดนั่นเอง คนที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะไม่ใช่ตัวเขาเองที่ตัดสินใจว่าจะเป็นใคร จะหาเงินเท่าไหร่ จะอยู่ที่ไหน แต่เป็นเจ้านาย คนรอบตัว หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำให้เชื่อว่าต้องซื้อ iPhone รุ่นใหม่เท่านั้น!
อีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนคือ คนรวยจะใช้เงินเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนคนจนจะยอมเป็นหนี้เพื่อให้ได้ของที่ตัวเองยังจ่ายไม่ไหว เศรษฐีรู้คุณค่าของเงินดี เขาจะใช้เงินบางส่วนของตนเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ (รถ บ้าน หรือเครื่องบินส่วนตัว) โดยไม่มีหนี้ เพราะถ้าไม่มีเงินพอ เขาจะไม่ซื้อ (“อยากอยู่สบายขึ้น ก็จงหาเงินเพิ่มก่อน!”) ในขณะที่คนจนกลับซื้อของที่ตัวเองจ่ายไม่ไหว:
- “โทรศัพท์สองพันดอลลาร์? ผ่อนเอา!”
- “รถราคา 110,000 ดอลลาร์ ทั้งที่เงินเดือน 3,000 ดอลลาร์? ก็ซื้อได้นะ (แต่ผ่านไปสองเดือนอาจต้องขายต่อเพราะไม่มีเงินเปลี่ยนยางสำหรับหน้าหนาว)”
- “อพาร์ตเมนต์กลางเมือง? ขอบคุณสินเชื่อ 25 ปี!”
และหนี้สินเป็นกับดักอย่างหนึ่ง พอลองเป็นหนี้ครั้งแรก ครั้งถัดไปคุณก็จะคิดน้อยลง “จะคิดเยอะทำไม? ก็ผ่อนกับธนาคารเหมือนเดิมสิ!” แบบนี้คุณจะไม่ต้องใช้ความคิดเพื่อพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป คุณยังอยู่ที่เดิม แต่คนที่มองหาวิธีแก้ปัญหาอย่างคุ้มค่า กลับเติบโตจนร่ำรวย
ทุกปัญหาในชีวิตไม่ควรทำให้คุณจมปลัก แต่ควรกระตุ้นให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง! ถ้าคุณต้องใช้เงินซ่อมรถที่ถูกชนเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ควรถามว่าทำอย่างไรให้สถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ได้บ้าง? อาจเป็นจังหวะเปลี่ยนงานหรือเริ่มทำธุรกิจที่เคยลังเลเพราะกลัวไม่มีความรู้หรือประสบการณ์?
ถ้าครั้งแรกไม่สำเร็จ ก็พยายามต่อครั้งที่สอง สาม สี่ ... หากคุณพยายามเรื่อยๆ แต่ละครั้งก็จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและปรับปรุงผลลัพธ์ได้ แต่ถ้าทำแบบเดิมทุกครั้ง มันก็จะล้มเหลวเหมือนเดิม
พูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จให้บ่อยขึ้น
เคยมีการพิสูจน์แล้วว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวนั้นสะท้อนตัวเรา ลองมองคนรอบตัวคุณ – สภาพเป็นอย่างไร? ส่วนใหญ่แล้วจะพบว่าสภาพทางการเงินและสังคมใกล้เคียงกับคุณ คนจนย่อมแวดล้อมด้วยคนจนเหมือนกัน:- เต็มไปด้วยหนี้สินและการผ่อน
- เที่ยวพักผ่อนที่ตุรกี ปีละครั้ง หรือสองปีครั้ง
- รถเก่ามือสองที่ไม่ได้ซื้อจากโชว์รูม
- งานที่ได้เงินเดือนพอๆ กัน
- ไม่สนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
การพูดคุยกับเศรษฐี (แม้ว่าจะอยู่ในคนละสายธุรกิจ) เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจะมีวิธีคิดที่เปิดกว้าง ใช้ทัศนคติเชิงบวก มองปัญหาเป็นโอกาส ในขณะที่คนที่ขี้เกียจลุกจากโซฟาแทบไม่ได้ให้อะไรที่มีคุณค่าเลย
เวลาเราเห็นคนรวยประสบความสำเร็จ มันสร้างแรงบันดาลใจ เพราะเราเห็นว่าเขาก็คนธรรมดาเหมือนกัน แต่เมื่อเราอยู่ท่ามกลางคนจน ทั้งที่เราได้เงินเดือนมากกว่าคนรอบข้างเพียง 200 ดอลลาร์ เราก็มักจะคิดว่าเรา “เหนือกว่า” อยู่แล้ว (คนอื่นคงต้องตามอีกเยอะ) สภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่มีการแข่งขัน และถ้ามีก็เล็กน้อยจนไม่นับว่าเป็นแรงขับที่แท้จริง
ฉันชอบฟังเรื่องราวของคนที่ “ทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ จนสุดท้ายประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ” พอคิดดูแล้วก็เห็นว่าที่สำคัญคือการลุกขึ้นและลงมือทำความฝันให้เป็นจริง มันไร้เหตุผลที่จะคิดว่าเราจะ “เจอเงินล้านตามถนน” โดยไม่ทำอะไรเลย และแม้จะเจอจริงๆ ถ้าไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ ก็จะใช้เงินหมดภายในไม่กี่วัน
คนรวยคิดบวก
เล่าเรื่องเพื่อนฉันสักหน่อย ครั้งหนึ่งฉันได้ยินบทสนทนาประมาณนี้:- “ฉันเบื่องานนี้ แต่ได้เงิน 700 ดอลลาร์”
- “ลองหางานที่ชอบและอาจได้เงินมากกว่านี้ดูไหม?”
- “ไม่ล่ะ! นี่คือขีดจำกัดของฉันแล้ว งานอื่นคงหาเงินไม่ได้เยอะกว่านี้แน่”
ฉันงงเลย ทำไมตัวฉันถึงมีเพดานรายได้เป็นหลักล้านได้ แล้วทำไมเขาถึงเชื่อว่าตัวเองไปต่อไม่ได้? ผู้คนมากมายขีดเส้นล้อมตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล:
- “ฉันไม่สมควรได้เลื่อนตำแหน่ง!”
- “ฉันไม่มีทางหาเงินเท่านั้นได้หรอก!”
- “ฉันเกิดมาไม่เหมาะเป็นเศรษฐี!”
หลังจากฉันเริ่มมีรายได้ขึ้นมา ก็ยังมีคนบอกว่า “มันชั่วคราวเท่านั้น เดี๋ยวก็เลิกซ่า แล้วกลับไปหางานประจำเถอะ!” จนตอนนี้ไม่มีใครมองว่าฉันเป็น “คนขี้เกียจ” หรือ “คนเสียเวลา” อีกต่อไป
ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นเศรษฐี แต่ฉันมีเป้าหมายและความตั้งใจจะทำให้เป็นจริง จึงไม่ยอมรับความคิดอย่าง “ฉันไม่คู่ควร...” หรือ “ฉันไม่มีวันทำได้...” เพราะลึกๆ ฉันเชื่อว่า ถ้าล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งต่อไปฉันก็จะทำได้ แล้วก็ล้มอีก... จนสำเร็จในครั้งใดครั้งหนึ่ง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแพ้ตลอดไป! และก็จริง – เมื่อพยายามหลายครั้งแล้ววิเคราะห์ความผิดพลาด เราจะปรับปรุงได้ในที่สุด จนเกิดจุดที่ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าประสบความสำเร็จแล้ว
สุดท้ายแล้ว ไม่มีโชคและไม่มีปาฏิหาริย์เงินล้านหล่นทับ มีแค่ตัวคุณเองกับความต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย
ความสำเร็จเล็กๆ คือกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
เราได้พูดไปแล้วว่าคนรวยกับคนจนมีเป้าหมายที่ต่างกัน รวมถึงวิธีใช้เงินก็ต่างกันด้วย แต่เศรษฐีหลายคนก็เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เลยยิ่งทำให้เรื่องราวของพวกเขาน่าสนใจถ้าเปรียบเทียบเรื่องราวของคนรวยเหล่านั้น จะเห็นจุดร่วมหนึ่งอย่างชัดเจนคือ แต่เดิมพวกเขาตั้งเป้าหมาย “ใหญ่” ในมาตรฐานชีวิตช่วงนั้น แล้วก็ลุยหาวิธี จนกระทั่งทำได้จริง บางทีเป้าหมายแรกอาจจะเป็นเรื่องตลกอย่าง “เก็บเงินซื้อจักรยาน” แต่วันหนึ่งก็ก้าวกระโดดกลายเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่คนรวยจะจำความสำเร็จเล็กๆ ครั้งแรกของตัวเองได้เสมอ และพูดถึงมันด้วยความภูมิใจ เพราะมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า ถ้ามีความตั้งใจ ลงมือทำ ความฝันจะกลายเป็นจริงได้
“ฉันอยาก! ฉันเริ่มทำ! และฉันได้!” – ฟังดูคล้าย “ฉันมา ฉันเห็น ฉันชนะ!” =)
ความสำเร็จเล็กๆ นี้แหละผลักให้เราตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทำสำเร็จบ่อยเข้า มันก็เป็นเหมือนบันได หรืออาจเรียกว่าเป็นบันไดเลื่อนที่พาเราขึ้นไปตลอด
คนจนมักจะเห็นแค่สองช่วงคือ:
- เคยยากจน
- …
- แล้วก็กลายเป็นเศรษฐี!
พอสรุปก็จะเป็นแบบนี้:
- ทุกคนเริ่มต้นจากการไม่มีมาก่อน
- คนหนึ่งเริ่มจริงจัง เรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่อง ส่วนอีกคนหนึ่งนอนเล่นเฉยๆ
- คนหนึ่งกลายเป็นเศรษฐี อีกคนยังจนเหมือนเดิมและไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่รวย!
เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน
คุณเคยได้ยินไหมว่าถ้าวันดีคืนดีลูกค้าทุกคนไปถอนเงินพร้อมกัน ธนาคารก็ล้มละลายได้? เพราะธนาคารเก็บเงินลูกค้าไว้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะนำไปปล่อยกู้ (ให้คนอื่นกู้ยืม) เพื่อเอาดอกเบี้ยมาหมุนนี่คือหลักง่ายๆ “เงินต้องทำงานเพื่อสร้างเงิน” เราต้องจำไว้เลย! เมื่อคุณเริ่มมีรายได้มากขึ้นแล้ว ควรคิดหาทางใช้เงินของคุณให้คุ้มค่าที่สุด เช่น ฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย (แนะนำให้เป็นธนาคารในยุโรปที่มีความมั่นคง) หรือเอาไปต่อยอดธุรกิจ (จะได้เห็นผลตอบแทนไวขึ้น)
ฉันเองเป็นเทรดเดอร์ จึงไม่ต้องคิดมากนักว่าควรลงทุนที่ไหน เพราะฉันแบ่งเงินไปเก็บไว้กับโบรกเกอร์หลายเจ้าเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างกำไรรวดเร็วขึ้น ฉันลงทุน “เวลาว่าง” ของตัวเองเพื่อหาเงินในระยะสั้น
แต่ไม่ว่าจะลงทุนอะไร ควรตัดสินใจอย่างมีสติ คำนึงถึงความเสี่ยง และวางแผนรับมือกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันไว้ด้วย จึงมีแนวทางหลักๆ ดังนี้:
- อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในธุรกิจเดียว
- อย่า “ใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว” – จงมีหลายช่องทางสร้างรายได้
จงค่อยๆ เติบโต ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน เหมือนตัวอย่างเศรษฐีที่เคยเริ่มจาก “ซื้อจักรยาน” พอบรรลุเป้าหมาย ก็เล็งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นไปอีก แล้วยิ่งก้าวไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมลงมือหาวิธี
เมื่อรายได้คุณสูงขึ้น ความต้องการก็จะสูงตามไปด้วย แต่ถ้าคุณวางแผนถูกต้อง ในสักวันหนึ่งคุณอาจจะนั่งชิลริมทะเล มีคฤหาสน์ของตัวเองอยู่ข้างหลัง และรู้ว่าชีวิตมันลงตัวได้ เพราะคุณคือคนที่ควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง!
บทวิจารณ์และความคิดเห็น